ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
Bact (คุย | ส่วนร่วม)
เพิ่มรายละเอียดเหตุการณ์ Young Ireland และการบริจาคเงิน + ตัวสะกด
ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560
บรรทัด 8:
 
== สาเหตุและปัจจัยที่ประกอบ ==
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1801 ภายใต้[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800|พระราชบัญญัติสหภาพ]] ไอร์แลนด์ปกครองโดยตรงในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ[[สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์|สหราชอาณาจักร]] อำนาจการบริหารตกอยู่ในมือของ[[ข้าหลวงใหญ่แห่งไอร์แลนด์]]และ[[เลขาธิการเอกแห่งไอร์แลนด์]]ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลบริติช ไอร์แลนด์มีสมาชิกรัฐสภา 105 คนใน[[สภาสามัญชน]] และ [[:หมวดหมู่:ขุนนางไอร์แลนด์|ขุนนางสืบตระกูลไอร์แลนด์]]ก็เลือกสมาชิกในกลุ่มของตนเองอีก 28 คนสำหรับนั่งใน[[สภาขุนนาง]] ระหว่างปี ค.ศ. 1832 จนถึงปี ค.ศ. 1859 เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของผู้แทนของไอร์แลนด์มาจากเจ้าของที่ดินหรือลูกของเจ้าของที่ดิน<ref name="Cathal Poirteir" />
 
ในช่วงสี่สิบปีหลังการรวมตัวเป็นสหราชอาณาจักรรัฐบาลบริติชต่อมาหลายรัฐบาลก็พยายามหาวิธีแก้ปัญหาการปกครองในไอร์แลนด์ ตามที่[[เบนจามิน ดิสราเอลี]]กล่าวในปี ค.ศ. 1844 ว่าเป็นประเทศที่ “ประชากรเต็มไปด้วยทุพภิกขภัย, ขุนนางที่ไม่มีตัวตน, [[นิกายเชิร์ชออฟไอร์แลนด์|สถาบันศาสนา]]ที่เข้าไม่ถึงประชาชน และระบบบริหารที่ย่ำแย่ที่สุดในโลก”<ref>Quoted in Blake (1967), p. 179.</ref> นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งคำนวณว่าระหว่างปี ค.ศ. 1801 จนถึงปี ค.ศ. 1845 รัฐบาลก่อตั้งคณะกรรมาธิการ 114 คณะ และคณะกรรมาธิการพิเศษอีก 61 คณะ เพื่อทำการศึกษาสถานการณ์ของไอร์แลนด์ ซึ่งต่างก็เห็นพ้องกัน “โดยไม่มีข้อยกเว้นจากการวินิจฉัยที่ต่างก็ทำนายถึงวิกฤติการณ์ที่จะเกิดขึ้นที่รวมทั้ง: ไอร์แลนด์อยู่ในภาวะที่ใกล้จะอดตาย, ประชากรทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว, ประชากรสามในสี่ไม่มีงานทำ, สภาวะการอยู่อาศัยอยู่ในสภาพที่น่าขยะแขยง และ มาตรฐานความเป็นอยู่อยู่ในระดับต่ำอย่างเหลือเชื่อ”<ref>Woodham-Smith (1964), p. 31.</ref> สภาวะของสังคมดังกล่าวนี้ตรงกันกับข้ามกับสภาวะสังคมในบริเตนในช่วงเวลาเดียวกัน ในขณะนั้นบริเตนเริ่มจะได้รับผลประโยชน์จากความมั่งมีของสมัยใหม่ของ[[สมัยวิคตอเรีย]]ที่เป็นผลจากความเจริญรุ่งเรืองของ[[ยุคอุตสาหกรรม]]
 
นอกจากนั้นกฎหมายที่จำกัดการศึกษาสำหรับชาวไอริชคาทอลิก และการเป็นเจ้าของที่ดินก็เป็นผลให้ความเจริญเช่นที่เกิดขึ้นในอังกฤษเป็นไปได้ยากในไอร์แลนด์ จนกระทั่งเมื่อ[[กฎหมายอาญา]]ถูกยกเลิกเพียงห้าสิบปีก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ทุพภิกขภัย แต่การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าเพราะครอบครัวที่เป็นเจ้าของที่ดินก็ยังคงรักษาที่ดินไว้ในมือ
 
=== เจ้าของและผู้ทำงานในที่ดิน ===
[[การปลดแอกคาทอลิก|นโยบายปลดแอกคาทอลิก]]เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1829 ประชากรของไอร์แลนด์ 80 เปอร์เซ็นต์นับถือคริสต์ศาสนา[[นิกายโรมันคาทอลิก]] ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนที่อยู่ในสภาพที่ยากจนและไม่มีความมั่นคงทางสังคม ในขณะที่ชนชั้นสูงในสังคมเป็นผู้นับถือคริสต์ศาสนานิกาย[[โปรเตสแตนต์]] ที่เป็นครอบครัว[[ชาวอังกฤษ]]หรือ[[ชาวอังกฤษ-ไอร์แลนด์]] ผู้มีฐานะเป็นเจ้าของที่ดินเกือบทั้งหมด และมีอำนาจอันไม่มีขอบเขตเหนือผู้ทำงานในที่ดิน เจ้าของที่ดินบางคนก็มีที่ดินเป็นจำนวนมากเช่น[[เอิร์ลแห่งลูคัน]]ที่เป็นเจ้าของที่ดินถึง 240 ตารางกิโลเมตร เจ้าของที่ดินหลายคนมีที่พักในอังกฤษซึ่งทำให้เป็นเพียงเจ้าของที่ดินที่ไม่มีตัวตน (absentee landlords) เจ้าของที่ดินเหล่านี้ใช้ตัวแทนในการบริหารที่ดินในไอร์แลนด์และส่งรายได้ที่ได้รับกลับไปอังกฤษ<ref name="Helen Litton">Helen Litton, ''The Irish Famine: An Illustrated History'', Wolfhound Press, 1994, ISBN 0-86327-912-0</ref> เจ้าของที่ดินที่ไม่มีตัวตนที่อาศัยอยู่ในอังกฤษบางคนก็ไม่เคยแม้แต่จะเหยียบแผ่นดินไอร์แลนด์ ได้แต่เพียงเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าผู้ยากเข็ญ หรือจ่ายค่าจ้างเพียงจำนวนเพียงเล็กน้อยในการทำการเกษตรกรรมหรือเลี้ยงปศุสัตว์เพื่อส่งออก<ref name="Edward Laxton">Edward Laxton, ''The Famine Ships: The Irish Exodus to America 1846-51'', Bloomsbury, 1997, ISBN 0-7475-3500-0</ref>
 
[[ไฟล์:Daniel O'Connell.png|thumb|220px|[[แดเนียล โอคอนเนลล์]]แห่ง[[สมาคมเพื่อการเพิกถอนการเป็นสหภาพ]]]]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1843 เมื่อรัฐบาลบริติชภายใต้การนำของ[[นายกรัฐมนตรี]][[เซอร์ โรเบิร์ต พีล]]พิจารณาเห็นว่าปัญหาที่ดินเป็นบ่อเกิดของความไม่พึงพอใจที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์ พีลก็ได้ก่อตั้ง[[Devon Commission|คณะกรรมาธิการเดวอน]] (Devon Commission) โดยมีเอิร์ลแห่งเดวอนเป็นประธานเพื่อสืบสวนเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของที่ดินในในไอร์แลนด์ นักการเมืองไอริช[[แดเนียล โอคอนเนล]]วิจารณ์คณะราชกรรมาธิการชุดนี้ว่าเป็นคณะกรรมการข้างเดียวอย่างแท้จริงเพราะสมาชิกทั้งหมดเป็นเจ้าของที่ดินโดยไม่มีตัวแทนที่เป็นผู้เช่าที่ดิน<ref>Cecil Woodham-Smith, ''The Great Hunger'', Harmondsworth: Penguin, 1991, ISBN 978-0-14-014515-1, pp. 20–1</ref> ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1845 คณะราชกรรมาธิการก็รายงานว่า “เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรยายถึงความลำบากยากเข็ญที่[ชนชั้นแรงงานชาวไอริชและครอบครัว]ต้องทนกันมาอย่างไม่มีปากมีเสียง . . . ในบางแขวงอาหารอย่างเดียวที่มีเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็มีแต่มันฝรั่ง . . .กระท่อมที่อยู่ก็แทบจะไม่มีการป้องกันจากสภาวะอากาศ . . .เตียงหรือผ้าห่มก็หายากที่จะมีกัน . . .และทรัพย์สมบัติอย่างเดียวที่มีกันเกือบทุกคนก็คือหมูและกองขี้หมู” สมาชิกของคณะราชกรรมาธิการสรุปว่าสมาชิกเอง “ไม่อาจจะยับยั้งที่จะกล่าวถึงความอดทนต่อสภาวะอันแสนเข็ญของชนชั้นแรงงานที่คณะกรรมาธิการเชื่อว่าเป็นความลำบากอันมากกว่าชาติใดใดในยุโรปที่ต้องทน”<ref name="Cecil Woodham-Smith 1991, p. 24">Cecil Woodham-Smith, ''The Great Hunger'', Harmondsworth: Penguin, 1991, ISBN 978-0-14-014515-1, p. 24</ref>
 
คณะราชกรรมาธิการกล่าวว่าต้นตอของปัญหามาจากความสัมพันธ์อันเลวร้ายระหว่างเจ้าของที่ดินและผู้เช่าที่ดิน ซึ่งเป็นภาวะของการขาดความจงรักภักดีต่อเจ้าของที่ดิน และเจ้าของที่ดินเองก็ขาดความรับผิดชอบในการพิทักษ์ผู้ทำงานในที่ดิน ซึ่งแตกต่างกับที่ปฏิบัติกันในอังกฤษเพราะไอร์แลนด์เป็นดินแดนที่ถูกพิชิต เมื่อเอิร์ลแห่งแคลร์กล่าวถึงเจ้าของที่ดินว่า “การยึดที่ดินเป็นเรื่องที่ทำกันโดยปกติ” นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษเซซิล วูดแดม-สมิธกล่าวว่าเจ้าของที่ดินถือว่าที่ดินเป็นแหล่งหารายได้สำหรับการบีบคั้นให้ได้รายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่ชาวไอริช “ก้มหน้าก้มตาวิตกถึงความไม่พึงพอใจต่างๆ ที่เกิดขึ้น” ตามความเห็นของเอิร์ลแห่งแคลร์เจ้าของที่ดินมีความเห็นว่าไอร์แลนด์คือดินแดนที่ไม่เป็นมิตรสำหรับการใช้เป็นที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นผลทำให้เจ้าของที่ดินเลี่ยงที่จะพำนักอยู่กับที่ดินและกลายมาเป็นเจ้าของที่ดินล่องหนกันไปตามตามกัน จะมีบางคนทีอาจจะเดินทางไปดูที่ครั้งหรือสองครั้งในชีวิต ค่าเช่าที่ได้รับมาก็นำไปใช้ในอังกฤษ ซึ่งในปี ค.ศ. 1842 ประมาณกันว่าได้มีการนำเงินออกจากไอร์แลนด์เป็นจำนวนถึง £6,000,000 การเก็บค่าเช่าก็ตกอยู่ในความรับผิดชอบของผู้จัดการที่ทำงานให้แก่เจ้าของที่ดิน ซึ่งตามความเห็นของวูดแดม-สมิธแล้ว ความมีประสิทธิภาพของผู้จัดการก็วัดได้จากการเรียกเก็บหรือขูดค่าเช่าจากผู้เช่าที่ดิน<ref>Cecil Woodham-Smith, ''The Great Hunger'', Harmondsworth: Penguin, 1991, ISBN 978-0-14-014515-1, p. 21</ref>
บรรทัด 30:
 
=== ผู้เช่าที่ดิน, การแบ่งที่ดิน และ การล้มละลาย ===
ในปี ค.ศ. 1845 ยีสิบสี่เปอร์เซ็นต์ของฟาร์มที่ให้เช่าในไอร์แลนด์มีขนาดระหว่าง 0.4 ถึง 2&nbsp;เฮคตาร์ (1 ถึง 5 เอเคอร์) อีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์มีขนาดระหว่าง 2 ถึง 6 เฮคตาร์ (5 ถึง 15 เอเคอร์) ขนาดของที่ดินที่แบ่งออกไปมีขนาดเล็กจนกระทั่งปลูกได้ก็แต่มันฝรั่งเพียงอย่างเดียว—ไม่มีพืชอื่น—ที่ปลูกได้พอที่จะเลี้ยงครอบครัว รัฐบาลบริติชรายงานไม่นานก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ทุพภิกขภัยว่าความจนแผ่ขยายอย่างกว้างขวางจนหนึ่งในสามของผู้เช่าที่ดินไม่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้หลังจากที่จ่ายค่าเช่าแล้ว นอกจากว่าจะเดินทางไปหารายได้เพิ่มเติมเป็นคนงานชั่วฤดู (migrant labour) ในอังกฤษหรือสกอตแลนด์<ref name="fn_1">Robert Kee, ''The Laurel and the Ivy: The Story of Charles Stewart Parnell and Irish Nationalism'' p. 15.</ref> หลังจากวิกฤติการณ์ทุพภิกขภัย ก็มีการปฏิรูปที่ดินที่ห้ามการแบ่งที่ดินให้มีขนาดเล็กลงไปอีก<ref>Jill and Leon Uris, Ireland A Terrible Beauty (New York, Bantam Books,2003), p. 15.</ref>
 
จากการสำรวจจำนวนประชากรในปี ค.ศ. 1841 พบว่ามีประชากรกว่าแปดล้านคน สองในสามของจำนวนนวนนั้นดำรงชีพโดยการทำการเกษตรกรรมและแทบจะไม่มีรายได้จากค่าแรงงานอื่น ประชากรเหล่านี้ต้องทำงานให้แก่เจ้าของที่ดินเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับที่ดินเพียงกระแบะมือที่ใช้ในการปลูกพืชสำหรับเลี้ยงตนเองและครอบครัว ซึ่งทำให้ระบบเกษตรกรรมของไอร์แลนด์กลายเป็น[[ระบบเกษตรกรรมพืชเดี่ยว]]ซึ่งเป็นระบบที่เกษตรกรปลูกแต่เพียงพืชชนิดเดียว ซึ่งก็คือมันฝรั่งเพื่อให้เป็นจำนวนพอเพียงที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ สิทธิในการได้ที่ดินในไอร์แลนด์ในช่วงนั้นจึงมีความหมายถึงการตายหรือการอยู่รอดในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19<ref name="Edward Laxton" />
 
=== ภาวะพึ่งพิงมันฝรั่ง ===
[[มันฝรั่ง]]นำเข้ามาปลูกในไอร์แลนด์ในช่วงแรกเป็นพืชสวนสำหรับชนชั้นผู้ดี เมื่อมาถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 มันฝรั่งก็แพร่หลายไปเป็นอาหารประกอบแทนที่จะเป็นอาหารหลัก อาหารหลักขณะนั้นยังเป็นเนย นม และธัญพืช ในยี่สิบปีแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 18 มันฝรั่งจึงกลายมาเป็นอาหารหลักสำหรับคนยากจนโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว<ref>Cathal Póirtéir, ''The Great Irish Famine'', Mercier Press (1995), ISBN 1-85635-111-4, pp. 19–20</ref> การขยายตัวของเศรษฐกิจระหว่าง ค.ศ. 1760 จนถึง ค.ศ. 1815 ทำให้มันฝรั่งกลายมาเป็นอาหารหลักตลอดปีสำหรับเกษตรกรและชนชั้นเกษตรกรที่มีที่ทำกินน้อย<ref name="Cathal Póirtéir 1995 p. 20">Cathal Póirtéir, ''The Great Irish Famine'', Mercier Press (1995), ISBN 1-85635-111-4, p. 20</ref>
 
การขยายการปลูกมันฝรั่งเป็นปัจจัยของการวิวัฒนาการของระบบเกษตรกรผู้เช่านา ที่ทำให้เจ้าของที่ดินสามารถได้แรงงานที่มีราคาต่ำที่สุดแต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ระดับความเป็นอยู่ของแรงงานที่จ้างมาต่ำตามลงไปด้วย สำหรับเกษตรกรเองค่าจ้างมันฝรั่งก็สิ่งจำเป็นในการขยายเศรษฐกิจการเกษตรกรรม<ref name="Cathal Póirtéir 1995 p. 20" /> การขยายตัวนี้ก็นำไปสู่การขยายเนื้อที่ในการปลูกมันฝรั่งที่เพิ่มมากขึ้นและการขยายตัวของชนชั้นแรงงานเกษตรกรที่ตามมา เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1841 ชนชั้นเกษตรกรแรงงานก็มีด้วยกันกว่าหนึ่งล้านคน ผู้มีครอบครัวอีกเจ็ดแสนห้าหมื่นคน ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์หลักจากระบบนี้คือผู้บริโภคในอังกฤษ<ref name="Cathal Póirtéir 1995 p. 20" />
บรรทัด 44:
[[ไฟล์:Late_blight_on_potato_leaf_2.jpg|thumb|240px|จ้ำดำที่ปรากฏบนใบ[[มันฝรั่ง]]ที่โดย[[ไฟทอฟธอรา อินเฟสทันส]]]]
[[ไฟล์:Phytophtora_infestans-effects.jpg|thumb|240px|หัวมันฝรั่งที่ถูกเชื้อราที่ในที่สุดก็จะเน่าเละส่งกลิ่นเหม็น]]
ก่อนหน้าที่ “[[ไฟทอฟธอรา อินเฟสทันส]]” หรือที่เรียกว่า “[[รามันฝรั่ง]]” จะระบาดขึ้นในไอร์แลนด์ มันฝรั่งมีโรคหลักอยู่สองโรค<ref name="James S. Donnelly p. 40">James S. Donnelly, JR, ''The Great Irish Potato Famine'', Sutton Publishing (UK 2005 RP), ISBN 0-7509-2928-6, p. 40</ref> โรคหนึ่งเรียกว่า “dry rot” หรือ “taint” อีกโรคหนึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่เรียกกันว่า “curl”<ref name="James S. Donnelly p. 40" /><ref name="Kinealy, Christine 1995. p. 31">Kinealy, Christine. ''This Great Calamity: The Irish Famine 1845–52''. Gill & Macmillan: 1995. ISBN 1-57098-034-9, p. 31</ref> นักเขียนดับเบิลยู.ซี. แพดด็อคกล่าวว่า “[[ไฟทอฟธอรา อินเฟสทันส]]” เป็น[[ราน้ำ]] (oomycete) ที่อันที่จริงแล้วไม่ใช่ “รา” ตามที่เข้าใจกัน<ref>W.C. Paddock, "Our Last Chance to Win the War on Hunger", 1992, Advances in Plant Pathology 8:197–222.</ref>
 
ในปี ค.ศ. 1851 การสำรวจจำนวนประชากรในไอร์แลนด์ของคณะราชกรรมาธิการบันทึกความเสียหายที่ต่างระดับกันของผลผลิตมันฝรั่งที่เกิดขึ้นถึงยี่สิบสี่ครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1728 เป็นต้นมา
* ค.ศ. 1739 และ ค.ศ. 1740 ผลผลิตทั้งหมดถูกทำลายจนหมดสิ้น
* ค.ศ. 1770 ผลผลิตส่วนใหญ่ก็ได้รับความเสียหาย
บรรทัด 66:
เมื่อเชื้อโรคมาถึงไอร์แลนด์ก็ระบาดอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1845 รามันฝรั่งก็ระบาดไปทั่วบริเวณตอนเหนือและตอนกลางของยุโรป [[เบลเยียม]] [[เนเธอร์แลนด์]] ตอนเหนือของ[[ฝรั่งเศส]] และทางใต้ของ[[อังกฤษ]] เมื่อกลางเดือนสิงหาคมมันฝรั่งทั้งหมดก็โดนเชื้อรา <ref name="James S. Donnelly p. 42">James S. Donnelly, JR, ''The Great Irish Potato Famine'', Sutton Publishing (UK 2005 RP), ISBN 0-7509-2928-6, p. 42</ref>
 
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นิตยสาร “''Gardeners' Chronicle and Horticultural Gazette''” ก็พิมพ์รายงานที่บรรยาย 'เชื้อราที่มีลักษณะที่ไม่เหมือนปกติ' ที่พบบน[[เกาะไวท์]] อาทิตย์หนึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม นิตยสารก็รายงานว่า 'โรคร้ายระบาดในบรรดาแปลงมันฝรั่ง...ในเบลเยียมกล่าวกันว่าแปลงมันฝรั่งถูกทำลายทั้งแปลง ในตลาดคัฟแวนท์การ์เด็นแทบจะหามันฝรั่งที่ไม่มีเชื้อโรคได้...ถ้าพูดถึงวิธีการกำจัดโรคร้ายนี้ ก็เห็นจะไม่มี...'<ref>Cecil Woodham-Smith (1962) ''The Great Hunger: Ireland 1845–9'': 39–40</ref> รายงานเหล่านี้ตีพิมพ์อย่างละเอียดในหนังสือพิมพ์ไอริช<ref>Kinealy, Christine. ''This Great Calamity: The Irish Famine 1845–52''. Gill & Macmillan: 1995. ISBN 1-57098-034-9, p. 33</ref> เมื่อวันที่ 13 กันยายน<ref>Christine Kinealy, ''This Great Calamity'', Gill & Macmillan, 1994, ISBN 0-7171-4011-3 p. 32 put the date at the 16th</ref> นิตยสาร “''Gardeners' Chronicle''” ประกาศว่า: 'เราขอประกาศข่าวใหญ่ด้วยความเศร้าใจว่าเชื้อมันฝรั่งเมอร์เรนได้ประกาศตนเองในไอร์แลนด์อย่างไม่มีข้อกังขา แต่รัฐบาลบริติชก็ยังมีความหวัง[ว่าเหตุการณ์จะดีขึ้น]อยู่ต่อไปอีกหลายสัปดาห์'<ref>Cecil Woodham-Smith (1962) ''The Great Hunger: Ireland 1845–9'': 39–40</ref>
 
ความเสียหายของพืชผลในปี ค.ศ. 1845 ประมาณกันว่าสูงถึงราว 50% ของพืชผลทั้งหมด<ref>Christine Kinealy, ''This Great Calamity'', Gill & Macmillan, 1994, ISBN 0-7171-4011-3 p. 32</ref> ถึงหนึ่งในสาม<ref>Cormac Ó Gráda, ''Ireland's Great Famine: Interdisciplinary Perspectives,'' University College Dublin Press, 2006, ISBN 1-904558-57-7 p. 7</ref> คณะกรรมาธิการแมนชันเฮาส์ (The Mansion House Committee) ใน[[ดับลิน]] ที่เป็นที่รับจดหมายจากทั่วไอร์แลนด์อ้างว่าเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1845 ทางคณะกรรมาธิการก็ได้ประเมินผลเสียหายอย่าง 'ไม่มีข้อสงสัยว่าเกิดขึ้นกับหนึ่งในสามของพืชผลมันฝรั่งทั้งหมด ... ถูกทำลายไปเสร็จสิ้นแล้ว'<ref name="James S. Donnelly p. 42" />
 
ในปี ค.ศ. 1846 สามในสี่ของพืชผลก็สูญเสียไปกับเชื้อโรค<ref name="Liam Kennedy 1999, p. 69">Liam Kennedy, Paul S. Ell, E. M. Crawford & L. A. Clarkson, Mapping The Great Irish Famine, Four Courts Press, 1999, ISBN 1-85182-353-0 p. 69</ref> เมื่อมาถึงเดือนธันวาคม ผู้คนราวสามแสนห้าหมื่นคนของผู้ที่หมดหนทางก็ได้รับการจ้างโดยรัฐบาลให้ทำงานสาธารณะ (public works)<ref>David Ross (2002) ''Ireland: History of a Nation'': 311</ref> คอร์แม็ค โอเกรดากล่าวว่าการระบาดครั้งแรกทำให้เกิดความยากเข็ญในชนบทของไอร์แลนด์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1846 ก็เริ่มมีบันทึกเป็นครั้งแรกถึงการสูญเสียชีวิตที่เกิดจากทุพภิกขภัย<ref>Cormac Ó Gráda, ''Ireland's Great Famine: Interdisciplinary Perspectives, '' University College Dublin Press, 2006, ISBN 1-904558-57-7 p. 9</ref> ในปี ค.ศ. 1848 หัวมันฝรั่งที่ใช้ในการเพาะก็เริ่มหายากขึ้น และแทบจะไม่มีการปลูกมันฝรั่งกัน ฉะนั้นแม้ว่าอัตราพืชผลจะเป็นระดับปกติ แต่ผลผลิตทั้งหมดก็เป็นเพียงสองในสามของจำนวนการปลูกตามปกติ ซึ่งทำให้วิกฤติการณ์ของทุพภิกขภัยก็ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อชาวไอริช 3 ล้านคนต้องพึ่งมันฝรั่งเป็นอาหารหลัก ความหิวโหยและทุพภิกขภัยก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้<ref name="Liam Kennedy 1999, p. 69" />
 
== ปฏิกิริยาในไอร์แลนด์ ==
[[บริษัทดับลิน|รัฐบาลดับลิน]] (Corporation of Dublin) ส่งคำร้องไปถวาย[[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]]ร้องขอให้พระองค์ทรงเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการฉุกเฉิน และขอให้ทรงส่งเงินจากภาษีรายได้มาเพื่อใช้ในการบรรเทาภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยการนำไปใช้ในการว่าจ้างแรงงานสำหรับสร้างสิ่งก่อสร้างสารธารณะโดยเฉพาะการสร้างทางรถไฟในไอร์แลนด์ เทศาภิบาลแห่งเมือง[[เบลฟาสต์]]ประชุมและตกลงกันส่งคำร้องที่คล้ายคลึงกัน ตามความเห็นของจอห์น มิทเชลในหนังสือ “''การพิชิตไอร์แลนด์ครั้งสุดท้าย (อาจเป็นได้)''” (The Last Conquest of Ireland (Perhaps)) กล่าวว่าทั้งสองรัฐบาลต่างก็มิได้ขอเงินทาน “[ดับลินและเบสฟาสต์]เรียกร้องว่าถ้าไอร์แลนด์เป็นส่วนสำคัญของสหราชอาณาจักรจริงแล้ว เงินในท้องพระคลังของทั้งสองอาณาจักรก็เป็นสิ่งที่ควรจะนำมาใช้[ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น]—ฉะนั้นจึงมิใช่เป็นการให้เงินทาน แต่เพื่อใช้ในการว่าจ้างแรงงานสำหรับการสร้างสิ่งก่อสร้างที่เป็นของสารธารณะเพื่อการใช้สอยโดยทั่วไป” มิทเชลให้ความเห็นต่อไปว่า “ถ้ายอร์คเชอร์และแลงคาสเชอร์ในอังกฤษต้องประสบปัญหาอันเลวร้ายเช่นในไอร์แลนด์ ก็เห็นจะไม่เป็นที่ต้องสงสัยเลยว่าการแก้ปัญหาดังที่กล่าวจะเป็นไปอย่างเร่งด่วนและเป็นอันมาก”<ref>John Mitchel, ''Last Conquest of Ireland (Perhaps)'', Lynch, Cole & Meehan 1873, reprint 2005, ISBN 1-904558-36-4 pp. 94–96</ref>
 
ตัวแทนจากประชาชน[[ดับลิน]]ที่รวมทั้งดยุคแห่งไลนสเตอร์, นายกเทศมนตรี, ลอร์ดคลอนเคอร์รี และ แดเนียล โอคอนเนลล์เดินทางไปพบปะกับ[[วิลเลียม อคอร์ท บารอนเฮทสบรีที่ 1|ลอร์ดเฮทสบรี]][[ข้าหลวงใหญ่แห่งไอร์แลนด์]]เพื่อตั้งข้อเสนอต่างๆ ในการพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นเปิดเมืองท่าสำหรับข้าวโพดจากต่างประเทศในชั่วระยะเวลานั้น หยุดยั้งการทำการกลั่นจากธัญพืช หรือสร้างโครงการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะ ซึ่งต่างก็เป็นโครงการที่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วนอยู่แล้ว ขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนหลายล้านคนแทบจะไม่มีอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง คำตอบของลอร์ดเฮทสบรีต่อผู้มาพบปะคือ “ตีตนไปก่อนไข้” และกล่าวแนะนะว่าไม่ควรจะตื่นตัว และ ทางด้านการบริหารก็ได้ส่งผู้มีความรู้ไปยังอังกฤษเพื่อไปสอบถามกิจการที่เกี่ยวกับปัญหานี้ และเจ้าหน้าที่รัฐบาลสำคัญๆ ก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอรายงานจากแขวงต่างๆ และไม่ปรากฏว่ามี “ความกดดันอันเร่งด่วนจากตลาด”<ref>John Mitchel, ''Last Conquest of Ireland (Perhaps)'', Lynch, Cole & Meehan 1873, reprint 2005, ISBN 1-904558-36-4 pp. 94–96</ref> ในจดหมายของเซอร์[[โรเบิร์ต พีล]]ถึงรัฐมนตรีว่าการภายในของประเทศ[[เซอร์เจมส์ แกรม บารอนเนทที่ 2|เซอร์เจมส์ แกรม]]กล่าวสรุปจากบรรดารายงานที่ส่งไปจากลอร์ดเฮทสบรีว่า มีเนื้อหาที่เป็นการแสดงสถานการณ์ที่ “น่าวิตกเป็นอันมาก” แต่ตามความเห็นของวูดแดม-สมิธติงว่า “การรายงานข่าวของไอร์แลนด์มักจะออกไปในทางเกินเลย”<ref>Woodham-Cecil Woodham-Smith (1962), 41–42</ref>
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1845 [[แดเนียล โอคอนเนลล์]]แห่ง[[สมาคมเพื่อการเพิกถอนการเป็นสหภาพ]] เสนอการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยวิธีต่างๆ ที่ข้อแรกคือการนำ “[[สิทธิผู้เช่าที่ดิน]]” ที่ปฏิบัติกันใน[[อัลสเตอร์]]อยู่แล้วมาใช้ในบริเวณอื่นของไอร์แลนด์ ซึ่งทำให้เจ้าของที่ดินได้ค่าเช่าที่ยุติธรรม และในขณะเดียวกันผู้เช่าก็ได้รับค่าตอบแทนจากเจ้าของที่ดินถ้าทำการลงทุนไปในการปรับปรุงการใช้ที่ดินอย่างถาวรระหว่างการที่เช่าที่ดินอยู่<ref name="John Mitchel 1873, p. 96">John Mitchel, Last Conquest of Ireland (Perhaps), Lynch, Cole & Meehan 1873, reprint 2005, ISBN 1-904558-36-4 p. 96</ref>
 
บรรทัด 81:
แดเนียล โอคอนเนลชี้ให้เห็นถึงวิธีที่รัฐบาลเบลเยียมใช้ในการแก้ปัญหาในฤดูเดียวกันโดยการปิดเมืองท่าจากการส่งอาหารออกนอกประเทศ แต่เปิดให้ส่งอาหารเข้าได้ และเสนอว่าถ้าไอร์แลนด์มีรัฐสภาเป็นของตนเองแล้วเมืองท่าเหล่านี้ก็คงจะเปิดกว้างเพื่อรับอาหาร และพืชผลจำนวนมากมายที่ปลูกในไอร์แลนด์ก็คงจะได้รับการรักษาไว้เพื่อประชากรของไอร์แลนด์เอง โอคอนเนลมีความเชื่ออย่างเหนียวแน่นว่าการมีรัฐสภาแห่งไอร์แลนด์เท่านั้นที่จะเป็นหนทางที่จะแก้ปัญหาเรื่องอาหารและแรงงานแก่ประชากรของไอร์แลนด์เองได้ และกล่าวว่าการยกเลิก[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800|พระราชบัญญัติสหภาพ]]เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องกระทำเพราะเป็นความหวังเดียวที่ไอร์แลนด์ยังคงมีอยู่<ref name="John Mitchel 1873, p. 96" />
 
[[จอห์น มิทเชล]]หนึ่งในผู้นำของนักเขียนบทความทางการเมืองของ[[ขบวนการยังไอร์แลนด์]] ซึ่งเป็นขบวนการทางการเมือง วัฒนธรรม และสังคมเพื่อการปลุกเร้าความเป็นชาตินิยมของไอร์แลนด์เขียนในหนังสือพิมพ์ “''[[ดิ เนชั่น (หนังสือพิมพ์ไอร์แลนด์)|ดิ เนชั่น]]''” ให้ความเห็นถึงปัญหา “เชื้อโรคมันฝรั่ง” ในไอร์แลนด์ ว่าทุพภิกขภัยเป็นพลังสำคัญที่เป็นสาเหตุของการปฏิวัติมาก่อนหน้านั้นหลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์<ref>The Nation Newspaper, 1 November 1844.</ref> เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1846 มิทเชลเสนอความเห็นถึง “วิธีอันน่าเวทนาของการแก้ปัญหาทุพภิกขภัยว่าเป็นการแก้กันอย่างเป็นเรื่องปลีกย่อย” และตั้งกระทู้ว่ารัฐบาลถึงความเข้าใจว่าเพียงอีกไม่นาน “ประชาชนในไอร์แลนด์เป็นจำนวนหลายล้านคนจะไม่มีอะไรใส่ปากใส่ท้อง”<ref>Young Ireland, T. F. O'Sullivan, The Kerryman Ltd. 1945</ref>
 
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1846 มิทเชลตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติเพื่อการรักษาความสงบในไอร์แลนด์ ที่ได้รับการเสนอต่อสภาขุนนาง ว่าเป็นเพียงร่างพระราชบัญญัติที่จงใจที่จะเขียนขึ้นโดยไม่ให้มีผู้ใดเป็นคัดค้านในสภาสามัญชน แต่มิทเชลให้ความเห็นว่าทัศนคติของรัฐบาลอาจจะแตกต่างกันเมื่อมาถึงปัญหาการเลี้ยงประชาชนไอริช ซึ่งก็คือ “การตกลงกันที่เป็นไปอย่างราบรื่นในนโยบายการเก็บภาษี, การพิจารณาโทษ และการทำลาย[ชาวไอริช]”<ref name="newspaper1"> The Nation Newspaper, 1846</ref> ในบทความ “''การปกครองของอังกฤษ''” (English Rule) ของวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1846 จอห์น มิทเชลเขียนว่าชาวไอร์แลนด์ “คาดการณ์ทุพภิกขภัยที่จะมาถึงเป็นกิจการประจำวัน” และมีความเห็นพ้องต้องกันว่ามิได้เป็นเหตุการณ์ที่ “เกิดจากการกระทำของพระเจ้า แต่เกิดจากความโลภและนโยบายอันทารุณของอังกฤษ” และกล่าวต่อไปในบทความเดียวกันว่าประชาชนชาวไอร์แลนด์“เชื่อว่าแรงงานที่ลงไปเป็นแรงงานที่ทำเพื่อเป็นการสนองความความโลภของอังกฤษ และลูกที่หิวโหยไม่อาจจะเห็นอาหารบนจาน เห็นก็แต่อุ้งมือของชาวอังกฤษที่มาแย่งฉวยอาหารจากจานตรงหน้า” มิทเชลกล่าวชาวไอร์แลนด์ได้แต่นั่งมอง “อาหารที่ละลายไปกับการเน่าสลายลงไปในปฐพี” ขณะเดียวกันกับที่นั่งมอง “เรือที่เพียบไปด้วยข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวจากการหว่านการปลูกด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองกางใบแล่นไปยังอังกฤษ”<ref name="newspaper1" />
 
ต่อมามิทเชลก็เขียนบทความอีกบทความหนึ่งเกี่ยวกับทุพภิกขภัยที่เป็นที่แพร่หลายชื่อ “''การพิชิตไอร์แลนด์ครั้งสุดท้าย (อาจเป็นได้)''” ในปี ค.ศ. 1861 ซึ่งเป็นบทความที่สร้างทัศนคติที่แพร่หลายว่าการแก้ปัญหาทุพภิกขภัยโดยบริติชเป็นการจงใจฆาตกรรมชาวไอร์แลนด์ และมีวลีที่มีชื่อเสียงที่ว่า:
บรรทัด 96:
[[ชาร์ลส์ เกวัน ดัฟฟี]]แห่ง หนังสือพิมพ์ “''[[ดิ เนชั่น (หนังสือพิมพ์ไอร์แลนด์)|ดิ เนชั่น]]''” กล่าวยืนยันว่าวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาซึ่งเป็นวิธีที่ชาติอื่นในยุโรปใช้ ที่แม้แต่[[ภูมิภาคเพล]] (the Pale) ในไอร์แลนด์เองก็ใช้ระหว่างวิกฤติการณ์ก็คือการกักอาหารที่ปลูกโดยประชาชนในประเทศจนกว่าทุพภิกขภัยจะยุติลง<ref>Sir Charles Gavan Duffy, ''Four Years of Irish History 1845–1849'', Cassell, Petter, Galpin & Co. 1888, pp. 277–278</ref>
 
เมื่อว่าตาม[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800]] แล้วไอร์แลนด์ก็เป็นส่วนสำคัญของ[[จักรวรรดิอังกฤษ]]ซึ่งเป็น “จักรวรรดิที่มั่งคั่งที่สุดในโลก” และไอร์แลนด์เป็น “ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของจักรวรรดิ” นอกจากนั้นก็ยังได้รับการพิทักษ์จากทั้ง “...ระบบศาลและระบบการพิจารณาคดีโดยลูกขุน...” (Habeas Corpus and trial by jury)<ref>''Last Conquest Of Ireland'' (Perhaps), John Mitchel, Lynch, Cole & Meehan 1873.</ref> แต่ผู้แทนราษฎรของไอร์แลนด์ในฐานะสมาชิกของ[[รัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร]]ก็ดูเหมือนจะไม่มีอำนาจแต่อย่างใดในการพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น จอห์น มิทเชลให้ความเห็นในข้อนี้ว่า “เกาะที่กล่าวกันว่าเป็นส่วนสำคัญของจักรวรรดิที่มั่งคั่งที่สุดในโลก ... ที่ในห้าปีมาเสียประชากรไปถึงสองล้านห้าแสนคน (กว่าหนึ่งในสี่) จากทุพภิกขภัย, โรคภัยที่เกิดจากทุพภิกขภัย และ การอพยพหนีจากทุพภิกขภัย...”<ref>''Last Conquest Of Ireland'' (Perhaps)], John Mitchel, Lynch, Cole & Meehan 1873.</ref>
 
ในสมัยที่เกิดรามันฝรั่งในไอร์แลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1845 จนถึงปี ค.ศ. 1851 เป็นสมัยที่เต็มไปด้วยการเผชิญหน้าทางการเมือง<ref name="Cathal Poirteir">Cathal Póirtéir, ''The Great Irish Famine'', RTÉ/Mercier Press, 1995, ISBN 1 856351114.</ref> ขบวนการของกลุ่มผู้ประสงค์จะ[[สมาคมเพื่อการเพิกถอนการเป็นสหภาพ|เพิกถอน]]พระราชบัญญัติสหภาพประสบความล้มเหลวเมื่อผู้นำของขบวนการ[[แดเนียล โอคอนเนล]]มาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1847{{Fact|date=October 2007}} กลุ่ม[[ขบวนการยังไอร์แลนด์]]ซึ่งเป็นขบวนการที่มีหัวรุนแรงกว่าดำเนินการเรียกร้องต่อมาและพยายามก่อการปฏิวัติใน[[การปฏิวัติของขบวนการยังไอร์แลนด์ ค.ศ. 1848]] แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
บรรทัด 103:
[[ไฟล์:Robert Peel.jpg|thumb|220px|[[นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร|นายกรัฐมนตรี]]เซอร์[[โรเบิร์ต พีล]]]]
[[ไฟล์:John Russell, 1st Earl Russell by Lowes Cato Dickinson detail.jpg|thumb|220px|[[นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร|นายกรัฐมนตรี]][[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดรัสเซลล์]]]]
[[เอฟ.เอส.เอล. ลิยอนส์]]บรรยายถึงการตอบโต้ต่อวิกฤติการณ์ของรัฐบาลบริติชในระยะแรกที่ทุพภิกขภัยยังไม่รุนแรงว่าเป็นการตอบโต้ที่ “ทันต่อเหตุการณ์และมีความสำเร็จพอสมควร”<ref name="lyons">F.S.L. Lyons, ''Ireland Since the Famine'', 30.</ref> เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรกรรมอย่างกว้างขวางในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1845 [[นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร|นายกรัฐมนตรี]]เซอร์[[โรเบิร์ต พีล]]ก็ซื้อข้าวโพดอินเดียและข้าวโพดป่น (Cornmealcornmeal) อย่างลับๆ จากสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนเงิน £100,000 บริษัทแบริงบราเธอร์สต้องเป็นตัวแทนทำการซื้อขายในนามของรัฐบาล รัฐบาลมีความหวังว่าการซื้อขายครั้งนี้จะไม่เป็นการ “บีบคั้นกิจการของเอกชน” หรือ การกระทำดังกล่าวจะเป็นการหยุดยั้งโครงการช่วยเหลือระดับท้องถิ่น แต่สภาวะอากาศอันแปรปรวนทำให้เรือบรรทุกสินค้าข้าวโพดมิได้มาถึงไอร์แลนด์จนกระทั่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ของปี ค.ศ. 1846<ref name="Kinealy This Great Calamity p. 38">Kinealy "This Great Calamity" pg 38</ref>
 
เมื่อมาถึงเมล็ดข้าวโพดก็นำมาขายต่อในราคาปอนด์ละหนึ่งเพ็นนี<ref name="robert221">Robert Blake, ''Disraeli'', 221–241.</ref> เมล็ดข้าวโพดแห้งที่ได้รับเป็นเมล็ดข้าวโพดที่ยังไม่ได้รับการป่นซึ่งทำให้ยังใช้บริโภคไม่ได้ นอกจากนั้นการป่นข้าวโพดเป็นกรรมวิธีที่ซับซ้อนและใช้เวลานานถ้าจะทำให้ถูกต้องซึ่งโอกาสที่จะทำกันได้ในท้องถิ่นนั้นไม่มี เมื่อป่นแล้วก็จะต้องหุงกันอีกเป็นเวลาพอสมควรจึงจะบริโภคได้ ผู้ที่กินเข้าไปแล้วบ่นว่าทำให้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง<ref name="Kinealy This Great Calamity p. 38" /> การที่ข้าวโพดมีสีเหลืองและต้องบดสองครั้งก่อนที่จะกินได้จึงมาเป็นที่รู้จักกันในไอร์แลนด์ “กำมะถันพีล” ในปี ค.ศ. 1846 พีลก็ดำเนินการยกเลิก[[กฎหมายข้าวโพด]]ซึ่งเป็นกฎหมายที่เรียกเก็บ[[ค่าธรรมเนียม]]เพื่อที่จะรักษาระดับราคา[[ขนมปัง]]ให้อยู่ในราคาสูง วิกฤติการณ์ทุพภิกขภัยเลวร้ายลงระหว่างปี ค.ศ. 1846 และการยกเลิก[[กฎหมายอากรข้าวโพด]]ในปีนั้นก็มีผลเพียงเล็กน้อยในการแก้ทุพภิกขภัยของชาวไอริช มาตรการนี้นำความแตกแยกมาสู่พรรคคอนเซอร์เวทีฟที่นำมาสู่การล่มของการเป็นนายกรัฐมนตรีของพีล<ref name="robert221" /> ในเดือนมีนาคมพีลก็ก่อตั้งโครงการการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะขึ้นในไอร์แลนด์ แต่พีลมาถูกบังคับให้ลาออกจากรัฐบาลในฐานะนายกรัฐมนตรีเสียก่อนเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน<ref>Cecil Woodham-Smith (1962) ''The Great Hunger: Ireland 1845–9'': 78–86</ref> การล่มของรัฐบาลเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน เมื่อพีลได้รับความพ่ายแพ้ในสภาสามัญชนเมื่อมีญัตติในการอ่านร่างพระราชบัญญัติเพื่อการรักษาความสงบในไอร์แลนด์เป็นครั้งที่สอง นักเขียนและสมาชิกของ[[ขบวนการยังไอร์แลนด์]][[ไมเคิล โดเฮนี]]กล่าวว่าฝ่ายเสียงข้างมากที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพีลมีจำนวนเจ็ดสิบสามคนที่ประกอบด้วย “วิก, คอนเซอร์เวทีฟหัวรุนแรง, กลุ่มที่มีความคิดรุนแรง และผู้ต้องการเพิกถอนการรวมตัว” สิบวันหลังจากนั้น[[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดจอห์น รัสเซลล์]]ก็รับหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป<ref>Michael Doheny's The Felon's Track, M.H. Gill & Son, LTD, 1951 Edition p. 98</ref>
 
มาตรการที่[[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดรัสเซลล์]]นายกรัฐมนตรีคนต่อมากระทำก็ยังคงเป็นมาตรการที่ไม่เพียงพอในการพยายามกู้สถานการณ์ และโดยทั่วไปแล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายลงยิ่งขึ้นไปอีก รัฐบาลของรัสเซลล์เสนอโครงการการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะซึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1846 เป็นผลให้มีการจ้างชาวไอริชครึ่งล้านคน แต่กลายเป็นสิ่งที่ล้นมือในการทำการบริหาร<ref name="lyons30">Lyons, 30–34.</ref> [[ชาร์ลส์ เทรเวเลียน บารอนเนทที่ 1|เซอร์ชาร์ลส์ เทรเวเลียน]]ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารโครงการช่วยผู้ประสบทุพภิกขภัยของรัฐบาลจำกัดการช่วยเหลือเพราะมีความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น “การตัดสินของพระเจ้าในการส่งความภัยพิบัติลงมาเพื่อสั่งสอนชาวไอริชให้ได้รับบทเรียน” โครงการก่อสร้างเป็นโครงการสั่งทำที่ไม่มีผลประโยชน์จากสิ่งที่สร้างขึ้น—คือเป็นโครงการที่มิได้สร้างรายได้ที่นำมาใช้กู้รายจ่ายได้ จอห์น มิทเชลบรรยายว่าแรงงานเป็นพันเป็นหมื่นที่ผอมแห้งอดอยากต่างก็ทำงานดำเนินการงานก่อสร้างขุดถนนที่ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด<ref name="john1854">John Mitchel, Jail Journal of Five Years in British Prisons (New York: 1854), Reprint 1996, ISBN 1-85477-218-X p. 16,</ref>
 
พรรควิกภายใต้ผู้บริหารใหม่[[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดรัสเซลล์]]ที่ถือปรัชญา “[[นโยบายไม่แทรกเซง|ไม่แทรกเซง]]” --ปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปจนแก้ไขตนเองในที่สุด--เชื่อว่าในที่สุดตลาดก็จะสามารถสร้างอาหารที่สนองความต้องการได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ละเลยการดำเนินการส่งอาหารออกไปยังอังกฤษต่อไป<ref>Cecil Woodham-Smith (1962) ''The Great Hunger: Ireland 1845–9'': 408–11</ref> แต่ยุติการส่งอาหารไปช่วยเหลือ และ ยุติโครงการก่อสร้าง ซึ่งเป็นการทิ้งให้ประชาชนจำนวนมากมายไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน และไม่มีอาหาร<ref name="david2002">David Ross (2002) ''Ireland: History of a Nation'': 224, 311</ref> ในเดือนมกราคมรัฐบาลก็ยุติโครงการต่างๆ และหันไปใช้วิธีการช่วยเหลือโดยตรงแบบผสมผเสระหว่าง “ในบ้าน” และ “นอกบ้าน” การช่วยเหลือ “ในบ้าน” ก็ได้แก่การก่อตั้ง[[เคหสงเคราะห์และโรงทำงาน]]ขึ้นตามบทบัญญัติใน[[กฎหมายประชาสงเคราะห์ของอังกฤษ|กฎหมายประชาสงเคราะห์]] และ “นอกบ้าน” ก็คือการจัดโรงแจกอาหาร (soup kitchen) ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการประชาสงเคราะห์ส่วนใหญ่มาจากเจ้าของที่ดินท้องถิ่น ผู้หันมาทดแทนเงินที่เสียไปโดยการขับไล่ผู้เช่าที่ดิน<ref name="lyons30" /> ที่ทำได้ง่ายขึ้นโดย “พระราชบัญญัติว่าด้วยการขับไล่ผู้เช่าที่ดิน” (Cheap Ejectment Acts)<ref name="john1854" /> ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1847 ข้อแก้ไขกฎหมายประชาสงเคราะห์ก็ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา เจมส์ ดอนเนลลีบรรยายการโต้ตอบของรัฐบาลใน “"Fearful Realities: New Perspectives on the Famine"” ("ความเป็นจริงอันน่าประหวั่น: ทัศนคติใหม่เกี่ยวกับทุพภิกขภัย")<ref name="perspectives">Fearful Realities: New Perspectives on the Famine, Chris Morash & Richard Hayes, Colourbooks Ltd, (200 RP), ISBN 0-7165-2566-6 , p. 60</ref> ว่าเป็นการโต้ตอบที่สะท้อนปรัชญาพื้นฐานที่แพร่หลายในบริเตนที่ว่าทรัพย์สินของไอร์แลนด์ต้องใช้สนับสนุนความยากจนของไอร์แลนด์เอง ผู้มีที่ดินในไอร์แลนด์ถูกกล่าวหาในบริเตนว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่นำไปสู่ทุพภิกขภัย แต่ก็ได้เพิ่มเติมว่ารัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรตั้งแต่การใช้[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800|พระราชบัญญัติสหภาพ]]ก็มีส่วนในการรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น<ref name="perspectives" /> ความคิดที่ว่านี้ปรากฏในหนังสือพิมพ์ “"Illustrated London News"” เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1847 ที่กล่าวว่า “ไม่มีกฎหมายใดที่จะไม่ผ่านตามคำขอของไอร์แลนด์ และไม่มีการข่มเหงใดที่ไม่มีการป้องกันให้เกิดขึ้น” เมื่อวันที่ 24 มีนาคมหนังสือพิมพ์ “ไทม์” รายงานว่าบริเตนเป็นเปิดโอกาสให้เกิดสถานการณ์ในไอร์แลนด์ที่เป็น “ความยากจนอันใหญ่หลวง ความละเลย และความเสื่อมโทรมอันไม่มีสิ่งใดที่จะเปรียบได้ในโลกเกิดขึ้น [บริเตน]เปิดโอกาสให้เจ้าของที่ดินดูดเลือดดูดเนื้อจากชาวไอริชผู้แสนเข็ญ”<ref name="perspectives" />
 
“อนุประโยคเกรกอรี” ของ[[กฎหมายประชาสงเคราะห์ของอังกฤษ|กฎหมายประชาสงเคราะห์]]ระบุห้ามผู้ที่มีที่ดินอย่างน้อยหนึ่งในสี่เอเคอร์จากการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล<ref name="lyons30" /> ข้อจำกัดนี้หมายความว่าเกษตรกรผู้ขายสินค้าทั้งหมดเพื่อนำมาเสียค่าเช่า ค่าธรรมเนียม และภาษี (ซึ่งเป็นการปฏิบัติกันโดยทั่วไป) จนหมดตัวและต้องการที่จะมาสมัครรับเงินช่วยเหลือ แต่ก็จะไม่มีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือเพราะมีที่ดินมากกว่าหนึ่งในสี่เอเคอร์ นอกไปจากว่าจะยกที่ดินให้เจ้าของที่ดินไป มิทเชลวิจารณ์กฎหมายนี้ว่าเป็นกฎหมายที่ “ทำให้ผู้ที่มีความสามารถแต่ไม่ยอมใช้ได้รับการเลี้ยงดู—ถ้าผู้ใดพยายามไถหว่านแม้แต่เพียงเล็กน้อยผู้นั้นก็จะอดตาย” วิธีการขับไล่ผู้เช่าที่ดินอย่างง่ายๆ นี้เรียกว่าเป็นการ “ส่งคนจนไปให้โรงแรงงาน” — ซึ่งเป็นระบบที่คนเข้าไปทางหนึ่งออกมาเป็นคนจนอีกทางหนึ่ง<ref name="john1854" /> ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เป็นผลให้ชาวไอริชจำนวนมากถูกขับออกจากที่ดินที่ใช้ทำมาหากิน ในปี ค.ศ. 1849 มีผู้ถูกขับเป็นจำนวน 90,000 คน และในปี ค.ศ. 1850 เป็นจำนวนอีก 104,000 คน<ref name="lyons30" />
 
=== การส่งอาหารไปยังอังกฤษ ===
บรรทัด 122:
 
นักเขียนผู้เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักกันดี[[Jane Wilde|เจน ฟรานเซสคา เอลกี]]เขียนโคลงที่บรรยายสถานการณ์ที่พิมพ์ใน carried in the ''เดอะ เนชั่น''<ref>''Young Ireland'', T. F. O'Sullivan, The Kerryman Ltd. 1945, p. 107</ref>
<center>{{Cquote|Weary men, what reap ye? Golden corn for the stranger. <br />
What sow ye? Human corpses that wait for the avenger. <br />
Fainting forms, Hunger—stricken, what see you in the offing <br />
Stately ships to bear our food away, amid the stranger's scoffing. <br />
There's a proud array of soldiers—what do they round your door? <br />
They guard our master's granaries from the thin hands of the poor. <br />
Pale mothers, wherefore weeping? 'Would to God that we were dead— <br />
Our children swoon before us, and we cannot give them bread.<ref>Sir Charles Gavan Duffy, ''Four Years of Irish History 1845–1849'', Cassell, Petter, Galpin & Co. 1888, p. 278</ref><br />
''Speranza''<ref>Miss Jane Francesca Elgee (Lady Wilde), mother of Oscar Wilde, and the wife of Sir William Wilde author of the Death Tables, in the 1851 Census.</ref>}}</center>
บรรทัด 146:
มิทเชลใน “''การพิชิตไอร์แลนด์ครั้งสุดท้าย (อาจเป็นได้)''” (The Last Conquest of Ireland (Perhaps)) กล่าวในหัวข้อเดียวกันว่าไม่มีผู้ใดเลยจากไอร์แลนด์ที่หาทานในช่วงนี้ และผู้ที่เสาะหาทานคืออังกฤษเองที่ทำในนามของไอร์แลนด์และเมื่อได้รับมาแล้วก็เป็นผู้บริหารเอง มิทเชลเสนอว่าหนังสือพิมพ์อังกฤษเท่านั้นที่เป็นผู้บรรยายว่า “ในชั่วขณะนั้นไอร์แลนด์ตกอยู่ในสภาวะอันวิกฤติ ที่ทำให้เป็นกลายเป็นขอทานผู้น่าสังเวชอยู่หน้าประตูอังกฤษ และไอร์แลนด์ก็ยังต้องการเงินทานสำหรับมนุษยชาติทั้งหมด” มิทเชลกล่าวเน้นว่าไอร์แลนด์ไม่เคยขอทานหรือความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นชนิดใดจากอังกฤษหรือชาติอื่น แต่อังกฤษเองที่เป็นฝ่ายขอในนามของไอร์แลนด์ และเสนอว่าอังกฤษเองเป็น “ผู้แบมือขอไปทั่วโลก ขอให้บริจาคให้ช่วยคนยากจนที่น่าสงสารในไอร์แลนด์” และตั้งตนเป็นผู้แทนขององค์การกุศลและเอากำไรจากผลประโยชน์นั้นด้วยตนเอง
 
เงินบริจาคจำนวนมากหลั่งไหลมาจากที่ต่างๆ เช่นการรณรงค์ระดมทุนครั้งแรกในต่างประเทศเมื่อเดือนธันวาคม 1845 นั้นรวมถึงสมาคมชาวไอร์แลนด์ในบอสตัน (Boston Repeal Association) และโบสถ์คาทอลิก [[โกลกาตา]]ผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนเมืองแรกที่ส่งเงินมาสมทบบริจาคก้อนใหญ่ เป็นเงินจำนวน £14,000 ที่ได้มาจากการจัดสมทบโดยทหารไอริชที่รับราชการอยู่ที่โกลกาตาและชาวไอริชที่ทำงานให้กับ[[British East India Company|บริษัทอินเดียตะวันออกของบริติช]], [[สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 9]] ประทานเงิน และ [[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]] พระราชทานเงิน £2,000
 
เควคเกอร์อัลเฟรด เว็บบ์หนึ่งในอาสาสมัครในไอร์แลนด์ขณะนั้นบรรยายว่า:
{{Cquote|''เมื่อทุพภิกขภัยเกิดขึ้น[[proselytism|ระบบแสวงหาสาวก]] (proselytism) ก็เริ่มแพร่ขยาย ...เครือข่ายของโปรเตสแตนต์ผู้มีความตั้งใจดีก็ก่อตัวขึ้นและแพร่ขยายออกไปในบริเวณต่างๆ ของไอร์แลนด์ ที่ต้อนคนเข้านิกายและสถานศึกษาเพื่อการแลกเปลี่ยนกับอาหารและการช่วยเหลืออื่นๆ ...ขบวนการนี้ยังคงทิ้งร่องรอยของความขมขื่นเอาไว้...''<ref>Alfred Webb, unpublished biography, c. 1868, pp. 120–122</ref>}}
 
นอกจากองค์การทางศาสนาแล้วก็มีองค์การเอกชนที่เข้ามาทำการช่วยเหลือผู้ที่เป็นเหยื่อของทุพภิกขภัย [[องค์การช่วยเหลือผู้ประสบภัยบริติช]] (British Relief Association) ก็เป็นองค์การหนึ่ง ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1847 องค์การจัดหาเงินทั่วอังกฤษ อเมริกา และออสเตรเลีย โดยใช้ “พระราชสาส์นจากพระราชินี” ซึ่งเป็นพระราชสาส์นจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียร้องขอให้ช่วยบริจาคเงินผู้ประสบความทุกข์ยากในไอร์แลนด์<ref>Kinealy (1995), 161.</ref> จดหมายฉบับแรกทำให้องค์การได้รับเงินบริจาคจำนวน £171,533 “พระราชสาส์นจากพระราชินี” ฉบับที่สองออกในปลายปี ค.ศ. 1847 ไม่ได้รับความสำเร็จเท่าฉบับแรก แต่เงินทั้งหมดที่ได้รับจากการบริจาคก็ตกประมาณ £200,000
 
=== ความเช่วยเหลือจากจักรวรรดิออตโตมัน ===
ในปี ค.ศ. 1845 [[สุลต่านอับดุลเมซิดที่ 1]] แห่ง[[จักรวรรดิออตโตมัน]]ทรงแสดงพระราชประสงค์จะส่งเงินจำนวน £10,000 มาช่วยเกษตรกรชาวไอริชแต่[[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]]ทรงขอให้ส่งไปเพียง £1,000 เพราะพระองค์เองทรงส่งเงินไปช่วยเพียงจำนวน £2,000 สุลต่านอับดุลเมซิดก็ทรงทำตามพระราชประสงค์แต่ทรงแอบส่งเรือพร้อมอาหารมาช่วยสามลำ ศาลอังกฤษพยายามยับยั้งเรือแต่เรืออาหารก็เดินทางไปถึงอ่าว[[โดรเกดา]]จนได้<ref>[http://www.internetspor.com/v3/futbol/haber.php?haberID=61468 Why crescentstar on Drogheda Utd emblem?]</ref><ref>[http://www.fountainmagazine.com/articles.php?SIN=7316305e60&k=854&1347841039&show=part1 Gratitude to the Ottomans]</ref>
 
=== ความช่วยเหลือจากอเมริกันอินเดียน ===
บรรทัด 163:
เจ้าของที่ดินมีความรับผิดชอบในการจ่ายค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้เช่าที่ดินทุกคนที่ต้องเสียค่าเช่าต่ำกว่า £4 ต่อปี ฉะนั้นผู้ที่มีผู้เช่าเป็นจำนวนมากจึงต้องมีภาระที่จะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมากในการเลี้ยงดูผู้เช่า ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการกำจัดผู้เช่าที่ดินที่ยากจนออกจากที่ดินแปลงเล็ก และจัดให้เช่าที่ดินผืนที่ใหญ่ขึ้นในราคาที่เกินกว่า £4 ต่อปีซึ่งทำให้เป็นการลดหนี้สินลงไป ในปี ค.ศ. 1846 ก็เริ่มมีการไล่ที่แต่การไล่ที่ขนานใหญ่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1847<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , p. 95</ref> เจมส์ ดอนเนลลีกล่าวว่าเป็นการยากที่จะกล่าวได้อย่างแน่นอนว่าผู้เช่าที่ดินที่ถูกขับไล่มีจำนวนเท่าใดระหว่างช่วงเวลาที่เกิดทุพภิกขภัยและหลังจากนั้น การบันทึกสถิติโดยตำรวจเพิ่งมาเริ่มทำกันในปี ค.ศ. 1849 ที่บันทึกว่ามีผู้ถูกขับไล่อย่างเป็นทางการทั้งหมดเกือบ 250,000 คนระหว่างปี ค.ศ. 1849 จนถึงปี ค.ศ. 1854<ref>''The Great Irish Famine'', edited by Cathal Póirtéir, RTE / Mercier Press, 1995, ISBN 1 85635 1114 , p. 155</ref>
 
เจมส์ ดอนเนลลีมีความเห็นว่าจำนวนดังกล่าวเป็นจำนวนที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และถ้ารวมจำนวนผู้ที่ถูกบังคับให้ “อาสา” ละทิ้งที่ดิน จำนวนทั้งหมดในช่วงวิกฤติการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1846 จนถึงปี ค.ศ. 1854 ก็คงจะเกินกว่าครึ่งล้านคนอย่างเป็นที่แน่นอน<ref name="mercier">''The Great Irish Famine'', edited by Cathal Póirtéir, RTE / Mercier Press, 1995, ISBN 1 85635 1114 , p. 156</ref> ขณะเดียวกันเฮเลน ลิตตันก็กล่าวใน “''The Irish Famine: An Illustrated History''” ({{lang-th|“''ทุพภิกขภัยในไอร์แลนด์: ประวัติศาสตร์ประกอบภาพ''”}}) ถึงผู้ “อาสา” ละทิ้งที่ดินว่าในบางกรณีผู้เช่าที่ดินก็ได้รับการหว่านล้อมให้ละทิ้งด้วยจำนวนเงินเล็กน้อยและถูก “หลอกให้เชื่อว่าถ้าออกไปแล้วทางโรงแรงงานก็จะรับเลี้ยง”<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , p. 95</ref>
 
บริเวณเวสต์แคลร์เป็นบริเวณที่เกิดการไล่ที่กันมากที่สุดเมื่อเจ้าของที่ดินขับไล่ผู้เช่าเป็นจำนวนพันและทำลายกระท่อมที่อยู่อาศัยลงจนหมด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1848 กัปตันเคนเนดีประมาณว่ากระท่อมราว 1,000 หลังที่มีผู้อาศัยถัวเฉลี่ยบ้านละหกคนถูกทำลายราบมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , p. 96</ref> ในปี ค.ศ. 1847 ตระกูลแมนแห่งคฤหาสน์สโตรคสทาวน์ตระกูลเดียวไล่ผู้เช่าทั้งหมด 3,000 คน และตามคำกล่าวของจอห์น กิบนีย์ไล่ผู้เช่าขณะที่ตนเองนั่งกินซุป[[กุ้งมังกร]]<ref>''History Ireland'', Volume 16 No.6 (November–December 2008), p. 55</ref>
 
บริเวณที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากถัดจากแคลร์ก็ได้แก่เคานตี้มาโย ที่จำนวนผู้ถูกไล่ทั้งหมดสูงถึง 10% ของการถูกไล่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1849 จนถึงปี ค.ศ. 1854 เอิร์ลแห่งลูคันผู้เป็นเจ้าของที่ดิน 240 ตารางกิโลเมตรเป็นหนึ่งในบรรดาเจ้าของที่ดินที่ทำการขับไล่ที่มากที่สุด กล่าวกันว่าเอิร์ลกล่าวว่าจะไม่เป็นผู้ที่ “ขยายพันธุ์ผู้ยากจนเพื่อให้ไปเลี้ยงนักบวช” หลังจากขับไล่ผู้เช่าที่ดินไปกว่า 2,000 คนในแขวงวัดบอลลินโรบแล้วเอิร์ลแห่งลูคันก็หันมาใช้ที่ดินที่ว่างลงในการเลี้ยงปศุสัตว์<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , p. 98</ref> ในปี ค.ศ. 1848 มาควิสแห่งสไลโกเป็นหนี้จำนวน £1,650 แต่ก็เป็นผู้หนึ่งที่ทำการขับไล่ผู้เช่าแต่อ้างว่าทำอย่างเลือกสรร โดยกำจัดเฉพาะผู้ที่ถือว่าขี้เกียจและขี้โกง จำนวนได้รับการ “เลือกสรร” เป็นหนึ่งในสี่ของจำนวนผู้เช่าที่ดินทั้งหมดของสไลโก<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , pp. 95–98</ref>
 
จากคำกล่าวของเฮเลน ลิตตันการไล่ที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วแต่ไม่เป็นที่เปิดเผยเพราะความกลัวสมาคมลับต่างๆ แต่เมื่อสถานการณ์ทุพภิกขภัยเกิดขึ้นสมาคมเหล่านี้ก็อ่อนตัวลง แต่การแก้แค้นจากการถูกไล่ก็ยังคงมีอยู่บ้างที่เจ้าของที่ดินเจ็ดคนถูกยิง หกคนปางตายระหว่างฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1847 ลิตตันกล่าวต่อไปอีกว่าผู้อาศัยอยู่ในที่ดินที่ไม่มีผู้เช่าที่ดินอีกสิบคนถูกฆาตกรรม<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , p. 99</ref>
บรรทัด 173:
[[จอร์จ วิลเลียรส์ เอิร์ลแห่งแคลเร็นดอนที่ 4|ลอร์ดแคลเรนดอน]]ข้าหลวงแห่งไอร์แลนด์มีความวิตกถึงสถานการณ์ที่อาจจะทำให้เกิดการปฏิวัติร้องขอรัฐบาลให้มอบอำนาจพิเศษให้ แต่[[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดรัสเซลล์]]ไม่มีความรู้สึกเห็นใจต่อคำขอ ลอร์ดแคลเรนดอนเชื่อว่าเจ้าของที่ดินมีความรับผิดชอบในการทำให้เกิดสถานการณ์อันเลวร้ายแทบทั้งหมดโดยกล่าวว่า “ก็จริงที่ว่าเจ้าของที่ดินในอังกฤษไม่อยากจะถูกยิงเหมือนกระต่ายหรือไก่ฟ้า...แต่เจ้าของที่ดินในอังกฤษก็มิได้ขับไล่ผู้เช่าทีละห้าสิบคนแล้วเผาทีอยู่อาศัยโดยไม่ทิ้งอะไรให้เหลือสำหรับอนาคต” ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1847 รัฐสภาก็อนุมัติพระราชบัญญัติว่าด้วยอาชญากรรมและการกระทำอันเกินเลยเพื่อเป็นการประนีประนอมและส่งกองทหารไปสมทบยังไอร์แลนด์<ref>''The Irish Famine: An Illustrated History'', Helen Litton, Wolfhound Press, (2006 RP), ISBN 0-86327-912-0 , pp. 98–99</ref>
 
ภายใต้ “อนุประโยคเกรกอรี” อันเลื่องชื่อของ[[กฎหมายประชาสงเคราะห์ของอังกฤษ|กฎหมายประชาสงเคราะห์]] ดอนเนลลีกล่าวว่าเป็น “บทแก้สำหรับคนยากจนชาวไอริชอันทารุณ”<ref name="mercier" /> ที่ตั้งตามชื่อสมาชิกรัฐสภาวิลเลียม เอช. เกรกอรี<ref>William H. Gregory became the husband of Lady Gregory, heir to a substantial Galway estate which he dissipated by gambling debts on the turf in the late 1840's and early 1850's. (''Cathal Póirtéir, p. 159'')</ref> และมักจะเรียกกันว่า 'อนุประโยคหนึ่งในสี่เอเคอร์' ซึ่งระบุว่าไม่มีผู้เช่าที่ดินที่มีที่ดินเกินกว่าหนึ่งในสี่เอเคอร์จะมีสิทธิที่จะได้รับการสงเคราะห์จากรัฐบาลไม่ว่าจะนอกหรือในบ้าน อนุประโยคนี้ได้รับการเสนอโดยพรรคทอรีเป็นบทแก้ไขของกฎหมายประชาสงเคราะห์ที่ได้รับอนุมัติให้เป็นกฎหมายบังคับใช้ในเดือนมิถุนายนของปี ค.ศ. 1847 ที่สมาชิกรัฐสภาโดยทั่วไปมองเป็นว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยเร่งในการทำที่ดินให้ว่างลงเร็วขึ้น แม้ว่าจะมิได้มีวัตถุประสงค์ดังกล่าวระหว่างการเสนอ<ref>''The Great Irish Famine'', edited by Cathal Póirtéir, RTE / Mercier Press, 1995, ISBN 1 85635 1114 , p. 159</ref> ในระยะแรกคณะกรรมาธิการ[[กฎหมายประชาสงเคราะห์ของอังกฤษ|กฎหมายประชาสงเคราะห์]]และผู้ตรวจสอบเห็นว่าอนุประโยคเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการบริหารโครงการช่วยเหลือผู้ยากจนอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่นานนักผลเสียก็เป็นที่ปรากฏ แม้แต่จากมุมมองของผู้บริหารเองและในที่สุดก็มองเห็นตนเองว่าอย่างดีก็เป็นฆาตกรในนามของมนุษยธรรมเท่านั้น ตามความเห็นของดอนเนลลี 'อนุประโยคหนึ่งในสี่เอเคอร์' เป็น “เครื่องมือทางอ้อมที่ใช้ในการฆ่า[ประชาชนผู้อดอยาก]”<ref>''The Great Irish Potato Famine'', James S. Donnelly, Jr, Sutton Publishing, (2005 RP) ISBN 0-7509-2928-6 , p. 110</ref>
 
== การอพยพ ==
บรรทัด 199:
{{main|การปฏิวัติของขบวนการยังไอร์แลนด์ ค.ศ. 1848}}
[[ไฟล์:William Smith O'Brien.jpg|thumb|[[วิลเลียม สมิธ โอไบรอัน]]]]
ในปี ค.ศ. 1847 [[วิลเลียม สมิธ โอไบรอัน]]ผู้นำของ[[ขบวนการยังไอร์แลนด์]]กลายเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง[[สันนิบาตไอร์แลนด์]] (Irish Confederation)<ref>Michael Doheny's The Felon's Track, M.H. Gill & Son, LTD, 1951 Edition</ref> เพื่อรณรงค์ในการให้ยกเลิก[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800|พระราชบัญญัติสหภาพ]] และเรียกร้องให้ยุติการส่งออกธัญญาหารออกนอกประเทศและทำการให้ปิดท่าเรือ<ref>History of Ireland, from the Treaty of Limerick to the present time (2 Vol). By John Mitchel James Duffy 1869. pg414</ref> ในปีต่อมาโอไบรอันก็ปลุกปั่นได้ช่วยจัดการสนับสนุนเกษตรผู้ไร้ที่ดินทำกินใน[[เคานตี้ทิพเพอรารี]]ให้ต่อต้านเจ้าของที่ดินและตัวแทน (Young Irelander Rebellion of 1848)
 
== จำนวนผู้เสียชีวิต ==
บรรทัด 215:
{{Cquote|''เด็กที่ประสบกับทุพภิกขภัยแสดงอาการที่เป็นผลอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าตอบแห้งไปด้วยความหิว ที่เป็นใบหน้าที่ดูเหมือนใบหน้าของคนชรา''<ref>Transactions of the Central Relief Committee of the Society of Friends p. 146</ref> }}
 
การประมาณจำนวนผู้เสียชีวิตวิธีหนึ่งได้มาจากการเปรียบเทียบจำนวนประชากรที่คาดว่าจะมีขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1850 การพยากรณ์แรกเริ่มคาดว่าภายในปี ค.ศ. 1851 ไอร์แลนด์ควรจะมีประชากรราว 8 หรือ 9 ล้านคน การสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1841 พบว่ามีประชากรเกินกว่า 8 ล้านคนไปเล็กน้อย<ref name="A Short History of Modern Ireland" /> แต่การสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1851 ทันทีหลังจากวิกฤติการณ์ทุพภิกขภัยพบว่ามีประชากรทั้งสิ้น 6,552,385 คนซึ่งเท่ากับลดจำนวนลงถึงเกือบ 1,500,000 คนในรอบสิบปี<ref name="Irish Historical Statistics, Population, 1821/1971"> Vaughan, W.E. and Fitzpatrick, A.J.(eds). ''Irish Historical Statistics, Population, 1821/1971''. Royal Irish Academy, 1978</ref> นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่อาร์.เจย์. ฟอสเตอร์ประมาณว่าประชากร “อย่างน้อย 775,000 คนเสียชีวิต ส่วนใหญ่จากโรคร้ายที่รวมทั้ง[[อหิวาตกโรค]]ระหว่างบั้นปลายของความทุกข์ยาก” ฟอสเตอร์ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า “การคำนวณอันซับซ้อนประมาณผู้เสียชีวิตระหว่างปี ค.ศ. 1846 ถึงปี ค.ศ. 1851 ว่าตกราวระหว่าง 1,000,000 ถึง 1,500,000 คน...; หลังจากการพิจารณาอย่างระมัดระวังแล้ว สถิติอื่นก็ประมาณว่าเป็นจำนวน 1,000,000 คน”<ref name="Modern Ireland 1600-1972">Foster, R.F. 'Modern Ireland 1600–1972'. Penguin Press, 1988. p324. Foster's footnote reads: "Based on hitherto unpublished work by C. Ó Gráda and Phelim Hughes, 'Fertility trends, excess mortality and the Great Irish Famine'...Also see C.Ó Gráda and Joel Mokyr, 'New developments in Irish Population History 1700–1850', '''Economic History Review''', vol. xxxvii, no.4 (November 1984), pp. 473–488."</ref><ref name="fn_2">Joseph Lee, ''The Modernisation of Irish Society'' p. 1. Lee says 'at least 800,000'.</ref> นอกจากนั้นก็ยังมีชาวไอร์แลนด์อีกกว่า 1 ล้านคนที่อพยพไปยัง[[เกรตบริเตน]], [[สหรัฐอเมริกา]], [[แคนาดา]], [[ออสเตรเลีย]] และอื่นๆ และอีกหลายล้านคนที่อพยพในระหว่างหลายสิบปีที่ตามมา
 
<center>
บรรทัด 229:
<small>รายละเอียดสถิติของประชากรของไอร์แลนด์ตั้งแต่ ค.ศ. 1841 แสดงในบทความ[[การวิจัยจำนวนประชากรไอร์แลนด์]] (Irish Population Analysis)</small></center>
 
การประมาณตัวเลขของผู้เสียชีวิตที่อาจจะเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในระดับเคานตี้อาจจะเป็นของนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชาวอเมริกัน[[โจล โมคีร์]] (Joel Mokyr)<ref name="crawford">Líam Kennedy, Paul S. Ell, E. M. Crawford & L. A. Clarkson, ''Mapping The Great Irish Famine'', Four Courts Press, 1999, ISBN 1-85182-353-0 p. 36</ref> ตัวเลขผู้เสียชีวิตของโมคีร์ตกระหว่าง 1.1 ถึง 1.5 ล้านครล้านคนระหว่างปี ค.ศ. 1846 ถึงปี ค.ศ. 1851 1846 and 1851 โมคีร์ให้ตัวเลขสองชุด ประเมินค่าสูงสุด (upper-bound) และประเมินค่าต่ำสุด (lower-bound) ซึ่งไม่แสดงความแตกต่างกันเท่าใดนักในตัวเลขระหว่างระดับท้องถิ่น<ref>Joel Makyr, ''Why Ireland staved, A quantitative and analytical history of the Irish economy 1800–1850'' (London, 1983), pp. 266–7</ref> เนื่องจากความผิดปกติของตัวเลข คอร์แม็ค โอเกรดาก็กลับไปตรวจสอบงานของเอส. เอช. คูเซน<ref>Cormac Ó Gráda, ''Ireland before and after the Famine, explorations in economic history, 18001925'', Manchester, 1993, pp. 138–44</ref> ตัวเลขของการประมาณของคูเซน<ref>S. H. Cousens, ''Regional death rates in Ireland during the Great Famine from 1846 to 1851, Population Studies'', 14 (1960), 55–74</ref> เป็นตัวเลขที่ส่วนใหญ่คำนวณจากข้อมูลที่มาจากการสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1851 ตารางตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากการสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1851<ref>Census of Ireland for the year 1851 part III, Report on the status of disease, BPP, 1854, lviii;part V, Tables of Deaths, vol. I, BPP, 1856 [2087-I], xxix;vol.II, 1856 [2087-II], xxx.</ref> ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นตัวเลขที่ประมาณต่ำกว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ตัวเลขผู้เสียชีวิต 800,000 คนของคูเซนในปัจจุบันจึงถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำเกินไป<ref name="crawford" /> ที่มาจากสาเหตุหลายประการเช่นเป็นตัวเลขที่เก็บจากครอบครัวรอดมาจากวิกฤติการณ์ และอื่นๆ ที่รวมทั้งการเสียชีวิตและการอพยพก็ทำให้ไม่มีผู้มาให้ทำการสำรวจ
 
อีกปัญหาหนึ่งคือความไม่แน่นอนของข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่ทำให้เสียชีวิตที่ได้จากญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต<ref name="crawford" /> แม้ว่างานของไวล์ดจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำ แต่ก็เป็นตัวเลขที่นำมาใช้เป็นโครงสร้างของการศึกษาประวัติศาสตร์การแพทย์ของวิกฤติการณ์ของทุพภิกขภัยในไอร์แลนด์<ref>Report upon the recent epidemic fever in Ireland, Dublin ''Quartly Journal of Medical Science'' [DQJMS], vol. 7 (1849), 64–126, 340–404; vol. 8, 1–86, 270–399.</ref><ref name="crawford1999">Líam Kennedy, Paul S. Ell, E. M. Crawford & L. A. Clarkson, ''Mapping The Great Irish Famine'', Four Courts Press, 1999, ISBN 1-85182-353-0 p. 104</ref>
โรคที่มีผลอย่างรุนแรงต่อประชากรแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม<ref name="crawford1999" /> โรคที่เกิดจากทุพภิกขภัยและโรคที่เกิดจากการขาดอาหาร โรคที่เกิดจากการขาดอาหารจะเป็นความหิวโหยและ[[โรคมาราสมัส]]และอาการท้องมาน (Dropsy) ที่เป็นชื่อที่นิยมใช้เรียกอาการของโรคหลายโรคๆโรค โรคหนึ่งคือ[[โรคควาซิโอกอร์]] (Kwashiorkor) ที่เกิดจากการขาดอาหาร<ref name="crawford1999" /> แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากที่สุดมิได้มาจากโรคที่มาจากการขาดอาหารแต่เป็นทุพภิกขภัยที่ทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคอื่น<ref name="crawford1999" /><ref name="m1991">M. Levi-Bacci, ''Population and nutrition: an essy on European demographic history'', Cambridge, 1991, p. 38</ref> ผู้ขาดอาหารจะมีร่างกายที่อ่อนแอที่ทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายและ และเมื่อเจ็บแล้วก็จะมีอาการรุนแรงกว่าปกติและรักษาให้หายได้ยาก โรคต่างๆ ก็ได้แก่ [[โรคหัด]] โรคที่เกี่ยวกับท้องเสีย โรคเกี่ยวกับระบบการหายใจเกือบทุกโรค [[โรคไอกรน]] และ โรคพยาธิต่างๆ ในลำไส้ โรคที่เป็นอันตรายถึงตาย เช่น [[ฝีดาษ]] หรือ และ[[ไข้หวัดใหญ่]] ก็เป็นโรคที่ระบาดเป็นอิสระจากสภาวะการขาดอาหาร<ref>M. Levi-Bacci, ''Population and nutrition: an essay on European demographic history'', Cambridge, 1991, p. 38</ref>
 
สาเหตุสำคัญของการระบาดของเชื้อโรคระหว่างวิกฤติการณ์มาจากสภาวะที่เรียกว่า “การเคลื่อนย้ายของสังคม” (social dislocation) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือไข้ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากมาย ตามคตินิยมและทัศนคติทางการแพทย์ ไข้และทุพภิกขภัยมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด.<ref>D.J. Corrigan, ''Famine and fever as cause and effect in Ireland'', Dublin, 1846; Henery Kennedy, Observations on the connexion between famine and fever in Ireland and elsewhere, Dublin 1847.</ref> ความคิดเห็นนี้ไม่เกินไปกว่าความเข้าใจผิดเท่าใดนัก แต่ความสัมพันธ์ที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อมีการชุมนุมกันหนาแน่นในโรงแจกอาหาร โรงจ่ายอาหาร และโรงแรงงานซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะแก่การระบาดของโรคติดเชื้อ เช่น [[ไข้รากสาดใหญ่]] [[ไข้รากสาดน้อย]] และไข้ที่เป็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า<ref name="m1991" /><ref>; Líam Kennedy, Paul S. Ell, E. M. Crawford & L. A. Clarkson, ''Mapping The Great Irish Famine'', Four Courts Press, 1999, ISBN 1-85182-353-0 p. 104</ref> ส่วนโรคที่เกี่ยวกับท้องเสียมีสาเหตุมาจากสภาวะการอนามัยที่อยู่ในระดับต่ำและการเปลี่ยนแปลงอาหาร แต่สิ่งที่คร่าชีวิตในบั้นปลายของผู้หมดแรงจากทุพภิกขภัยคืออหิวาตกโรคเอเชีย อหิวาตกโรคเข้ามาระบาดในไอร์แลนด์แล้วในระยะหนึ่งก่อนหน้านั้นในคริสต์ศตวรรษ 1830 แต่ในทศวรรษต่อมาอหิวาตกโรคที่ไม่อาจจะหยุดยั้งได้ก็ระบาดจากเอเชียมายังทั่วยุโรป มายังบริเตนและในที่สุดก็มาถึงไอร์แลนด์ในปีค.ศ. 1849<ref name="crawford1999" />
 
ทั้งคอร์แม็ค โอเกรดา และ โจล โมคีร์ กล่าวถึงการสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1851 ว่าเป็นสถิติที่มีชื่อเสียงแต่เป็นข้อมูลที่บกพร่อง และอ้างว่าตัวเลขของทั้งที่เกี่ยวกับสถาบันและบุคคลเป็นตัวเลขที่เกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิตระหว่างวิกฤติการณ์เป็นตัวเลขที่ “ไม่สมบูรณ์และมีความลำเอียง”<ref>Cormac Ó Gráda, ''Ireland's Great Famine: Inter disciplinary Perspectives'', University College Dublin Press, 2006, ISBN 1-904558-57-7 p. 3</ref> โอเกรดาอ้างงานของดับเบิลยู.เอ. แม็คอาร์เธอร์<ref>W. A. MacArthur, Medical history of the famine, in Edwards and Williams (1956) pp. 308–12</ref> ว่าผู้เชี่ยวชาญต่างก็ทราบกันมานานแล้วว่าตัวเลขของจำนวนผู้เสียชีวิตในไอร์แลนด์เป็นตัวเลขที่ไม่มีความน่าเชื่อถือในด้านความเที่ยงตรง<ref>Cormac Ó Gráda, Ireland's Great Famine: Interdisciplinary Perspectives, University College Dublin Press, 2006, ISBN 1-904558-57-7 p. 67</ref> ฉะนั้นโอเกรดาจึงกล่าวว่าการใช้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการสำรวจจำนวนประชากรของ ค.ศ. 1851 ตามตัวเป็นการใช้ตัวเลขที่ผิดที่แสดงตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริงเป็นอันมากทั้งก่อนและระหว่างวิกฤติการณ์<ref>Cormac Ó Gráda, Ireland's Great Famine: Interdisciplinary Perspectives, University College Dublin Press, 2006, ISBN 1-904558-57-7 p. 71</ref>
 
คณะกรรมาธิการการสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1851 รวบรวมข้อมูลของจำนวนผู้เสียชีวิตของแต่ละครอบครัวมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1841 ที่รวมทั้งสาเหตุ ฤดู และปีที่เสียชีวิต ตัวเลขที่เป็นที่ครหาก็ได้แก่: มีผู้เสียชีวิตจากทุพภิกขภัยทั้งสิ้น 21,770 คนในรอบสิบปีที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิตจากโรคภัย 400,720 คน โรคที่บันทึกก็รวมทั้งไข้ ท้องเสีย อหิวาตกโรค ฝีดาษ และ ไข้หวัดใหญ่ สองโรคแรกเป็นสิ่งที่คร่าชีวิตมากที่สุด (222,021 และ 93,232 คนตามลำดับ) คณะกรรมาธิการยอมรับว่าตัวเลขที่เก็บเป็นตัวเลขที่ไม่สมบูรณ์ และตัวเลขจริงอาจจะสูงกว่า: “จำนวนผู้ตายที่ยิ่งสูงขึ้นเท่าใด...จำนวนการบันทึกจากผู้ยังมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งลดลงเท่านั้น เพราะไม่แต่ครอบครัวทั้งครอบครัวเท่านั้นถูกคร่าชีวิตไป แต่หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านก็ถูกลบไปจากแผ่นดิน” นักประวัติศาสตร์ต่อมากล่าวว่า “คณะกรรมาธิการการสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1851 พยายามสร้างตารางการเสียชีวิตของแต่ละปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1841 ...สถิติที่รวบรวมเป็นสถิติการเสียชีวิตที่บกพร่องและอาจจะประเมินระดับการเสียชีวิตที่ต่ำกว่าความเป็นจริง...”<ref name="The Famine decade, contemporary accounts 1841-1851">Killen, John. '''The Famine decade, contemporary accounts 1841–1851'''. (Blackstaff, 1995) pp. 250–252</ref><ref name="This Great Calamity">Kinealy, Christine. This Great Calamity, p. 167</ref>
 
สถิติอื่นที่อาจจะมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าและประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณหนึ่งล้านคนจากทุพภิกขภัยและเชื้อโรค และอีกหนึ่งล้านคนอพยพหนีจากทุพภิกขภัย<ref>David Ross, ''Ireland: History of a Nation'', New Lanark: Geddes & Grosset, 2002, p. 226. ISBN 1-84205-164-4</ref> นักวิชาการบางคนประมาณว่าประชากรของไอร์แลนด์ลดจำนวนลงไปราวระหว่าง 20 ถึง 25%<ref>Kinealy. ''This Great Calamity'', p. 357.</ref> ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ยังคงเก็บภาษี ค่าเช่า และส่งอาหารออกไปยังอังกฤษเป็นจำนวนกว่า £6,000,000<ref>"Irish Potato Famine and Trade,"[http://www.american.edu/TED/potato.htm] American University website.</ref>
 
== ผลสะท้อน ==
วิกฤติการณ์ของทุพภิกขภัยครั้งนี้เป็นผลให้สถานการณ์ทุพภิกขภัยครั้งย่อยที่เกิดขึ้นต่อมาไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของสาธารณชนไม่เท่า และมักจะลืมกันไป ยกเว้นเว้นก็แต่นักประวัติศาสตร์ เมื่อมาถึงการสำรวจจำนวนประชากรของปี ค.ศ. 1911 ประชากรของไอร์แลนด์ก็ลดจำนวนลงเหลือเพียง 4.4 ล้านคนเท่ากับจำนวนในปี ค.ศ. 1800 และปี ค.ศ. 2000 ซึ่งเป็นจำนวนเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรเมื่อถึงจุดสูงสุด<ref name="A Short History of Modern Ireland">Richard Killen, A Short History of Modern Ireland (Dublin: Gill and Macmillan Ltd., 2003)</ref>
 
== การวัดประสิทธิภาพของรัฐบาลในการแก้ปัญหาวิกฤติการณ์ ==
บรรทัด 250:
[[เซอร์เจมส์ แกรม บารอนเนทที่ 2|เซอร์เจมส์ แกรม]]ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการภายในของประเทศในรัฐบาลก่อนหน้านั้นของเซอร์[[โรเบิร์ต พีล]]เขียนจดหมายถึงพีลว่า “สถานภาพอันใหญ่หลวงของวิกฤติการณ์ในไอร์แลนด์ตามความเป็นจริงนั้นสูงกว่าที่รัฐบาลคาดไว้เป็นอันมาก และไม่อาจจะสามารถวัดได้โดยกฎอันจำกัดของเศรษฐศาสตร์”<ref>Quoted in Kinealy (1995), 80.</ref>
 
ข้อวิจารณ์มิใช่แต่จะมาจากบุคคลภายนอกเท่านั้น [[จอร์จ วิลเลียรส์ เอิร์ลแห่งแคลเร็นดอนที่ 4|ลอร์ดแคลเรนดอน]]ข้าหลวงแห่งไอร์แลนด์เขียนจดหมายถึงลอร์ดรัสเซลล์เมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1849 ขอร้องให้รัฐบาลเพิ่มเติมความช่วยเหลือแก่ไอร์แลนด์: “กระผมไม่เห็นว่าจะมีรัฐบาลใดใดในยุโรปที่จะละเลยความทุกข์ยากที่กำลังประสบกันทางตะวันตกของไอร์แลนด์ หรือยังคงยืนยันรักษานโยบายอันเลือดเย็นของการกำจัด[ประชากร]ต่อไป”<ref name="The Great Hunger" /> และในปี ค.ศ. 1849 เอ็ดเวิร์ด ทวิสเซิลทัน (Edward Turner Boyd Twistleton) ประธานคณะกรรมาธิการ[[กฎหมายประชาสงเคราะห์ของอังกฤษ|กฎหมายประชาสงเคราะห์]]ก็ลาออกในการประท้วงพระราชบัญญัติ (Rate-in-Aid Act) ที่ระบุการหาเงินเพิ่มสำหรับการประชาสงเคราะโดยการเรียกเก็บภาษีที่ดินเพิ่มร้อยละหกของราคาประเมินของที่ดินในไอร์แลนด์.<ref>Kinealy (1995), 254–260.</ref> ทวิสเซิลทันให้การว่า “เพียงจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จำเป็นสำหรับบริเตนในการแก้ความน่าละอายอันน่าอดสูอันเกิดจากการปล่อยให้ประชาชนร่วมชาติให้อดตายเพราะทุพภิกขภัย” [[ปีเตอร์ เกรย์ (นักประวัติศาสตร์)|ปีเตอร์ เกรย์]]ในหนังสือ ''The Irish Famine'' (''ทุพภิกขภัยของชาวไอร์แลนด์'') กล่าวว่ารัฐบาลใช้เงินจำนวนกว่าเจ็ดล้านปอนด์สำหรับการช่วยเหลือไอร์แลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1845 ถึงปี ค.ศ. 1850 ซึ่งเป็นจำนวนที่ “น้อยกว่าครึ่งเปอร์เซ็นต์ของ[[มาตรวัดรายรับและผลผลิตของประเทศ]]ในช่วงเวลาห้าปี ผู้ร่วมสมัยกล่าวว่าเป็นจำนวนที่ต่างกันอย่างมหาศาลกับจำนวนเงิน 20 ล้านปอนด์ที่จ่ายให้เป็นค่าทดแทนเจ้าของทาสในเวสต์อินดีสในคริสต์ทศวรรษ 1830”<ref>Peter Gray, ''The Irish Famine, Discoveries.'' Harry N. Abrams, Inc: New York, 1995.</ref>
 
นักวิจารณ์ผู้อื่นกล่าวว่าแม้ว่าหลังจากที่เริ่มมีความเข้าใจถึงสภาวะอันเลวร้ายของวิกฤติการณ์ รัฐบาลก็ยังคงมิได้แสดงการตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างพอเพียง จอห์น มิทเชลหนึ่งในผู้นำของ[[ขบวนการยังไอร์แลนด์]]เขียนในบทความในปี ค.ศ. 1860 ว่า “ข้าพเจ้าเรียกสถานการณ์นี้ว่าเป็นทุพภิกขภัยเทียม ซึ่งหมายถึงทุพภิกขภัยที่สร้างความลำบากยากเข็ญให้แก่แผ่นดินทีอุดมสมบูรณ์ที่ผลิตข้าวปลาอาหารอันมากมายทุกปีที่เพียงพอที่จะเลี้ยงประชากรของตนเองและผู้อื่นอีกมาก แต่ฝ่ายอังกฤษเรียกสถานการณ์นี้ว่า 'แรงบันดาลของพระเจ้า' (dispensation of Providence) และลงความเห็นว่าสาเหตุทั้งหมดเกิดจากรามันฝรั่ง แต่การเสียผลผลิตมันฝรั่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วไปในยุโรปในขณะนั้น แต่ก็ไม่มีที่ใดที่ประสบกับทุพภิกขภัยนอกไปจากไอร์แลนด์ ฉะนั้นพฤติกรรมของบริติชในการตอบสนองวิกฤติการณ์จึงแสดงถึง หนึ่งความหลอกลวง สองความอัปยศ พระเจ้าอาจจะทรงเป็นผู้ส่งรามันฝรั่งลงมา แต่อังกฤษเป็นผู้สร้างทุพภิกขภัย”<ref name="Gallagher, Michael 1982">Gallagher, Michael & Thomas, Paddy's Lament. Harcourt Brace & Company, New York / London, 1982.</ref>
 
แต่นักวิจารณ์อื่นมองเห็นการตอบโต้วิกฤติการณ์เป็นการตอบโต้ของรัฐบาลตามทัศนคติต่อปัญหาที่เรียกว่า “ปัญหาไอร์แลนด์” [[นาซอ ซีเนียร์]]ศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์แห่ง[[มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด]]กล่าวถึงทุพภิกขภัยว่า “ไม่ได้คร่าชีวิตคนมากไปกว่าล้านคน ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าเป็นจำนวนมากที่จะทำเป็นเรื่องใหญ่”<ref name="Gallagher, Michael 1982" /> ในปี ค.ศ. 1848, [[เดนนิส ไชน์ ลอว์เลอร์]]เสนอว่า[[จอห์น รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 1|ลอร์ดรัสเซลล์]]เป็นนักศึกษาตามทฤษฎีของกวีสมัยเอลิซาเบธ[[เอ็ดมันด์ สเปนเซอร์]] (Edmund Spenser) ผู้ได้คำนวณว่า “การครอบครองและนโยบายของอังกฤษจะยืดไปอย่างมีประสิทธิภาพได้นานเท่าใดโดยการปล่อยให้ชาวไอร์แลนด์อดอยาก”<ref name="Donnelly, James S. 1995">Donnelly, James S., Jr., "Mass Eviction and the Irish Famine: The Clearances Revisited", from The Great Irish Famine, edited by Cathal Poirteir. Mercier Press, Dublin, Ireland. 1995.</ref> [[ชาร์ลส์ เทรเวเลียน บารอนเนทที่ 1|เซอร์ชาร์ลส์ เทรเวเลียน]]ข้าราชการผู้มีความรับผิดชอบโดยตรงต่อการตอบโต้ต่อปัญหาวิกฤติการณ์ของรัฐบาลบรรยายในปี ค.ศ. 1848 ว่า “การกระตุ้นผู้มีอำนาจและความกรุณาเบื้องบน” ที่เปิดให้เห็น “ถึงรากของความชั่วร้ายในสังคม” [[ชาร์ลส์ เทรเวเลียน บารอนเนทที่ 1|เทรเวเลียน]]ยืนยันต่อไปว่าทุพภิกขภัยคือ “บทแก้ของปัญหาอันรุนแรงแต่มีประสิทธิภาพและอาจจะเป็นวิธีที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ พระเจ้าประทานว่าชนรุ่นที่ประสบกับวิธีแก้ปัญหาที่ว่านี้จะเป็นประชาชนที่ได้รับโอกาสที่ประพฤติตัวดีขึ้น...”<ref>Charles E. Trevelyan, The Irish Crisis, (London 1848).</ref>
 
=== ประวัติศาสตร์ ===
บรรทัด 261:
{{quote|''...รัฐบาลต้องตอบรับปัญหาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะช่วยผ่อนปรนการทุกข์ทรมาน ลักษณะของการโต้ตอบโดยเฉพาะหลังจากปี ค.ศ. 1846 ทำให้เห็นว่ามีนโยบายหรือแรงบันดาลใจอันซ่อนเร้น เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลใช้ข้อมูลมิใช่แต่เพียงเพื่อการวางแผนในการวางนโยบายความช่วยเหลือแต่เป็นโอกาสในการช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการจะทำมานานแล้วในไอร์แลนด์ ที่รวมทั้งการควบคุมจำนวนประชากรและการรวบรวมที่ดินด้วยวิธีต่างๆ รวมทั้งการอพยพ... แม้ว่าจะมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทุพภิกขภัยที่ยืดเยื้อมาจากรามันฝรั่งที่เกิดขึ้นปีแล้วปีเล่า แต่พื้นฐานของปรัชญาของการช่วยเหลือก็ยังเป็นการดำเนินการให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด และตามความเป็นจริงแล้วก็ลดความช่วยเหลือลงเมื่อภาวะทุพภิกขภัยเลวร้ายขึ้น''<ref>Kinealy (1995), 353.</ref>''}}
 
นักเขียนหลายคนโทษข้อที่สำคัญที่สุดของนโยบายของรัฐบาล ที่ยังคงอนุญาตให้ดำเนินการส่งอาหารออกจากไอร์แลนด์ต่อไป ว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของนโยบายของรัฐบาล [[ลีออน ยูริส]]เสนอว่า “ไอร์แลนด์มีอาหารเพียงพอภายในประเทศ” ขณะที่วัวที่เลี้ยงในไอร์แลนด์ถูกส่งออกไปยังอังกฤษ<ref>Jill and Leon Uris, ''Ireland A Terrible Beauty'' (New York: Bantam Books, 2003), p. 16.</ref> การโต้ตอบข้างล่างปรากฏในองค์ที่ 4 ของบทละคร “''[[Man and Superman]]''” โดย [[จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์]]:
{{quote|''MALONE: เดี๋ยวเขาก็หายของเขาเองแหละ คนเราจะรู้สึกดีขึ้นก็เมื่อได้ผิดหวังกับความรักเข้าเสียหน่อยแทนที่จะผิดหวังเรื่องเงิน คุณอาจจะคิดว่าความคิดของผมไม่เข้าเรื่อง แต่ผมรู้นะว่าผมพูดเรื่องอะไร พ่อผมตายเพราะความหิวโหยในไอร์แลนด์เมื่อปี 47 คุณคงได้ข่าวเรื่องนั้นบ้างหรอก''
''VIOLET: อ้อทุพภิกขภัยน่ะหรือ?''
บรรทัด 277:
นักประวัติศาสตร์ปีเตอร์ ดัฟฟีเขียนว่า “อาชญากรรมของรัฐบาลที่สมควรจะได้รับการประณามตลอดไป...” มีรากฐานมาจาก “ความพยายามที่จะปฏิรูปไอร์แลนด์โดยอำนาจของเจ้าของที่ดิน ในการเปลี่ยนจากที่ดินทางเกษตรกรรมไปเป็นที่ดินในการเลี้ยงปศุสัตว์...ที่กลายเป็นนโยบายที่มีความสำคัญกว่าหน้าที่ในการหาอาหาร...ให้แก่ประชากรที่อดอยาก ซึ่งทำให้ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่ามีผู้ที่มีความเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่าย[[พันธุฆาต]]”<ref>Duffy, Peter, ''The Killing of Major Denis Mahon'', 2007, HarperCollins, ISBN 978-0-06-084050-1, pgs 297-298</ref>
 
ผู้ออกความเห็นหลายคนโต้ว่าประสบการณ์ทุพภิกขภัยมีผลที่จารึกในความทรงจำทางวัฒนธรรมของชาวไอร์แลนด์ที่คล้ายคลึงกับผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์พันธุฆาตที่ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น โรเบิร์ต คีนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ผู้มีผลงานเขียนเกี่ยวกับไอร์แลนด์เสนอว่าทุพภิกขภัยเป็นจิตใต้สำนึกของชาติที่มีพลังที่เปรียบได้กับ “[[การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย|การแก้ปัญหาสุดท้าย]]” (final solution) ที่เกิดขึ้นกับ[[ชาวยิว]]ในระหว่าง[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] และก็มีที่เห็นว่าวิกฤติการณ์ของ[[ทุพภิกขภัย]]เป็น “แผนการฆ่าล้างชาติที่วางโดยฝ่ายอังกฤษต่อชาวไอร์แลนด์” ความคิดนี้สะท้อนในงานเขียนของ[[เจมส์ ดอนเนลลี]]นักประวัติศาสตร์แห่ง[[มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน]]ใน “''Landlord and Tenant in Nineteenth-Century Ireland''” (เจ้าของที่ดินและผู้เช่าที่ดินในคริสต์ศตวรรษที่ 19) ที่ตั้งข้อสรุปว่า “ตั้งแต่เมื่อเกือบเริ่มต้นของวิกฤติการณ์ ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของรัฐบาลในการหยุดยั้งการขับไล่หรือการชะลอการกำจัดผู้เช่าที่ดินเท่ากับเป็นการสนับสนุนอย่างเห็นได้ชัดของความคิดอันแพร่หลายของชาวไอร์แลนด์ที่ว่าเป็นการล้างชาติพันธุ์ที่สนับสนุนโดยอังกฤษ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าในทัศนคติของชาวไอร์แลนด์...และแม้ว่าตามความคิดของผมแล้วการล้างชาติพันธุ์มิได้เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างและที่เป็นผลจากการขับไล่ที่มีลักษณะของการฆ่าล้างชาติพันธุ์ตามความคิดของชาวไอร์แลนด์หลายคน”<ref name="Donnelly, James S. 1995" />
 
นักประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์คอร์แม็ค โอเกรดาไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าวิกฤติการณ์เป็นการจงใจ[[พันธุฆาต|ฆ่าล้างชาติพันธุ์]]ด้วยเหตุผลที่ว่า: ประการที่หนึ่ง “การฆ่าล้างชาติพันธุ์รวมความตั้งใจและสามารถกล่าวได้อย่างแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดแม้แต่ผู้ไม่เป็นกลางที่สุดหรือที่ดูถูกเผ่าพันธุ์มากที่สุดของยุคนั้นจะมีความตั้งใจที่จะฆ่าล้างชาวไอร์แลนด์” ประการที่สองสมาชิกในรัฐสภาแทบทุกคนต่างก็ “หวังให้สถานการณ์ในไอร์แลนด์จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น” และ ประการที่สุดท้ายผู้ที่อ้างว่าเป็นการฆ่าล้างชาติพันธุ์มองข้าม “ขนาดของวิกฤติการณ์ที่ผู้พยายามช่วยเหลือต้องประสบทั้งระดับส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น และทั้งของหลวงและของราษฏร์” โอเกรดามีความเห็นว่าวิกฤติการณ์มีต้นตอมาจากการละเลยมากกว่าที่จะเป็นเจตนาของการฆ่าล้างชาติ<ref>Cormac Ó Gráda, "Black '47 and Beyond: The Great Irish Famine in History, Economy and Memory", p. 10</ref> แต่ผู้ที่มีความรับผิดชอบในการดำเนินการช่วยเหลือเช่น[[ชาร์ลส์ เทรเวเลียน บารอนเนทที่ 1|เซอร์ชาร์ลส์ เทรเวเลียน]]ค้านกับความคิดที่ว่า “ละเลย” ผู้มีทัศนคติของผู้ครอบครองว่าทุพภิกขภัยเป็น “วิธีลดจำนวนประชากรที่เกินต้องการ” และเป็น “การตัดสินของพระเจ้า”<ref>Cecil Woodham-Smith, 1962. The Great Hunger</ref>
 
นักเขียนผู้เป็นที่รู้จักชาวไอร์แลนด์และนักแต่งเพลง[[จอห์น วอเตอร์ส (นักเขียน)|จอห์น วอเตอร์ส]]บรรยายทุพภิกขภัยว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ประกอบด้วยความทารุณทุกแบบทุกอย่าง และทุพภิกขภัยเป็น “การฆ่าล้างชาติที่มีสาเหตุมาจากการถือชาติถือผิวและถือว่าทำได้ตามเหตุผลทางปรัชญา” และโต้แย้งว่าการทำลายวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจหลากหลายของไอร์แลนด์ และการลดตัวทางเศรษฐกิจของไอร์แลนด์มาเป็น[[ระบบเกษตรกรรมพืชเดี่ยว]]เป็นวิกฤติการณ์ของการล้างชาติที่รอแต่เวลาเท่านั้นที่จะเกิดขึ้น<ref>Tom Hayden, Irish Hunger, Roberts Rinehart, USA/Canada, 1997–98, ISBN 1-57098-233-3, p. 29/103</ref>
 
== อ้างอิง ==
บรรทัด 311:
* [[การขาดแคลนอาหาร]]
* [[ไฟทอฟธอรา อินเฟสทันส]]
* [[ขบวนการยังไอร์แลนด์]]
* [[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800]]
* [[กฎหมายประชาสงเคราะห์ของอังกฤษ]]