ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
เพิ่มรายละเอียดเหตุการณ์ Young Ireland และการบริจาคเงิน + ตัวสะกด ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560 |
|||
บรรทัด 8:
== สาเหตุและปัจจัยที่ประกอบ ==
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1801 ภายใต้[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800|พระราชบัญญัติสหภาพ]] ไอร์แลนด์ปกครองโดยตรงในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ[[สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์|สหราชอาณาจักร]] อำนาจการบริหารตกอยู่ในมือของ[[ข้าหลวงใหญ่แห่งไอร์แลนด์]]และ[[เลขาธิการเอกแห่งไอร์แลนด์]]ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลบริติช ไอร์แลนด์มีสมาชิกรัฐสภา 105
ในช่วงสี่สิบปีหลังการรวมตัวเป็นสหราชอาณาจักรรัฐบาลบริติชต่อมาหลายรัฐบาลก็พยายามหาวิธีแก้ปัญหาการปกครองในไอร์แลนด์ ตามที่[[เบนจามิน ดิสราเอลี]]กล่าวในปี ค.ศ. 1844 ว่าเป็นประเทศที่ “ประชากรเต็มไปด้วยทุพภิกขภัย, ขุนนางที่ไม่มีตัวตน, [[นิกายเชิร์ชออฟไอร์แลนด์|สถาบันศาสนา]]ที่เข้าไม่ถึงประชาชน และระบบบริหารที่ย่ำแย่ที่สุดในโลก”<ref>Quoted in Blake (1967), p. 179.</ref>
นอกจากนั้นกฎหมายที่จำกัดการศึกษาสำหรับชาวไอริชคาทอลิก และการเป็นเจ้าของที่ดินก็เป็นผลให้ความเจริญเช่นที่เกิดขึ้นในอังกฤษเป็นไปได้ยากในไอร์แลนด์ จนกระทั่งเมื่อ[[กฎหมายอาญา]]ถูกยกเลิกเพียงห้าสิบปีก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ทุพภิกขภัย แต่การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าเพราะครอบครัวที่เป็นเจ้าของที่ดินก็ยังคงรักษาที่ดินไว้ในมือ
=== เจ้าของและผู้ทำงานในที่ดิน ===
[[การปลดแอกคาทอลิก|นโยบายปลดแอกคาทอลิก]]เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1829 ประชากรของไอร์แลนด์ 80 เปอร์เซ็นต์นับถือคริสต์ศาสนา[[นิกายโรมันคาทอลิก]] ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนที่อยู่ในสภาพที่ยากจนและไม่มีความมั่นคงทางสังคม ในขณะที่ชนชั้นสูงในสังคมเป็นผู้นับถือคริสต์ศาสนานิกาย[[โปรเตสแตนต์]] ที่เป็นครอบครัว[[ชาวอังกฤษ]]หรือ[[ชาวอังกฤษ-ไอร์แลนด์]] ผู้มีฐานะเป็นเจ้าของที่ดินเกือบทั้งหมด และมีอำนาจอันไม่มีขอบเขตเหนือผู้ทำงานในที่ดิน เจ้าของที่ดินบางคนก็มีที่ดินเป็นจำนวนมากเช่น[[เอิร์ลแห่งลูคัน]]ที่เป็นเจ้าของที่ดินถึง 240 ตารางกิโลเมตร เจ้าของที่ดินหลายคนมีที่พักในอังกฤษซึ่งทำให้เป็นเพียงเจ้าของที่ดินที่ไม่มีตัวตน (absentee landlords)
[[ไฟล์:Daniel O'Connell.png|thumb|220px|[[แดเนียล โอคอนเนลล์]]แห่ง[[สมาคมเพื่อการเพิกถอนการเป็นสหภาพ]]]]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1843 เมื่อรัฐบาลบริติชภายใต้การนำของ[[นายกรัฐมนตรี]][[เซอร์ โรเบิร์ต พีล]]พิจารณาเห็นว่าปัญหาที่ดินเป็นบ่อเกิดของความไม่พึงพอใจที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์ พีลก็ได้ก่อตั้ง[[Devon Commission|คณะกรรมาธิการเดวอน]] (Devon Commission) โดยมีเอิร์ลแห่งเดวอนเป็นประธานเพื่อสืบสวนเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของที่ดินในในไอร์แลนด์ นักการเมืองไอริช[[แดเนียล โอคอนเนล]]วิจารณ์คณะราชกรรมาธิการชุดนี้ว่าเป็นคณะกรรมการข้างเดียวอย่างแท้จริงเพราะสมาชิกทั้งหมดเป็นเจ้าของที่ดินโดยไม่มีตัวแทนที่เป็นผู้เช่าที่ดิน<ref>Cecil Woodham-Smith, ''The Great Hunger'', Harmondsworth: Penguin, 1991, ISBN 978-0-14-014515-1, pp. 20–1</ref> ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1845 คณะราชกรรมาธิการก็รายงานว่า “เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรยายถึงความลำบากยากเข็ญที่[ชนชั้นแรงงานชาวไอริชและครอบครัว]ต้องทนกันมาอย่างไม่มีปากมีเสียง . . . ในบางแขวงอาหารอย่างเดียวที่มีเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็มีแต่มันฝรั่ง . . .กระท่อมที่อยู่ก็แทบจะไม่มีการป้องกันจากสภาวะอากาศ
คณะราชกรรมาธิการกล่าวว่าต้นตอของปัญหามาจากความสัมพันธ์อันเลวร้ายระหว่างเจ้าของที่ดินและผู้เช่าที่ดิน ซึ่งเป็นภาวะของการขาดความจงรักภักดีต่อเจ้าของที่ดิน และเจ้าของที่ดินเองก็ขาดความรับผิดชอบในการพิทักษ์ผู้ทำงานในที่ดิน ซึ่งแตกต่างกับที่ปฏิบัติกันในอังกฤษเพราะไอร์แลนด์เป็นดินแดนที่ถูกพิชิต เมื่อเอิร์ลแห่งแคลร์กล่าวถึงเจ้าของที่ดินว่า “การยึดที่ดินเป็นเรื่องที่ทำกันโดยปกติ” นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษเซซิล วูดแดม-สมิธกล่าวว่าเจ้าของที่ดินถือว่าที่ดินเป็นแหล่งหารายได้สำหรับการบีบคั้นให้ได้รายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่ชาวไอริช “ก้มหน้าก้มตาวิตกถึงความไม่พึงพอใจต่างๆ ที่เกิดขึ้น” ตามความเห็นของเอิร์ลแห่งแคลร์เจ้าของที่ดินมีความเห็นว่าไอร์แลนด์คือดินแดนที่ไม่เป็นมิตรสำหรับการใช้เป็นที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นผลทำให้เจ้าของที่ดินเลี่ยงที่จะพำนักอยู่กับที่ดินและกลายมาเป็นเจ้าของที่ดินล่องหนกันไปตามตามกัน จะมีบางคนทีอาจจะเดินทางไปดูที่ครั้งหรือสองครั้งในชีวิต ค่าเช่าที่ได้รับมาก็นำไปใช้ในอังกฤษ ซึ่งในปี ค.ศ. 1842 ประมาณกันว่าได้มีการนำเงินออกจากไอร์แลนด์เป็นจำนวนถึง £6,000,000 การเก็บค่าเช่าก็ตกอยู่ในความรับผิดชอบของผู้จัดการที่ทำงานให้แก่เจ้าของที่ดิน ซึ่งตามความเห็นของวูดแดม-สมิธแล้ว ความมีประสิทธิภาพของผู้จัดการก็วัดได้จากการเรียกเก็บหรือขูดค่าเช่าจากผู้เช่าที่ดิน<ref>Cecil Woodham-Smith, ''The Great Hunger'', Harmondsworth: Penguin, 1991, ISBN 978-0-14-014515-1, p. 21</ref>
บรรทัด 30:
=== ผู้เช่าที่ดิน, การแบ่งที่ดิน และ การล้มละลาย ===
ในปี ค.ศ. 1845 ยีสิบสี่เปอร์เซ็นต์ของฟาร์มที่ให้เช่าในไอร์แลนด์มีขนาดระหว่าง 0.4 ถึง 2 เฮคตาร์ (1 ถึง 5 เอเคอร์)
จากการสำรวจจำนวนประชากรในปี ค.ศ. 1841 พบว่ามีประชากรกว่าแปดล้านคน สองในสามของจำนวนนวนนั้นดำรงชีพโดยการทำการเกษตรกรรมและแทบจะไม่มีรายได้จากค่าแรงงานอื่น ประชากรเหล่านี้ต้องทำงานให้แก่เจ้าของที่ดินเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับที่ดินเพียงกระแบะมือที่ใช้ในการปลูกพืชสำหรับเลี้ยงตนเองและครอบครัว
=== ภาวะพึ่งพิงมันฝรั่ง ===
[[มันฝรั่ง]]นำเข้ามาปลูกในไอร์แลนด์ในช่วงแรกเป็นพืชสวนสำหรับชนชั้นผู้ดี เมื่อมาถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 มันฝรั่งก็แพร่หลายไปเป็นอาหารประกอบแทนที่จะเป็นอาหารหลัก อาหารหลักขณะนั้นยังเป็นเนย นม และธัญพืช ในยี่สิบปีแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 18 มันฝรั่งจึงกลายมาเป็นอาหารหลักสำหรับคนยากจนโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว<ref>Cathal Póirtéir, ''The Great Irish Famine'', Mercier Press (1995), ISBN 1-85635-111-4, pp. 19–20</ref> การขยายตัวของเศรษฐกิจระหว่าง ค.ศ. 1760 จนถึง ค.ศ. 1815
การขยายการปลูกมันฝรั่งเป็นปัจจัยของการวิวัฒนาการของระบบเกษตรกรผู้เช่านา ที่ทำให้เจ้าของที่ดินสามารถได้แรงงานที่มีราคาต่ำที่สุดแต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ระดับความเป็นอยู่ของแรงงานที่จ้างมาต่ำตามลงไปด้วย สำหรับเกษตรกรเองค่าจ้างมันฝรั่งก็สิ่งจำเป็นในการขยายเศรษฐกิจการเกษตรกรรม<ref name="Cathal Póirtéir 1995 p. 20" /> การขยายตัวนี้ก็นำไปสู่การขยายเนื้อที่ในการปลูกมันฝรั่งที่เพิ่มมากขึ้นและการขยายตัวของชนชั้นแรงงานเกษตรกรที่ตามมา เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1841 ชนชั้นเกษตรกรแรงงานก็มีด้วยกันกว่าหนึ่งล้านคน ผู้มีครอบครัวอีกเจ็ดแสนห้าหมื่นคน ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์หลักจากระบบนี้คือผู้บริโภคในอังกฤษ<ref name="Cathal Póirtéir 1995 p. 20" />
บรรทัด 44:
[[ไฟล์:Late_blight_on_potato_leaf_2.jpg|thumb|240px|จ้ำดำที่ปรากฏบนใบ[[มันฝรั่ง]]ที่โดย[[ไฟทอฟธอรา อินเฟสทันส]]]]
[[ไฟล์:Phytophtora_infestans-effects.jpg|thumb|240px|หัวมันฝรั่งที่ถูกเชื้อราที่ในที่สุดก็จะเน่าเละส่งกลิ่นเหม็น]]
ก่อนหน้าที่
ในปี ค.ศ. 1851 การสำรวจจำนวนประชากรในไอร์แลนด์ของคณะราชกรรมาธิการบันทึกความเสียหายที่ต่างระดับกันของผลผลิตมันฝรั่งที่เกิดขึ้นถึงยี่สิบสี่ครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1728 เป็นต้นมา
* ค.ศ. 1739 และ ค.ศ. 1740 ผลผลิตทั้งหมดถูกทำลายจนหมดสิ้น
* ค.ศ. 1770 ผลผลิตส่วนใหญ่ก็ได้รับความเสียหาย
บรรทัด 66:
เมื่อเชื้อโรคมาถึงไอร์แลนด์ก็ระบาดอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1845 รามันฝรั่งก็ระบาดไปทั่วบริเวณตอนเหนือและตอนกลางของยุโรป [[เบลเยียม]] [[เนเธอร์แลนด์]] ตอนเหนือของ[[ฝรั่งเศส]] และทางใต้ของ[[อังกฤษ]] เมื่อกลางเดือนสิงหาคมมันฝรั่งทั้งหมดก็โดนเชื้อรา <ref name="James S. Donnelly p. 42">James S. Donnelly, JR, ''The Great Irish Potato Famine'', Sutton Publishing (UK 2005 RP), ISBN 0-7509-2928-6, p. 42</ref>
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นิตยสาร “''Gardeners' Chronicle and Horticultural Gazette''” ก็พิมพ์รายงานที่บรรยาย 'เชื้อราที่มีลักษณะที่ไม่เหมือนปกติ' ที่พบบน[[เกาะไวท์]] อาทิตย์หนึ่งต่อมาเมื่อวันที่
ความเสียหายของพืชผลในปี ค.ศ. 1845 ประมาณกันว่าสูงถึงราว 50% ของพืชผลทั้งหมด<ref>Christine Kinealy, ''This Great Calamity'', Gill & Macmillan, 1994, ISBN 0-7171-4011-3 p. 32</ref> ถึงหนึ่งในสาม<ref>Cormac Ó Gráda, ''Ireland's Great Famine: Interdisciplinary Perspectives,'' University College Dublin Press, 2006, ISBN 1-904558-57-7 p. 7</ref> คณะกรรมาธิการแมนชันเฮาส์ (The Mansion House Committee) ใน[[ดับลิน]] ที่เป็นที่รับจดหมายจากทั่วไอร์แลนด์อ้างว่าเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1845 ทางคณะกรรมาธิการก็ได้ประเมินผลเสียหายอย่าง 'ไม่มีข้อสงสัยว่าเกิดขึ้นกับหนึ่งในสามของพืชผลมันฝรั่งทั้งหมด ... ถูกทำลายไปเสร็จสิ้นแล้ว'<ref name="James S. Donnelly p. 42" />
ในปี ค.ศ. 1846 สามในสี่ของพืชผลก็สูญเสียไปกับเชื้อโรค<ref name="Liam Kennedy 1999, p. 69">Liam Kennedy, Paul S. Ell, E. M. Crawford & L. A. Clarkson, Mapping The Great Irish Famine, Four Courts Press, 1999, ISBN 1-85182-353-0 p. 69</ref> เมื่อมาถึงเดือนธันวาคม ผู้คนราวสามแสนห้าหมื่นคนของผู้ที่หมดหนทางก็ได้รับการจ้างโดยรัฐบาลให้ทำงานสาธารณะ (public works)<ref>David Ross (2002) ''Ireland: History of a Nation'': 311</ref> คอร์แม็ค โอเกรดากล่าวว่าการระบาดครั้งแรกทำให้เกิดความยากเข็ญในชนบทของไอร์แลนด์ ตั้งแต่ปี
== ปฏิกิริยาในไอร์แลนด์ ==
[[บริษัทดับลิน|รัฐบาลดับลิน]] (Corporation of Dublin) ส่งคำร้องไปถวาย[[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]]ร้องขอให้พระองค์ทรงเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการฉุกเฉิน และขอให้ทรงส่งเงินจากภาษีรายได้มาเพื่อใช้ในการบรรเทาภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยการนำไปใช้ในการว่าจ้างแรงงานสำหรับสร้างสิ่งก่อสร้างสารธารณะโดยเฉพาะการสร้างทางรถไฟในไอร์แลนด์ เทศาภิบาลแห่งเมือง[[เบลฟาสต์]]ประชุมและตกลงกันส่งคำร้องที่คล้ายคลึงกัน ตามความเห็นของจอห์น มิทเชลในหนังสือ “''การพิชิตไอร์แลนด์ครั้งสุดท้าย (อาจเป็นได้)''” (The Last Conquest of Ireland (Perhaps)) กล่าวว่าทั้งสองรัฐบาลต่างก็มิได้ขอเงินทาน “[ดับลินและเบสฟาสต์]เรียกร้องว่าถ้าไอร์แลนด์เป็นส่วนสำคัญของสหราชอาณาจักรจริงแล้ว เงินในท้องพระคลังของทั้งสองอาณาจักรก็เป็นสิ่งที่ควรจะนำมาใช้[ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น]—ฉะนั้นจึงมิใช่เป็นการให้เงินทาน แต่เพื่อใช้ในการว่าจ้างแรงงานสำหรับการสร้างสิ่งก่อสร้างที่เป็นของสารธารณะเพื่อการใช้สอยโดยทั่วไป”
ตัวแทนจากประชาชน[[ดับลิน]]ที่รวมทั้งดยุคแห่งไลนสเตอร์, นายกเทศมนตรี, ลอร์ดคลอนเคอร์รี และ แดเนียล โอคอนเนลล์เดินทางไปพบปะกับ[[วิลเลียม อคอร์ท บารอนเฮทสบรีที่ 1|ลอร์ดเฮทสบรี]][[ข้าหลวงใหญ่แห่งไอร์แลนด์]]เพื่อตั้งข้อเสนอต่างๆ ในการพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นเปิดเมืองท่าสำหรับข้าวโพดจากต่างประเทศในชั่วระยะเวลานั้น หยุดยั้งการทำการกลั่นจากธัญพืช หรือสร้างโครงการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะ ซึ่งต่างก็เป็นโครงการที่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วนอยู่แล้ว ขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนหลายล้านคนแทบจะไม่มีอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง คำตอบของลอร์ดเฮทสบรีต่อผู้มาพบปะคือ “ตีตนไปก่อนไข้” และกล่าวแนะนะว่าไม่ควรจะตื่นตัว และ ทางด้านการบริหารก็ได้ส่งผู้มีความรู้ไปยังอังกฤษเพื่อไปสอบถามกิจการที่เกี่ยวกับปัญหานี้ และเจ้าหน้าที่รัฐบาลสำคัญๆ ก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอรายงานจากแขวงต่างๆ และไม่ปรากฏว่ามี “ความกดดันอันเร่งด่วนจากตลาด”<ref>John Mitchel, ''Last Conquest of Ireland (Perhaps)'', Lynch, Cole & Meehan 1873, reprint 2005, ISBN 1-904558-36-4 pp. 94–96</ref>
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1845 [[แดเนียล โอคอนเนลล์]]แห่ง[[สมาคมเพื่อการเพิกถอนการเป็นสหภาพ]] เสนอการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยวิธีต่างๆ ที่ข้อแรกคือการนำ “[[สิทธิผู้เช่าที่ดิน]]” ที่ปฏิบัติกันใน[[อัลสเตอร์]]อยู่แล้วมาใช้ในบริเวณอื่นของไอร์แลนด์ ซึ่งทำให้เจ้าของที่ดินได้ค่าเช่าที่ยุติธรรม และในขณะเดียวกันผู้เช่าก็ได้รับค่าตอบแทนจากเจ้าของที่ดินถ้าทำการลงทุนไปในการปรับปรุงการใช้ที่ดินอย่างถาวรระหว่างการที่เช่าที่ดินอยู่<ref name="John Mitchel 1873, p. 96">John Mitchel, Last Conquest of Ireland (Perhaps), Lynch, Cole & Meehan 1873, reprint 2005, ISBN 1-904558-36-4 p. 96</ref>
บรรทัด 81:
แดเนียล โอคอนเนลชี้ให้เห็นถึงวิธีที่รัฐบาลเบลเยียมใช้ในการแก้ปัญหาในฤดูเดียวกันโดยการปิดเมืองท่าจากการส่งอาหารออกนอกประเทศ แต่เปิดให้ส่งอาหารเข้าได้ และเสนอว่าถ้าไอร์แลนด์มีรัฐสภาเป็นของตนเองแล้วเมืองท่าเหล่านี้ก็คงจะเปิดกว้างเพื่อรับอาหาร และพืชผลจำนวนมากมายที่ปลูกในไอร์แลนด์ก็คงจะได้รับการรักษาไว้เพื่อประชากรของไอร์แลนด์เอง โอคอนเนลมีความเชื่ออย่างเหนียวแน่นว่าการมีรัฐสภาแห่งไอร์แลนด์เท่านั้นที่จะเป็นหนทางที่จะแก้ปัญหาเรื่องอาหารและแรงงานแก่ประชากรของไอร์แลนด์เองได้ และกล่าวว่าการยกเลิก[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800|พระราชบัญญัติสหภาพ]]เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องกระทำเพราะเป็นความหวังเดียวที่ไอร์แลนด์ยังคงมีอยู่<ref name="John Mitchel 1873, p. 96" />
[[จอห์น มิทเชล]]หนึ่งในผู้นำของนักเขียนบทความทางการเมืองของ[[ขบวนการยังไอร์แลนด์]] ซึ่งเป็นขบวนการทางการเมือง วัฒนธรรม และสังคมเพื่อการปลุกเร้าความเป็นชาตินิยมของไอร์แลนด์เขียนในหนังสือพิมพ์ “''[[ดิ เนชั่น (หนังสือพิมพ์ไอร์แลนด์)|ดิ เนชั่น]]''” ให้ความเห็นถึงปัญหา “เชื้อโรคมันฝรั่ง”
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1846 มิทเชลตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติเพื่อการรักษาความสงบในไอร์แลนด์ ที่ได้รับการเสนอต่อสภาขุนนาง ว่าเป็นเพียงร่างพระราชบัญญัติที่จงใจที่จะเขียนขึ้นโดยไม่ให้มีผู้ใดเป็นคัดค้านในสภาสามัญชน แต่มิทเชลให้ความเห็นว่าทัศนคติของรัฐบาลอาจจะแตกต่างกันเมื่อมาถึงปัญหาการเลี้ยงประชาชนไอริช ซึ่งก็คือ “การตกลงกันที่เป็นไปอย่างราบรื่นในนโยบายการเก็บภาษี, การพิจารณาโทษ และการทำลาย[ชาวไอริช]”<ref name="newspaper1"> The Nation Newspaper, 1846</ref> ในบทความ “''การปกครองของอังกฤษ''” (English Rule) ของวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1846 จอห์น มิทเชลเขียนว่าชาวไอร์แลนด์ “คาดการณ์ทุพภิกขภัยที่จะมาถึงเป็นกิจการประจำวัน”
ต่อมามิทเชลก็เขียนบทความอีกบทความหนึ่งเกี่ยวกับทุพภิกขภัยที่เป็นที่แพร่หลายชื่อ “''การพิชิตไอร์แลนด์ครั้งสุดท้าย (อาจเป็นได้)''” ในปี ค.ศ. 1861 ซึ่งเป็นบทความที่สร้างทัศนคติที่แพร่หลายว่าการแก้ปัญหาทุพภิกขภัยโดยบริติชเป็นการจงใจฆาตกรรมชาวไอร์แลนด์ และมีวลีที่มีชื่อเสียงที่ว่า:
บรรทัด 96:
[[ชาร์ลส์ เกวัน ดัฟฟี]]แห่ง หนังสือพิมพ์ “''[[ดิ เนชั่น (หนังสือพิมพ์ไอร์แลนด์)|ดิ เนชั่น]]''” กล่าวยืนยันว่าวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาซึ่งเป็นวิธีที่ชาติอื่นในยุโรปใช้ ที่แม้แต่[[ภูมิภาคเพล]] (the Pale) ในไอร์แลนด์เองก็ใช้ระหว่างวิกฤติการณ์ก็คือการกักอาหารที่ปลูกโดยประชาชนในประเทศจนกว่าทุพภิกขภัยจะยุติลง<ref>Sir Charles Gavan Duffy, ''Four Years of Irish History 1845–1849'', Cassell, Petter, Galpin & Co. 1888, pp. 277–278</ref>
เมื่อว่าตาม[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800]] แล้วไอร์แลนด์ก็เป็นส่วนสำคัญของ[[จักรวรรดิอังกฤษ]]ซึ่งเป็น “จักรวรรดิที่มั่งคั่งที่สุดในโลก” และไอร์แลนด์เป็น “ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของจักรวรรดิ” นอกจากนั้นก็ยังได้รับการพิทักษ์จากทั้ง “...ระบบศาลและระบบการพิจารณาคดีโดยลูกขุน...” (Habeas Corpus and trial by jury)<ref>''Last Conquest Of Ireland'' (Perhaps), John Mitchel, Lynch, Cole & Meehan 1873.</ref>
ในสมัยที่เกิดรามันฝรั่งในไอร์แลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1845 จนถึงปี ค.ศ. 1851 เป็นสมัยที่เต็มไปด้วยการเผชิญหน้าทางการเมือง<ref name="Cathal Poirteir">Cathal Póirtéir, ''The Great Irish Famine'', RTÉ/Mercier Press, 1995, ISBN 1 856351114.</ref> ขบวนการของกลุ่มผู้ประสงค์จะ[[สมาคมเพื่อการเพิกถอนการเป็นสหภาพ|เพิกถอน]]พระราชบัญญัติสหภาพประสบความล้มเหลวเมื่อผู้นำของขบวนการ[[แดเนียล โอคอนเนล]]มาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1847{{Fact|date=October 2007}} กลุ่ม[[ขบวนการยังไอร์แลนด์]]ซึ่งเป็นขบวนการที่มีหัวรุนแรงกว่าดำเนินการเรียกร้องต่อมาและพยายามก่อการปฏิวัติใน[[การปฏิวัติของขบวนการยังไอร์แลนด์ ค.ศ. 1848]] แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
บรรทัด 103:
[[ไฟล์:Robert Peel.jpg|thumb|220px|[[นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร|นายกรัฐมนตรี]]เซอร์[[โรเบิร์ต พีล]]]]
[[ไฟล์:John Russell, 1st Earl Russell by Lowes Cato Dickinson detail.jpg|thumb|220px|[[นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร|นายกรัฐมนตรี]][[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดรัสเซลล์]]]]
[[เอฟ.เอส.เอล. ลิยอนส์]]บรรยายถึงการตอบโต้ต่อวิกฤติการณ์ของรัฐบาลบริติชในระยะแรกที่ทุพภิกขภัยยังไม่รุนแรงว่าเป็นการตอบโต้ที่ “ทันต่อเหตุการณ์และมีความสำเร็จพอสมควร”<ref name="lyons">F.S.L. Lyons, ''Ireland Since the Famine'', 30.</ref> เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรกรรมอย่างกว้างขวางในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1845 [[นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร|นายกรัฐมนตรี]]เซอร์[[โรเบิร์ต พีล]]ก็ซื้อข้าวโพดอินเดียและข้าวโพดป่น (
เมื่อมาถึงเมล็ดข้าวโพดก็นำมาขายต่อในราคาปอนด์ละหนึ่งเพ็นนี<ref name="robert221">Robert Blake, ''Disraeli'', 221–241.</ref>
มาตรการที่[[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดรัสเซลล์]]นายกรัฐมนตรีคนต่อมากระทำก็ยังคงเป็นมาตรการที่ไม่เพียงพอในการพยายามกู้สถานการณ์ และโดยทั่วไปแล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายลงยิ่งขึ้นไปอีก รัฐบาลของรัสเซลล์เสนอโครงการการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะซึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1846 เป็นผลให้มีการจ้างชาวไอริชครึ่งล้านคน แต่กลายเป็นสิ่งที่ล้นมือในการทำการบริหาร<ref name="lyons30">Lyons, 30–34.</ref> [[ชาร์ลส์ เทรเวเลียน บารอนเนทที่ 1|เซอร์ชาร์ลส์ เทรเวเลียน]]ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารโครงการช่วยผู้ประสบทุพภิกขภัยของรัฐบาลจำกัดการช่วยเหลือเพราะมีความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น “การตัดสินของพระเจ้าในการส่งความภัยพิบัติลงมาเพื่อสั่งสอนชาวไอริชให้ได้รับบทเรียน”
พรรควิกภายใต้ผู้บริหารใหม่[[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดรัสเซลล์]]ที่ถือปรัชญา “[[นโยบายไม่แทรกเซง|ไม่แทรกเซง]]” --ปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปจนแก้ไขตนเองในที่สุด--เชื่อว่าในที่สุดตลาดก็จะสามารถสร้างอาหารที่สนองความต้องการได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ละเลยการดำเนินการส่งอาหารออกไปยังอังกฤษต่อไป<ref>Cecil Woodham-Smith (1962) ''The Great Hunger: Ireland 1845–9'': 408–11</ref> แต่ยุติการส่งอาหารไปช่วยเหลือ
“อนุประโยคเกรกอรี” ของ[[กฎหมายประชาสงเคราะห์ของอังกฤษ|กฎหมายประชาสงเคราะห์]]ระบุห้ามผู้ที่มีที่ดินอย่างน้อยหนึ่งในสี่เอเคอร์จากการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล<ref name="lyons30" />
=== การส่งอาหารไปยังอังกฤษ ===
บรรทัด 122:
นักเขียนผู้เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักกันดี[[Jane Wilde|เจน ฟรานเซสคา เอลกี]]เขียนโคลงที่บรรยายสถานการณ์ที่พิมพ์ใน carried in the ''เดอะ เนชั่น''<ref>''Young Ireland'', T. F. O'Sullivan, The Kerryman Ltd. 1945, p. 107</ref>
<center>{{Cquote|Weary men, what reap ye? Golden corn for the stranger.
What sow ye? Human corpses that wait for the avenger.
Fainting forms, Hunger—stricken, what see you in the offing
Stately ships to bear our food away, amid the stranger's scoffing.
There's a proud array of soldiers—what do they round your door?
They guard our master's granaries from the thin hands of the poor.
Pale mothers, wherefore weeping? 'Would to God that we were dead—
Our children swoon before us, and we cannot give them bread.<ref>Sir Charles Gavan Duffy, ''Four Years of Irish History 1845–1849'', Cassell, Petter, Galpin & Co. 1888, p. 278</ref><br />
''Speranza''<ref>Miss Jane Francesca Elgee (Lady Wilde), mother of Oscar Wilde, and the wife of Sir William Wilde author of the Death Tables, in the 1851 Census.</ref>}}</center>
บรรทัด 146:
มิทเชลใน “''การพิชิตไอร์แลนด์ครั้งสุดท้าย (อาจเป็นได้)''” (The Last Conquest of Ireland (Perhaps)) กล่าวในหัวข้อเดียวกันว่าไม่มีผู้ใดเลยจากไอร์แลนด์ที่หาทานในช่วงนี้ และผู้ที่เสาะหาทานคืออังกฤษเองที่ทำในนามของไอร์แลนด์และเมื่อได้รับมาแล้วก็เป็นผู้บริหารเอง มิทเชลเสนอว่าหนังสือพิมพ์อังกฤษเท่านั้นที่เป็นผู้บรรยายว่า “ในชั่วขณะนั้นไอร์แลนด์ตกอยู่ในสภาวะอันวิกฤติ ที่ทำให้เป็นกลายเป็นขอทานผู้น่าสังเวชอยู่หน้าประตูอังกฤษ และไอร์แลนด์ก็ยังต้องการเงินทานสำหรับมนุษยชาติทั้งหมด” มิทเชลกล่าวเน้นว่าไอร์แลนด์ไม่เคยขอทานหรือความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นชนิดใดจากอังกฤษหรือชาติอื่น แต่อังกฤษเองที่เป็นฝ่ายขอในนามของไอร์แลนด์ และเสนอว่าอังกฤษเองเป็น “ผู้แบมือขอไปทั่วโลก ขอให้บริจาคให้ช่วยคนยากจนที่น่าสงสารในไอร์แลนด์” และตั้งตนเป็นผู้แทนขององค์การกุศลและเอากำไรจากผลประโยชน์นั้นด้วยตนเอง
เงินบริจาคจำนวนมากหลั่งไหลมาจากที่ต่างๆ
เควคเกอร์อัลเฟรด เว็บบ์หนึ่งในอาสาสมัครในไอร์แลนด์ขณะนั้นบรรยายว่า:
{{Cquote|''เมื่อทุพภิกขภัยเกิดขึ้น[[proselytism|ระบบแสวงหาสาวก]] (proselytism) ก็เริ่มแพร่ขยาย ...เครือข่ายของโปรเตสแตนต์ผู้มีความตั้งใจดีก็ก่อตัวขึ้นและแพร่ขยายออกไปในบริเวณต่างๆ ของไอร์แลนด์ ที่ต้อนคนเข้านิกายและสถานศึกษาเพื่อการแลกเปลี่ยนกับอาหารและการช่วยเหลืออื่นๆ ...ขบวนการนี้ยังคงทิ้งร่องรอยของความขมขื่นเอาไว้...''<ref>Alfred Webb, unpublished biography, c. 1868, pp. 120–122</ref>}}
นอกจากองค์การทางศาสนาแล้วก็มีองค์การเอกชนที่เข้ามาทำการช่วยเหลือผู้ที่เป็นเหยื่อของทุพภิกขภัย [[องค์การช่วยเหลือผู้ประสบภัยบริติช]]
=== ความเช่วยเหลือจากจักรวรรดิออตโตมัน ===
ในปี ค.ศ. 1845 [[สุลต่านอับดุลเมซิดที่ 1]] แห่ง[[จักรวรรดิออตโตมัน]]ทรงแสดงพระราชประสงค์จะส่งเงินจำนวน £10,000 มาช่วยเกษตรกรชาวไอริชแต่[[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]]ทรงขอให้ส่งไปเพียง
=== ความช่วยเหลือจากอเมริกันอินเดียน ===
บรรทัด 163:
เจ้าของที่ดินมีความรับผิดชอบในการจ่ายค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้เช่าที่ดินทุกคนที่ต้องเสียค่าเช่าต่ำกว่า £4 ต่อปี ฉะนั้นผู้ที่มีผู้เช่าเป็นจำนวนมากจึงต้องมีภาระที่จะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมากในการเลี้ยงดูผู้เช่า ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการกำจัดผู้เช่าที่ดินที่ยากจนออกจากที่ดินแปลงเล็ก และจัดให้เช่าที่ดินผืนที่ใหญ่ขึ้นในราคาที่เกินกว่า £4 ต่อปีซึ่งทำให้เป็นการลดหนี้สินลงไป ในปี ค.ศ. 1846 ก็เริ่มมีการไล่ที่แต่การไล่ที่ขนานใหญ่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1847<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , p. 95</ref> เจมส์ ดอนเนลลีกล่าวว่าเป็นการยากที่จะกล่าวได้อย่างแน่นอนว่าผู้เช่าที่ดินที่ถูกขับไล่มีจำนวนเท่าใดระหว่างช่วงเวลาที่เกิดทุพภิกขภัยและหลังจากนั้น การบันทึกสถิติโดยตำรวจเพิ่งมาเริ่มทำกันในปี ค.ศ. 1849 ที่บันทึกว่ามีผู้ถูกขับไล่อย่างเป็นทางการทั้งหมดเกือบ 250,000 คนระหว่างปี ค.ศ. 1849 จนถึงปี ค.ศ. 1854<ref>''The Great Irish Famine'', edited by Cathal Póirtéir, RTE / Mercier Press, 1995, ISBN 1 85635 1114 , p. 155</ref>
เจมส์ ดอนเนลลีมีความเห็นว่าจำนวนดังกล่าวเป็นจำนวนที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และถ้ารวมจำนวนผู้ที่ถูกบังคับให้ “อาสา” ละทิ้งที่ดิน จำนวนทั้งหมดในช่วงวิกฤติการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1846 จนถึงปี ค.ศ. 1854 ก็คงจะเกินกว่าครึ่งล้านคนอย่างเป็นที่แน่นอน<ref name="mercier">''The Great Irish Famine'', edited by Cathal Póirtéir, RTE / Mercier Press, 1995, ISBN 1 85635 1114 , p. 156</ref>
บริเวณเวสต์แคลร์เป็นบริเวณที่เกิดการไล่ที่กันมากที่สุดเมื่อเจ้าของที่ดินขับไล่ผู้เช่าเป็นจำนวนพันและทำลายกระท่อมที่อยู่อาศัยลงจนหมด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1848 กัปตันเคนเนดีประมาณว่ากระท่อมราว 1,000 หลังที่มีผู้อาศัยถัวเฉลี่ยบ้านละหกคนถูกทำลายราบมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , p. 96</ref>
บริเวณที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากถัดจากแคลร์ก็ได้แก่เคานตี้มาโย ที่จำนวนผู้ถูกไล่ทั้งหมดสูงถึง 10% ของการถูกไล่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1849 จนถึงปี ค.ศ. 1854 เอิร์ลแห่งลูคันผู้เป็นเจ้าของที่ดิน 240 ตารางกิโลเมตรเป็นหนึ่งในบรรดาเจ้าของที่ดินที่ทำการขับไล่ที่มากที่สุด กล่าวกันว่าเอิร์ลกล่าวว่าจะไม่เป็นผู้ที่ “ขยายพันธุ์ผู้ยากจนเพื่อให้ไปเลี้ยงนักบวช” หลังจากขับไล่ผู้เช่าที่ดินไปกว่า 2,000 คนในแขวงวัดบอลลินโรบแล้วเอิร์ลแห่งลูคันก็หันมาใช้ที่ดินที่ว่างลงในการเลี้ยงปศุสัตว์<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , p. 98</ref>
จากคำกล่าวของเฮเลน ลิตตันการไล่ที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วแต่ไม่เป็นที่เปิดเผยเพราะความกลัวสมาคมลับต่างๆ แต่เมื่อสถานการณ์ทุพภิกขภัยเกิดขึ้นสมาคมเหล่านี้ก็อ่อนตัวลง แต่การแก้แค้นจากการถูกไล่ก็ยังคงมีอยู่บ้างที่เจ้าของที่ดินเจ็ดคนถูกยิง หกคนปางตายระหว่างฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1847 ลิตตันกล่าวต่อไปอีกว่าผู้อาศัยอยู่ในที่ดินที่ไม่มีผู้เช่าที่ดินอีกสิบคนถูกฆาตกรรม<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , p. 99</ref>
บรรทัด 173:
[[จอร์จ วิลเลียรส์ เอิร์ลแห่งแคลเร็นดอนที่ 4|ลอร์ดแคลเรนดอน]]ข้าหลวงแห่งไอร์แลนด์มีความวิตกถึงสถานการณ์ที่อาจจะทำให้เกิดการปฏิวัติร้องขอรัฐบาลให้มอบอำนาจพิเศษให้ แต่[[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดรัสเซลล์]]ไม่มีความรู้สึกเห็นใจต่อคำขอ ลอร์ดแคลเรนดอนเชื่อว่าเจ้าของที่ดินมีความรับผิดชอบในการทำให้เกิดสถานการณ์อันเลวร้ายแทบทั้งหมดโดยกล่าวว่า “ก็จริงที่ว่าเจ้าของที่ดินในอังกฤษไม่อยากจะถูกยิงเหมือนกระต่ายหรือไก่ฟ้า...แต่เจ้าของที่ดินในอังกฤษก็มิได้ขับไล่ผู้เช่าทีละห้าสิบคนแล้วเผาทีอยู่อาศัยโดยไม่ทิ้งอะไรให้เหลือสำหรับอนาคต” ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1847 รัฐสภาก็อนุมัติพระราชบัญญัติว่าด้วยอาชญากรรมและการกระทำอันเกินเลยเพื่อเป็นการประนีประนอมและส่งกองทหารไปสมทบยังไอร์แลนด์<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , pp. 98–99</ref>
ภายใต้ “อนุประโยคเกรกอรี” อันเลื่องชื่อของ[[กฎหมายประชาสงเคราะห์ของอังกฤษ|กฎหมายประชาสงเคราะห์]] ดอนเนลลีกล่าวว่าเป็น “บทแก้สำหรับคนยากจนชาวไอริชอันทารุณ”<ref name="mercier" /> ที่ตั้งตามชื่อสมาชิกรัฐสภาวิลเลียม เอช. เกรกอรี<ref>William H. Gregory became the husband of Lady Gregory, heir to a substantial Galway estate which he dissipated by gambling debts on the turf in the late 1840's and early 1850's. (''Cathal Póirtéir, p. 159'')</ref> และมักจะเรียกกันว่า 'อนุประโยคหนึ่งในสี่เอเคอร์' ซึ่งระบุว่าไม่มีผู้เช่าที่ดินที่มีที่ดินเกินกว่าหนึ่งในสี่เอเคอร์จะมีสิทธิที่จะได้รับการสงเคราะห์จากรัฐบาลไม่ว่าจะนอกหรือในบ้าน อนุประโยคนี้ได้รับการเสนอโดยพรรคทอรีเป็นบทแก้ไขของกฎหมายประชาสงเคราะห์ที่ได้รับอนุมัติให้เป็นกฎหมายบังคับใช้ในเดือนมิถุนายนของปี ค.ศ. 1847 ที่สมาชิกรัฐสภาโดยทั่วไปมองเป็นว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยเร่งในการทำที่ดินให้ว่างลงเร็วขึ้น แม้ว่าจะมิได้มีวัตถุประสงค์ดังกล่าวระหว่างการเสนอ<ref>''The Great Irish Famine'', edited by Cathal Póirtéir, RTE / Mercier Press, 1995, ISBN 1 85635 1114 , p. 159</ref>
== การอพยพ ==
บรรทัด 199:
{{main|การปฏิวัติของขบวนการยังไอร์แลนด์ ค.ศ. 1848}}
[[ไฟล์:William Smith O'Brien.jpg|thumb|[[วิลเลียม สมิธ โอไบรอัน]]]]
ในปี ค.ศ. 1847 [[วิลเลียม สมิธ โอไบรอัน]]ผู้นำของ[[ขบวนการยังไอร์แลนด์]]กลายเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง[[สันนิบาตไอร์แลนด์]] (Irish Confederation)<ref>Michael Doheny's The Felon's Track, M.H. Gill & Son, LTD, 1951 Edition</ref> เพื่อรณรงค์
== จำนวนผู้เสียชีวิต ==
บรรทัด 215:
{{Cquote|''เด็กที่ประสบกับทุพภิกขภัยแสดงอาการที่เป็นผลอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าตอบแห้งไปด้วยความหิว ที่เป็นใบหน้าที่ดูเหมือนใบหน้าของคนชรา''<ref>Transactions of the Central Relief Committee of the Society of Friends p. 146</ref> }}
การประมาณจำนวนผู้เสียชีวิตวิธีหนึ่งได้มาจากการเปรียบเทียบจำนวนประชากรที่คาดว่าจะมีขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1850 การพยากรณ์แรกเริ่มคาดว่าภายในปี ค.ศ. 1851 ไอร์แลนด์ควรจะมีประชากรราว 8 หรือ 9 ล้านคน การสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1841 พบว่ามีประชากรเกินกว่า 8 ล้านคนไปเล็กน้อย<ref name="A Short History of Modern Ireland" /> แต่การสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1851 ทันทีหลังจากวิกฤติการณ์ทุพภิกขภัยพบว่ามีประชากรทั้งสิ้น 6,552,385 คนซึ่งเท่ากับลดจำนวนลงถึงเกือบ 1,500,000 คนในรอบสิบปี<ref name="Irish Historical Statistics, Population, 1821/1971"> Vaughan, W.E. and Fitzpatrick, A.J.(eds). ''Irish Historical Statistics, Population, 1821/1971''. Royal Irish Academy, 1978</ref> นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่อาร์.เจย์. ฟอสเตอร์ประมาณว่าประชากร “อย่างน้อย 775,000 คนเสียชีวิต ส่วนใหญ่จากโรคร้ายที่รวมทั้ง[[อหิวาตกโรค]]ระหว่างบั้นปลายของความทุกข์ยาก”
<center>
บรรทัด 229:
<small>รายละเอียดสถิติของประชากรของไอร์แลนด์ตั้งแต่ ค.ศ. 1841 แสดงในบทความ[[การวิจัยจำนวนประชากรไอร์แลนด์]] (Irish Population Analysis)</small></center>
การประมาณตัวเลขของผู้เสียชีวิตที่อาจ
อีกปัญหาหนึ่งคือความไม่แน่นอนของข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่ทำให้เสียชีวิตที่ได้จากญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต<ref name="crawford" /> แม้ว่างานของไวล์ดจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำ แต่ก็เป็นตัวเลขที่นำมาใช้เป็นโครงสร้างของการศึกษาประวัติศาสตร์การแพทย์ของวิกฤติการณ์ของทุพภิกขภัยในไอร์แลนด์<ref>Report upon the recent epidemic fever in Ireland, Dublin ''Quartly Journal of Medical Science'' [DQJMS], vol. 7 (1849), 64–126, 340–404; vol. 8, 1–86, 270–399.</ref><ref name="crawford1999">Líam Kennedy, Paul S. Ell, E. M. Crawford & L. A. Clarkson, ''Mapping The Great Irish Famine'', Four Courts Press, 1999, ISBN 1-85182-353-0 p. 104</ref>
โรคที่มีผลอย่างรุนแรงต่อประชากรแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม<ref name="crawford1999" /> โรคที่เกิดจากทุพภิกขภัยและโรคที่เกิดจากการขาดอาหาร โรคที่เกิดจากการขาดอาหารจะเป็นความหิวโหยและ[[โรคมาราสมัส]]และอาการท้องมาน (Dropsy) ที่เป็นชื่อที่นิยมใช้เรียกอาการของโรคหลาย
สาเหตุสำคัญของการระบาดของเชื้อโรคระหว่างวิกฤติการณ์มาจากสภาวะที่เรียกว่า “การเคลื่อนย้ายของสังคม” (social dislocation) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือไข้ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากมาย ตามคตินิยมและทัศนคติทางการแพทย์ ไข้และทุพภิกขภัยมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
ทั้งคอร์แม็ค โอเกรดา และ โจล โมคีร์ กล่าวถึงการสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1851 ว่าเป็นสถิติที่มีชื่อเสียงแต่เป็นข้อมูลที่บกพร่อง และอ้างว่าตัวเลขของทั้งที่เกี่ยวกับสถาบันและบุคคลเป็นตัวเลขที่เกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิตระหว่างวิกฤติการณ์เป็นตัวเลขที่ “ไม่สมบูรณ์และมีความลำเอียง”<ref>Cormac Ó Gráda, ''Ireland's Great Famine: Inter disciplinary Perspectives'', University College Dublin Press, 2006, ISBN 1-904558-57-7 p. 3</ref> โอเกรดาอ้างงานของดับเบิลยู.เอ. แม็คอาร์เธอร์<ref>W. A. MacArthur, Medical history of the famine, in Edwards and Williams (1956) pp. 308–12</ref> ว่าผู้เชี่ยวชาญต่างก็ทราบกันมานานแล้วว่าตัวเลขของจำนวนผู้เสียชีวิตในไอร์แลนด์เป็นตัวเลขที่ไม่มีความน่าเชื่อถือในด้านความเที่ยงตรง<ref>Cormac Ó Gráda, Ireland's Great Famine: Interdisciplinary Perspectives, University College Dublin Press, 2006, ISBN 1-904558-57-7 p. 67</ref>
คณะกรรมาธิการการสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1851 รวบรวมข้อมูลของจำนวนผู้เสียชีวิตของแต่ละครอบครัวมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1841 ที่รวมทั้งสาเหตุ ฤดู และปีที่เสียชีวิต ตัวเลขที่เป็นที่ครหาก็ได้แก่: มีผู้เสียชีวิตจากทุพภิกขภัยทั้งสิ้น 21,770 คนในรอบสิบปีที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิตจากโรคภัย 400,720 คน โรคที่บันทึกก็รวมทั้งไข้ ท้องเสีย อหิวาตกโรค ฝีดาษ และ
สถิติอื่นที่อาจจะมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าและประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณหนึ่งล้านคนจากทุพภิกขภัยและเชื้อโรค และอีกหนึ่งล้านคนอพยพหนีจากทุพภิกขภัย<ref>David Ross, ''Ireland: History of a Nation'', New Lanark: Geddes & Grosset, 2002, p. 226. ISBN 1-84205-164-4</ref> นักวิชาการบางคนประมาณว่าประชากรของไอร์แลนด์ลดจำนวนลงไปราวระหว่าง 20 ถึง 25%<ref>Kinealy. ''This Great Calamity'', p. 357.</ref> ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ยังคงเก็บภาษี ค่าเช่า และส่งอาหารออกไปยังอังกฤษเป็นจำนวนกว่า £6,000,000<ref>"Irish Potato Famine and Trade,"[http://www.american.edu/TED/potato.htm] American University website.</ref>
== ผลสะท้อน ==
วิกฤติการณ์ของทุพภิกขภัยครั้งนี้เป็นผลให้สถานการณ์ทุพภิกขภัยครั้งย่อยที่เกิดขึ้นต่อมา
== การวัดประสิทธิภาพของรัฐบาลในการแก้ปัญหาวิกฤติการณ์ ==
บรรทัด 250:
[[เซอร์เจมส์ แกรม บารอนเนทที่ 2|เซอร์เจมส์ แกรม]]ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการภายในของประเทศในรัฐบาลก่อนหน้านั้นของเซอร์[[โรเบิร์ต พีล]]เขียนจดหมายถึงพีลว่า “สถานภาพอันใหญ่หลวงของวิกฤติการณ์ในไอร์แลนด์ตามความเป็นจริงนั้นสูงกว่าที่รัฐบาลคาดไว้เป็นอันมาก และไม่อาจจะสามารถวัดได้โดยกฎอันจำกัดของเศรษฐศาสตร์”<ref>Quoted in Kinealy (1995), 80.</ref>
ข้อวิจารณ์มิใช่แต่จะมาจากบุคคลภายนอกเท่านั้น [[จอร์จ วิลเลียรส์ เอิร์ลแห่งแคลเร็นดอนที่ 4|ลอร์ดแคลเรนดอน]]ข้าหลวงแห่งไอร์แลนด์เขียนจดหมายถึงลอร์ดรัสเซลล์เมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1849 ขอร้องให้รัฐบาลเพิ่มเติมความช่วยเหลือแก่ไอร์แลนด์: “กระผมไม่เห็นว่าจะมีรัฐบาลใดใดในยุโรปที่จะละเลยความทุกข์ยากที่กำลังประสบกันทางตะวันตกของไอร์แลนด์ หรือยังคงยืนยันรักษานโยบายอันเลือดเย็นของการกำจัด[ประชากร]ต่อไป”<ref name="The Great Hunger" />
นักวิจารณ์ผู้อื่นกล่าวว่าแม้ว่าหลังจากที่เริ่มมีความเข้าใจถึงสภาวะอันเลวร้ายของวิกฤติการณ์ รัฐบาลก็ยังคงมิได้แสดงการตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างพอเพียง จอห์น มิทเชลหนึ่งในผู้นำของ[[ขบวนการยังไอร์แลนด์]]เขียนในบทความ
แต่นักวิจารณ์อื่นมองเห็นการตอบโต้วิกฤติการณ์เป็นการตอบโต้ของรัฐบาลตามทัศนคติต่อปัญหาที่เรียกว่า “ปัญหาไอร์แลนด์” [[นาซอ ซีเนียร์]]ศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์แห่ง[[มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด]]กล่าวถึงทุพภิกขภัยว่า “ไม่ได้คร่าชีวิตคนมากไปกว่าล้านคน ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าเป็นจำนวนมากที่จะทำเป็นเรื่องใหญ่”<ref name="Gallagher, Michael 1982" />
=== ประวัติศาสตร์ ===
บรรทัด 261:
{{quote|''...รัฐบาลต้องตอบรับปัญหาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะช่วยผ่อนปรนการทุกข์ทรมาน ลักษณะของการโต้ตอบโดยเฉพาะหลังจากปี ค.ศ. 1846 ทำให้เห็นว่ามีนโยบายหรือแรงบันดาลใจอันซ่อนเร้น เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลใช้ข้อมูลมิใช่แต่เพียงเพื่อการวางแผนในการวางนโยบายความช่วยเหลือแต่เป็นโอกาสในการช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการจะทำมานานแล้วในไอร์แลนด์ ที่รวมทั้งการควบคุมจำนวนประชากรและการรวบรวมที่ดินด้วยวิธีต่างๆ รวมทั้งการอพยพ... แม้ว่าจะมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทุพภิกขภัยที่ยืดเยื้อมาจากรามันฝรั่งที่เกิดขึ้นปีแล้วปีเล่า แต่พื้นฐานของปรัชญาของการช่วยเหลือก็ยังเป็นการดำเนินการให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด และตามความเป็นจริงแล้วก็ลดความช่วยเหลือลงเมื่อภาวะทุพภิกขภัยเลวร้ายขึ้น''<ref>Kinealy (1995), 353.</ref>''}}
นักเขียนหลายคนโทษข้อที่สำคัญที่สุดของนโยบายของรัฐบาล ที่ยังคงอนุญาตให้ดำเนินการส่งอาหารออกจากไอร์แลนด์ต่อไป ว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของนโยบายของรัฐบาล [[ลีออน ยูริส]]เสนอว่า “ไอร์แลนด์มีอาหารเพียงพอภายในประเทศ” ขณะที่วัวที่เลี้ยงในไอร์แลนด์ถูกส่งออกไปยังอังกฤษ<ref>Jill and Leon Uris, ''Ireland A Terrible Beauty'' (New York: Bantam Books, 2003), p. 16.</ref> การโต้ตอบข้างล่างปรากฏในองค์ที่ 4 ของบทละคร “''[[Man and Superman]]''” โดย [[จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์]]:
{{quote|''MALONE: เดี๋ยวเขาก็หายของเขาเองแหละ คนเราจะรู้สึกดีขึ้นก็เมื่อได้ผิดหวังกับความรักเข้าเสียหน่อยแทนที่จะผิดหวังเรื่องเงิน คุณอาจจะคิดว่าความคิดของผมไม่เข้าเรื่อง แต่ผมรู้นะว่าผมพูดเรื่องอะไร พ่อผมตายเพราะความหิวโหยในไอร์แลนด์เมื่อปี 47 คุณคงได้ข่าวเรื่องนั้นบ้างหรอก''
''VIOLET: อ้อทุพภิกขภัยน่ะหรือ?''
บรรทัด 277:
นักประวัติศาสตร์ปีเตอร์ ดัฟฟีเขียนว่า “อาชญากรรมของรัฐบาลที่สมควรจะได้รับการประณามตลอดไป...” มีรากฐานมาจาก “ความพยายามที่จะปฏิรูปไอร์แลนด์โดยอำนาจของเจ้าของที่ดิน ในการเปลี่ยนจากที่ดินทางเกษตรกรรมไปเป็นที่ดินในการเลี้ยงปศุสัตว์...ที่กลายเป็นนโยบายที่มีความสำคัญกว่าหน้าที่ในการหาอาหาร...ให้แก่ประชากรที่อดอยาก ซึ่งทำให้ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่ามีผู้ที่มีความเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่าย[[พันธุฆาต]]”<ref>Duffy, Peter, ''The Killing of Major Denis Mahon'', 2007, HarperCollins, ISBN 978-0-06-084050-1, pgs 297-298</ref>
ผู้ออกความเห็นหลายคนโต้ว่าประสบการณ์ทุพภิกขภัยมีผลที่จารึกในความทรงจำทางวัฒนธรรมของชาวไอร์แลนด์ที่คล้ายคลึงกับผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์พันธุฆาตที่ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น โรเบิร์ต คีนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ผู้มีผลงานเขียนเกี่ยวกับไอร์แลนด์เสนอว่าทุพภิกขภัยเป็นจิตใต้สำนึกของชาติที่มีพลังที่เปรียบได้กับ “[[การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย|การแก้ปัญหาสุดท้าย]]” (final solution) ที่เกิดขึ้นกับ[[ชาวยิว]]ในระหว่าง[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] และก็มีที่เห็นว่าวิกฤติการณ์ของ[[ทุพภิกขภัย]]เป็น “แผนการฆ่าล้างชาติที่วางโดยฝ่ายอังกฤษต่อชาวไอร์แลนด์”
นักประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์คอร์แม็ค โอเกรดาไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าวิกฤติการณ์เป็นการจงใจ[[พันธุฆาต|ฆ่าล้างชาติพันธุ์]]ด้วยเหตุผลที่ว่า: ประการที่หนึ่ง “การฆ่าล้างชาติพันธุ์รวมความตั้งใจและสามารถกล่าวได้อย่างแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดแม้แต่ผู้ไม่เป็นกลางที่สุดหรือที่ดูถูกเผ่าพันธุ์มากที่สุดของยุคนั้นจะมีความตั้งใจที่จะฆ่าล้างชาวไอร์แลนด์” ประการที่สองสมาชิกในรัฐสภาแทบทุกคนต่างก็ “หวังให้สถานการณ์ในไอร์แลนด์จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น” และ ประการที่สุดท้ายผู้ที่อ้างว่าเป็นการฆ่าล้างชาติพันธุ์มองข้าม “ขนาดของวิกฤติการณ์ที่ผู้พยายามช่วยเหลือต้องประสบทั้งระดับส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น และทั้งของหลวงและของราษฏร์”
นักเขียนผู้เป็นที่รู้จักชาวไอร์แลนด์และนักแต่งเพลง[[จอห์น วอเตอร์ส (นักเขียน)|จอห์น วอเตอร์ส]]บรรยายทุพภิกขภัยว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ประกอบด้วยความทารุณทุกแบบทุกอย่าง และทุพภิกขภัยเป็น “การฆ่าล้างชาติที่มีสาเหตุมาจากการถือชาติถือผิวและถือว่าทำได้ตามเหตุผลทางปรัชญา”
== อ้างอิง ==
บรรทัด 311:
* [[การขาดแคลนอาหาร]]
* [[ไฟทอฟธอรา อินเฟสทันส]]
* [[ขบวนการยังไอร์แลนด์]]
* [[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800]]
* [[กฎหมายประชาสงเคราะห์ของอังกฤษ]]
|