ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระมหาเทวีแห่งหงสาวดี"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
Miwako Sato (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1:
{{Infobox royalty
| type
| name
| image
| caption
| reign
| coronation
| succession
| predecessor
| successor
| suc-type
| reg-type
| regent
| reign1
| coronation1
| succession1 = เจ้าเมืองตะเกิง
| predecessor1
| successor1
| suc-type1
| spouse
| issue
| issue-link
| full name
| house
| father
| mother
| birth_date
| birth_place
| death_date
| death_place
| date of burial
| place of burial
| religion
| signature
}}
{{มีอักษรพม่า}}
บรรทัด 42:
==ต้นพระชนม์==
พระนางมีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า "[[ชื่อบุคคลพม่า|เม้ย]]นะ" (
หลังประสูติได้ไม่นาน พระบิดาก็ได้เถลิงถวัลยราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรหงสาวดี มีพระนามว่า [[พระยารามมะไตย]] (Binnya Ran De) มีเมืองหลวงอยู่ที่[[เมาะตะมะ]] ส่วนพระเชษฐภคินีก็สิ้นพระชนม์ พระนางจึงเป็นพระราชบุตรพระองค์โตที่สุดที่ยังดำรงพระชนม์อยู่ของพระยารามมะไตย พระองค์จึงประทานพระนาม "มหาเทวี" ให้แก่พระนาง อันเป็นพระนามซึ่งทรงเป็นที่รู้จักมาจนบัดนี้<ref name=npl-40/>
บรรทัด 53:
ครั้น ค.ศ. 1362 พระยาอู่ทรงขยาย[[เจดีย์ชเวดากอง]]ให้สูงขึ้นถึง 20 เมตรเพื่อเป็นพระราชกุศล<ref name=geh-112>Harvey 1925: 112</ref> แต่กลับเป็นช่วงสุดท้ายที่อาณาจักรจะอยู่สงบร่มเย็น เพราะในปีถัดมา คือ ค.ศ. 1363 พระยาอู่และราชบริพารเสด็จออกจากเมาะตะมะ กลุ่มการเมืองคู่แข่ง นำโดยเจ้าชาย[[พระตะบะ]] (Byattaba) ฉวยโอกาสเข้ายึดพระนครไว้ได้ และ[[สมิงเลิกพร้า]] (Laukpya) พระเชษฐาหรืออนุชาของพระตะบะ ก็ก่อกบฏในลุ่ม[[ดินดอนสามเหลี่ยมอิรวดี]] พระยาอู่จึงทรงตั้งบุญลาภ พระสวามีของพระมหาเทวี เป็นแม่ทัพนำกำลังไปกู้พระนคร แต่พระชายาของพระตะบะ กับ[[ตละแม่มะสำโร]] (Tala Mi Ma-Hsan) พระขนิษฐาร่วมพระมารดาหรือบิดาของพระมหาเทวี ทรงร่วมมือกันวางยาพิษฆ่าบุญลาภเป็นผลสำเร็จในช่วงเจรจาหย่าศึก<ref name=npl-53>Pan Hla 2005: 53</ref>
พระมหาเทวีไม่ทรงมีเวลาอาลัยพระสวามีมากนัก ด้วยพระยาอู่โปรดให้เสกสมรสกับ[[ไชยสุระ]] (Zeya Thura) เจ้าเมือง[[Hmawbi Township|มอบี]] (Hmawbi)
==เจ้าเมืองตะเกิง==
บรรทัด 63:
ยิ่งพระอำนาจของพระยาอู่สั่นคลอน พระอำนาจของพระมหาเทวีก็ทวีขึ้น ครั้นอำมาตย์แพรจอ (Pun-So) อัครมหาเสนาบดีที่พระยาอู่ไว้พระทัย ถึงแก่กรรมใน ค.ศ. 1369 พระยาอู่ก็ทรงหันมาพึ่งพาคำแนะนำของพระมหาเทวีผู้เป็นพระเชษฐภคินี<ref name=npl-58-59>Pan Hla 2005: 58–59</ref> เหตุการณ์สำคัญ คือ เมื่อสมิงสามปราบ (Than-Byat) เจ้าเมืองกริบ (เมือง[[สิเรียม]] - Syriam) แปรพักตร์ พระมหาเทวีก็ทรงแนะให้ตีโต้ พระมหาเทวีทรงตั้งสมิงทะโยกคะราช (Yawga Rat) กับสมิงมะราหู ให้นำทัพข้ามแม่น้ำจากเมืองตะเกิงของพระนางเข้าไปยึดสิเรียมคืน การทัพครั้งนี้สำเร็จลุล่วงดังพระประสงค์ แต่พระยาอู่ก็ยังทรงตั้งมั่นอยู่ในพะโคต่อไป โดยทรงรอมชอมกับพระตะบะและสมิงเลิกพร้า ''[[พงศาวดารปากลัด]]'' (Pak Lat Chronicles) ระบุว่า พระยาอู่ทรงยอมมอบทองคำหนัก 16.33 กิโลกรัม พร้อมด้วยช้างสิบเชือก ให้แก่ทั้งสอง คนทั้งสองจึงยอมสวามิภักดิ์และกลับคืนเป็นข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทของพระยาอู่แต่ในนาม<ref name=npl-66>Pan Hla 2005: 62–63, 66</ref>
อย่างไรก็ดี การเถลิงอำนาจของพระมหาเทวีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั้งปวง กลุ่มการเมืองในราชสำนักที่มี[[สมิงชีพราย]] อัครมหาเสนาบดี เป็นผู้นำ ต่อต้านพระนางอย่างลับ ๆ และสามปีให้หลัง พระนาง ในพระชนม์กว่า 50 ชันษา ก็ทรงถูกต่อต้านหนักขึ้น เมื่อทรงถูกกล่าวหาว่า เป็นชู้กับ[[สมิงมะราหู]] ผู้เป็นหลานเขยที่อ่อนวัยกว่าพระนางยิ่งนัก สมิงมะราหูผู้นี้เป็นสวามีของ[[ตละแม่ศรี]] (Tala Mi Thiri) พระธิดาของพระยาอู่ และพระนัดดาของพระนางเอง เมื่อข้อกล่าวหานี้แพร่สะพัด ผู้คนทั้งพระนครก็เย้ยหยันพระนาง พงศาวดารมอญ ''[[ราชาธิราช]]'' ยังบันทึกเพลงกลอนที่ชาวเมืองขับร้องเสียดสีพระนางเอาไว้<ref name=npl-67-68>Pan Hla 2005: 67–68</ref> ซึ่งราชาธิราชฉบับภาษาไทยได้ถอดความหมายไว้ว่า "นกสตือไซร้ขึ้นไข่ไว้ในต้นไม้อันคาอันซุ่ง อันสตรีแก่จะใคร่ได้สามีหนุ่ม ถันยุคลนั้นไซร้ยานลงถึงรั้งผ้า"<ref>[https://vajirayana.org/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A/%E0%B9%93 พระราชพงศาวดารรามัญ เรื่อง ราชาธิราช จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์บริการ พ.ศ. ๒๔๘๙ บทที่ ๓]</ref>
อย่างไรก็ดี พระยาอู่ก็ทรงยังไว้พระทัยในพระนางมิเสื่อมคลาย ทั้งทรงมอบอำนาจให้พระนางมากขึ้น ๆ ทุกปี ด้วยพระพลานามัยทรุดโทรมลงตามลำดับ<ref name=npl-68-69>Pan Hla 2005: 68–69</ref> แต่การงัดข้อกันเพื่อชิงอำนาจก็เป็นไปในทางรุนแรงขึ้นทุกขณะเช่นกัน หลายกลุ่มพากันหนุนพระนางและสมิงมะราหูมากขึ้น ๆ<ref name=npl-72>Pan Hla 2005: 72</ref> เป็นเหตุให้ที่สุดแล้วกลุ่มของพระนางก็มีอำนาจมั่นคงสถาพรขึ้นในต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1380 อันเป็นช่วงเวลาที่พระสุขภาพของพระยาอู่ถดถอยลงอย่างถึงที่สุด ฉะนั้น ใน ค.ศ. 1382 จึงปรากฏว่า พระมหาเทวีทรงได้ปกครองอาณาจักรหงสาวดีโดยพฤตินัยอยู่แล้ว<ref name=npl-81>Pan Hla 2005: 81</ref> ครั้น ค.ศ. 1383 [[พระยาน้อย]] ผู้เป็นพระโอรสของพระยาอู่ ทั้งเป็นพระนัดดาและโอรสบุญธรรมของพระนางเอง ก่อหวอดต่อต้านพระนาง<ref name=npl-82-83>Pan Hla 2005: 82–83</ref>
|