ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ถนอม กิตติขจร"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ ถนอม กิตติขจร (11 สิงหาคม พ.ศ. 2454-16 มิถุนายน พ.ศ. 2547) เป็น อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 ของประเทศไทย
ย้อนกลับไปรุ่นที่ 8992881 โดย BotKungด้วยสจห.
ป้ายระบุ: ทำกลับ
บรรทัด 57:
|battles =
}}
จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ '''ถนอม กิตติขจร''' ([[11 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2454]]—[[16 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2547]]) เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีไทย และเป็นอดีต[[นายกรัฐมนตรี]]คนที่ 10 ของประเทศไทย [[ผู้บัญชาการทหารบก]] [[ผู้บัญชาการทหารสูงสุด]] [[รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย|รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม]] และ [[รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ]] ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลใน[[เหตุการณ์ 14 ตุลา]] ปี 2516 ซึ่งเป็นเหตุการณ์การประท้วงของ นิสิต นักศึกษา และประชาชน โดยในเหตุการณ์ ทหารได้ใช้อาวุธสงครามเข้าปราบปรามนักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เป็นผลให้ จอมพล ถนอม กิตติขจร ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง และเดินทางออกจากประเทศ พร้อมกับ [[ประภาส จารุเสถียร|จอมพล ประภาส จารุเสถียร]] และ [[ณรงค์ กิตติขจร|พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร]] ภายหลังเหตุการณ์ จอมพล ถนอม กิตติขจร ก็ได้เดินทางกลับ แล้วบวชเป็นพระสามเณร เป็นชนวนไปสู่การ ขับไล่ ของ[[มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์|นักศึกษาธรรมศาสตร์]] จนโยงไปสู่[[เหตุการณ์ 6 ตุลา]] ปี 2519 ทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก{{ต้องการอ้างอิงตรงนี้}}
จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ ถนอม กิตติขจร (11 สิงหาคม พ.ศ. 2454-16 มิถุนายน พ.ศ.
 
จอมพล ถนอม กิตติขจร เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 4 สมัย เป็นระยะเวลาถึง 10 ปี 6 เดือนเศษ และนับจากการเปลี่ยนการปกครอง [[พ.ศ. 2475]] เป็นต้นมา นายทหารที่มาจากคนธรรมดาสามัญที่ครองยศจอมพลสายทหารบก มีด้วยกัน 7 คน จอมพลถนอมเป็นคนที่ 6 จอมพล[[ประภาส จารุเสถียร]]เป็นคนที่ 7 แต่ผู้ที่มีอายุยืนที่สุด คือจอมพลถนอม จึงกลายเป็น "'''จอมพลคนสุดท้าย'''" จอมพลถนอมถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อกลางดึก เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2547 รวมอายุได้ 92 ปี
2547) เป็น อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 ของประเทศไทย ผู้บัญชาการทหารบก
 
== ประวัติ ==
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
จอมพล ถนอม กิตติขจร เกิดเมื่อ [[11 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2454]] ณ [[บ้านหนองหลวง]] [[อำเภอเมืองตาก]] [[จังหวัดตาก]] เป็นบุตรของ[[ขุนโสภิตบรรณลักษณ์ (อำพัน กิตติขจร)]] กับนางโสภิตบรรณลักษณ์ (ลิ้นจี่) มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 7 คน ได้แก่
* นาง รำพึง พันธุมเสน (ถึงแก่กรรม)
* เด็กหญิง ลำพูน กิตติขจร (ถึงแก่กรรม)
* จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ ถนอม กิตติขจร
* นาง สุรภี ชูพินิจ (ถึงแก่กรรม)
* นาย สนิท กิตติขจร (ถึงแก่กรรม)
* นาง สายสนม กิตติขจร อดีตนายกสมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย (ถึงแก่กรรม)
* พลตำรวจตรี [[สง่า กิตติขจร]] อดีต[[รายนามรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย|รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ]] (ถึงแก่อนิจกรรม)
* นาง ปราณีต สุคันธวณิช อดีตนายกสมาคมส่งเสริมการศึกษาในถิ่นกันดาร ในพระอุปถัมภ์[[สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี]] (ถึงแก่กรรม)
จอมพล ถนอม กิตติขจร มีแซ่ในภาษาจีนว่า ฝู (จีน: 符; พินอิน: fú)เริ่มการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนประชาบาลวัดโคกพลู [[จังหวัดตาก]]หลังจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่[[โรงเรียนนายร้อยทหารบก]] และในระหว่างรับราชการทหารได้ศึกษาต่อที่ โรงเรียนแผนที่ทหาร [[กองทัพบก]] โรงเรียนทหารราบ กองทัพบก และ[[วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร]] (รุ่นที่ 1) ตามลำดับ
 
จอมพล ถนอมได้รับปริญญาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จาก[[จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]]เมื่อ พ.ศ. 2504<ref>http://www.eng.chula.ac.th/index.php?q=th/node/2736</ref> จอมพล ถนอมดำรงตำแหน่งอธิการบดี[[มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]] ระหว่าง วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2503 <ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2503/D/005/42.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์] </ref> - 18 ธันวาคม พ.ศ. 2506 <ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2506/D/121/2728.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์] </ref>
ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลในเหตุการณ์ 14 ตุลา ปี 2516 ซึ่งเป็นเหตุการณ์การประท้วงของ
 
นิสิต นักศึกษา และประชาชน โดยในวันที่ 13 ตุลาคม ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล
 
และฝ่ายนิสิตนักศึกษาประชาชน ได้เจรจาตกลงกันได้แล้ว ว่า ทางรัฐบาลปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับ 13
 
คน โดยไม่มีเงื่อนไข และสัญญาว่าจะให้มีการเลือกตั้งใน 1 ปี หลังจากนั้น
 
ทางฝ่ายนิสิตนักศึกษาก็ตกลงจะยุติการชุมนุมทันที มีการเซ็นสัญญาร่วมกัน โดยมีนายสัญญา
 
ธรรมศักดิ์ อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ในสมัยนั้น เซ็นเป็นพยาน
 
แต่ด้วยเหตุที่มีหลายฝ่ายที่จะใช้โอกาสการประท้วงในครั้งนี้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบา
 
ล เช่น นายทหาร ตำรวจที่ไม่พอใจ เพราะไม่ได้ต่ออายุราชการ
 
ทหารบางส่วนที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง
 
และเกรงกลัวจะมีการสืบทอดอำนาจที่อาจทำให้บางกลุ่มเสียผลประโยชน์
 
ตลอดจนการสนับสนุนจากชาติอื่น เช่น อเมริกันที่ไม่พอใจรัฐบาลไทยในขณะนั้น หลายเรื่อง
 
เช่น ความขัดแย้งเกี่ยวกับศึกเวียดนามในระยะหลังๆ
 
และการใช้สนามบินหนองงูเห่าไปโจมตีเวียดนามเหนือ
 
ที่รัฐบาลขณะนั้นไม่เห็นด้วยกับการใช้สารเคมี เป็นต้น
 
จึงอาจมีความพยายามที่จะให้เกิดเรื่องใหญ่ต่อไป เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
 
การติดต่อของผู้นำนักศึกษาที่เข้าไปเจรจากับรัฐบาลสำเร็จแล้ว กับ
 
ผู้คุมขบวนนักศึกษาที่อยู่อีกแห่งหนึ่งก็ไม่สามารถทำได้
 
เกิดการเข้าใจผิดกันจนต้องมีการเคลื่อนขบวนไปทางสวนจิตรลดา
 
และได้เกิดการกระทบกระทั่งจนเป็นเรื่องประทะกันในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น (14 ต.ค.)
 
แม้ว่าจะมีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาสูงสุดไม่ให้มีการใช้อาวุธ
 
แต่ก็มีการจับกุมกลุ่มคนที่มีลักษณะเหมือนออกมาจากป่าจำนวนหนึ่งใช้อาวุธยิงทั้งฝ่ายนิสิตนัก
 
ศึกษาประชาชน และพวกทหารตำรวจจนบาดเจ็บล้มตาย
 
และเมื่อนำตัวไปกองบัญชาการก็มีคำสั่งให้ปล่อยตัวไปโดยไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้สั่ง
 
เหตุการณ์บานปลายไปจน จอมพล ถนอม กิตติขจร ตัดสินใจประกาศลาออกจากตำแหน่ง
 
และเดินทางออกจากประเทศ พร้อมกับ จอมพล ประภาส จารุเสถียร และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร
 
ภายหลังเหตุการณ์ จอมพล ถนอม กิตติขจร ก็ได้เดินทางกลับ แล้วบวชเป็นสามเณร
 
และอุปสมบทเป็นภิกษุที่วัดบวรนิเวศวิหาร
 
นักศึกษาธรรมศาสตร์ยังต้องการให้เดินทางออกนอกประเทศ แม้ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช
 
นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งเป็นนักกฎหมาย
 
จะกล่าวว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิ์อยู่ในประเทศได้ก็ตาม การประท้วงโยงไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลา ปี
 
2519 ทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก จนกระทั่งมีการปฏิวัติโดย พลเรือเอก
 
สงัด ชลออยู่
 
จอมพล ถนอม กิตติขจร เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 4 สมัย เป็นระยะเวลาถึง 10 ปี 6
 
เดือนเศษ และนับจากการเปลี่ยนการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา
 
นายทหารที่มาจากคนธรรมดาสามัญที่ครองยศจอมพลสายทหารบก มีด้วยกัน 7 คน
 
จอมพลถนอมเป็นคนที่ 6 จอมพลประภาส จารุเสถียรเป็นคนที่ 7 แต่ผู้ที่มีอายุยืนที่สุด
 
คือจอมพลถนอม จึงกลายเป็น “จอมพลคนสุดท้าย”
 
จอมพลถนอมถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อกลางดึก เมื่อวันที่ 16
 
มิถุนายน พ.ศ. 2547 รวมอายุได้ 92 ปี
 
== ประวัติ ==
จอมพล ถนอม กิตติขจร เกิดเมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2454 ณ บ้านหนองหลวง อำเภอเมืองตาก
 
จังหวัดตาก เป็นบุตรของขุนโสภิตบรรณลักษณ์ (อำพัน กิตติขจร) กับนางโสภิตบรรณลักษณ์
 
(ลิ้นจี้) มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา 7 คน ได้แก่
 
- นาง รำพึง พันธุมเสน (ถึงแก่กรรม)
 
- เด็กหญิง ลำพูน กิตติขจร (ถึงแก่กรรม)
 
- จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ ถนอม กิตติขจร
 
- นาง สุรภี ชูพินิจ (ถึงแก่กรรม)
 
- นาย สนิท กิตติขจร (ถึงแก่กรรม)
 
- นาง สายสนม กิตติขจร
 
อดีตนายกสมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย (ถึงแก่กรรม)
 
- พลตำรวจตรี สง่า กิตติขจร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
 
(ถึงแก่อนิจกรรม)
 
- นาง ประณีต สุคันธวณิช อดีตนายกสมาคมส่งเสริมการศึกษาในถิ่นกันดาร
 
ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (ถึงแก่กรรม)
 
จอมพล ถนอม กิตติขจร เริ่มการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนประชาบาลวัดโคกพลู จังหวัดตาก
 
หลังจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก สำเร็จการศึกษาเมื่ออายุ 19 ปี
 
โดยสอบได้เป็นที่ 1 ของรุ่น และในระหว่างรับราชการทหารได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนแผนที่ทหาร
 
กองทัพบก โรงเรียนทหารราบ กองทัพบก และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (รุ่นที่ 1)
 
รุ่นเดียวกับ ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ และ ศาสตราจารย์ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์
 
จอมพล ถนอม ได้รับปริญญาวิศวกรรมศาสตร์ดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
 
จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2504 จอมพล
 
ถนอมดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่าง พ.ศ. 2503 – พ.ศ. 2509
 
== บุตรธิดา ==
[[ไฟล์:Thanom and Jongkol.jpg|right|thumb|300px|จอมพลถนอม กิตติขจร [[นายกรัฐมนตรีไทย]] และท่านผู้หญิง[[จงกล กิตติขจร]] ภรรยา]]
บุตรธิดา
จอมพลถนอม กิตติขจรสมรสกับ[[ท่านผู้หญิง]][[จงกล กิตติขจร]] (สกุลเดิม ถนัดรบ บุตรีของ พันเอก[[หลวงจบกระบวนยุทธ์ (แช่ม ถนัดรบ)]] และ คุณหญิง[[เครือวัลย์ จบกระบวนยุทธ์]]) มีบุตรธิดาทั้งสิ้น 6 คน ได้แก่
 
* นาง นงนาถ เพ็ญชาติ (พ.ศ. 2474-ปัจจุบัน)
จอมพล ถนอม กิตติขจร สมรสกับท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร (สกุลเดิม ถนัดรบ บุตรีของ
* พันเอก [[ณรงค์ กิตติขจร]] (พ.ศ. 2476-ปัจจุบัน) สมรสกับคุณสุภาพร (จารุเสถียร) กิตติขจร มีบุตรเป็นทหาร 2 คน พลเอก เกริกเกียรติ กิตติขจร กับ พลตรี กิจก้อง กิตติขจร
* คุณหญิง นงนุช จิรพงศ์ สมรสกับ พล.อ.เอื้อม จิรพงศ์ มีบุตรชื่อ อนุสร จิรพงศ์ เป็นสมาชิก[[สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ]]
* พลอากาศเอก ยุทธพงศ์ กิตติขจร
* คุณหญิง ทรงสุดา ยอดมณี (พ.ศ. 2487-ปัจจุบัน) สมรสกับ ร้อยโท ดร.[[สุวิทย์ ยอดมณี]] มีบุตรชายคือ ดร. ก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่าการ [[การกีฬาแห่งประเทศไทย]]
* คุณหญิง ทรงสมร คชเสนี (พ.ศ. 2489-ปัจจุบัน) สมรสกับ พลเรือเอก [[สุภา คชเสนี]]
 
นอกจากนี้ยังรับหลานอีก 2 คน ซึ่งเป็นบุตรของน้องสาวของท่านผู้หญิงจงกลมาเลี้ยงดูดุจลูกแท้ๆ ของท่านเอง คือ
พันตรีหลวงจบกระบวนยุทธ์ (แช่ม ถนัดรบ) และคุณหญิงเครือวัลย์ จบกระบวนยุทธ์)
 
* พลตำรวจตรี นเรศ คุณวัฒน์
ท่านผู้หญิงเป็นอดีตประธานกรรมการมูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
* นาย นรา คุณวัฒน์
 
และอดีตประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก
 
ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี มีบุตรธิดาทั้งสิ้น 6 คน ได้แก่
 
- นางนงนาถ เพ็ญชาติ (พ.ศ. 2474 – ปัจจุบัน) สมรสกับ นายชำนาญ เพ็ญชาติ
 
มีบุตรธิดา 3 คน
 
- พันเอก ณรงค์ กิตติขจร (พ.ศ. 2476 – ปัจจุบัน) สมรสกับ นางสุภาพร (จารุเสถียร)
 
กิตติขจร มีบุตรธิดา 4 คน
 
- คุณหญิง นงนุช จิรพงศ์ (พ.ศ. 2480 – ปัจจุบัน) สมรสกับ พล.อ. เอื้อม จิรพงศ์
 
มีบุตรธิดา 4 คน
 
- พลอากาศเอก ยุทธพงศ์ กิตติขจร (พ.ศ. 2482 – ปัจจุบัน) สมรสกับ นางทิพยา
 
(ภมรมนตรี) กิตติขจร มีบุตรธิดา 3 คน
 
- คุณหญิง ทรงสุดา ยอดมณี (พ.ศ. 2486 – ปัจจุบัน)
 
อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมรสกับ ร้อยโท ดร.สุวิทย์ ยอดมณี
 
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีบุตร 3 คน คนที่ 2
 
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย
 
- คุณหญิง ทรงสมร คชเสนี (พ.ศ. 2489 – ปัจจุบัน) สมรสกับ พลเรือเอก สุภา คชเสนี
 
มีบุตรธิดา 5 คน
 
นอกจากนี้ยังรับหลานอีก 2 คน
 
ซึ่งเป็นบุตรของน้องสาวของท่านผู้หญิงจงกลมาเลี้ยงดูดุจลูกแท้ๆ ของท่านเอง คือ
 
- พลตำรวจตรี นเรศ คุณวัฒน์ สมรสกับ นางอรสา (วิจิตรานุช) คุณวัฒน์ มีบุตร 2 คน
 
- น.ส. นรา คุณวัฒน์
 
== การรับราชการ ==
เขารับราชการครั้งแรกในตำแหน่งผู้บังคับหมวดกรมทหารราบที่ 8 กองพันที่ 1 [[จังหวัดเชียงใหม่]] ต่อมาได้ร่วมก่อรัฐประหารซึ่งผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยไม่โดนลงโทษแต่อย่างใดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน [[พ.ศ. 2490]] ในขณะที่มียศเป็นพันโท และดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารบกที่ 11 ต่อมาได้เป็น รองผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รองแม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก รองผู้บัญชาการทหารบก และเป็น รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด มาโดยลำดับจนกระทั่งวันที่ [[11 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2506]] พลเอกถนอมได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง [[ผู้บัญชาการทหารบก]] และ [[ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ประเทศไทย)|ผู้บัญชาการทหารสูงสุด]] <ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2506/D/119/1.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 80 ตอน 119 ง พิเศษ หน้า 1 12 ธันวาคม พ.ศ. 2506 </ref> สืบต่อจาก [[จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์]] ที่ถึงแก่อสัญกรรม
รับราชการครั้งแรกในตำแหน่งผู้บังคับหมวดกรมทหารราบที่ 8 กองพันที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่
 
ต่อมาในวันที่ [[10 มกราคม]] [[พ.ศ. 2507]] พลเอกถนอมได้รับพระราชทานยศ [[จอมพล (ประเทศไทย)|จอมพล]] [[จอมพลเรือ]] [[จอมพลอากาศ]] <ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2507/D/003/1.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหาร] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 81 ตอน 3 ง หน้า 1 11 มกราคม พ.ศ. 2507 </ref>
ต่อมาได้ร่วมก่อรัฐประหาร เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ในขณะที่มียศเป็นพันโท
 
และในวันที่ [[1 ตุลาคม]] [[พ.ศ. 2507]] จอมพลถนอมได้สละตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้กับ [[พลเอกประภาส จารุเสถียร]] รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรักษาราชการรองผู้บัญชาการทหารบกโดยเหลือตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพียงตำแหน่งเดียว <ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2507/D/087/2.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 81 ตอน 87 ง พิเศษ หน้า 2 11 กันยายน พ.ศ. 2507 </ref>
ตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารบกที่ 11 ต่อมาได้เป็น รองผู้บัญชาการกองพลที่ 1
จอมพลถนอม กิตติขจร ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลของ[[แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล แปลก พิบูลสงคราม]] และเป็น[[รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม]]ในรัฐบาลของ[[พจน์ สารสิน|นายพจน์ สารสิน]] [[สภาผู้แทนราษฎร]]ได้มีมติให้จอมพลถนอมดำรงตำแหน่ง[[นายกรัฐมนตรี]]คนที่ 10 เมื่อวันที่ [[1 มกราคม]] [[พ.ศ. 2501]] แต่บริหารประเทศแค่ 9 เดือนเศษก็ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้[[สฤษดิ์ ธนะรัชต์|จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์]] ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อสฤษดิ์ตาย จอมพลถนอมได้ด้รับการแต่งตั้งให้เป็น[[นายกรัฐมนตรี]]อีกครั้งหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาที่จอมพลเผด็จการทหารคนนี้เป็นนายกฯ มีการสร้างทางหลวงสายต่าง ๆ ทั่วประเทศหลายสาย โดยได้รับทุนสนับสนุนส่วนหนึ่งจากอเมริกาในช่วงสงครามเย็น เพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ และสร้างเขื่อน อาทิ [[เขื่อนสิริกิติ์]] [[เขื่อนอุบลรัตน์]] และในปี [[พ.ศ. 2508]] ได้ส่งทหารไปร่วมรบใน[[สงครามเวียดนาม]]ด้วยในฐานะพันธมิตรกับอเมริกา
 
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ [[พ.ศ. 2542]] ในสมัยรัฐบาล[[ชวน หลีกภัย]] จอมพลถนอมได้รับการแต่งตั้งเป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ สร้างความไม่พอใจและกระแสต่อต้านในสังคมระยะหนึ่ง ถึงกับมีการอภิปรายในสภาและกังวลกันว่าอาจเป็นชนวนเหตุให้เกิดเหตุร้ายซ้ำอีก<ref>การเสนอแต่งตั้ง จอมพล ถนอม กิตติขจร และ พลตรี มนูกฤต รูปขจร เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ชิงชัย มงคลธรรม; จาตุรนต์ ฉายแสง; อดิศร เพียงเกษ; เปรมศักดิ์ เพียยุระ; ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง; สุรพร ดนัยตั้งตระกูล; นิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ; ถาวร เสนเนียม; ไพจิต ศรีวรขาน; สนั่น ขจรประศาสน์; ชวน หลีกภัย; กุศล หมีเทศ; ขจิตร ชัยนิคม http://dl.parliament.go.th/handle/lirt/52565</ref> ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม จอมพลถนอมจึงลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว<ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2542/E/019/3.PDF ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้พ้นจากตำแหน่งนายทหารพิเศษ] </ref>
ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รองแม่ทัพภาคที่ 1 และเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 มาโดยลำดับ จนกระทั่งวันที่
 
11 ธันวาคม พ.ศ. 2506 พลเอก ถนอมได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
 
ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุด สืบต่อจาก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
 
ที่ถึงแก่อสัญกรรม
 
ต่อมาในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2507 พลเอก ถนอมได้รับพระราชทานยศ จอมพล จอมพลเรือ
 
จอมพลอากาศ
 
และในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2507 จอมพล ถนอมได้สละตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้กับ
 
พลเอก ประภาส จารุเสถียร
 
รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรักษาราชการรองผู้บัญชาการทหารบก
 
โดยเหลือตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพียงตำแหน่งเดียว
 
จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลของ
 
จอมพล แปลก พิบูลสงคราม
 
และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลของนายพจน์ สารสิน
 
สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติให้จอมพลถนอมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 เมื่อวันที่ 1
 
มกราคม พ.ศ. 2501 แต่บริหารประเทศแค่ 9 เดือนเศษก็ลาออกจากตำแหน่ง
 
เพื่อเปิดทางให้จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อจอมพล สฤษดิ์
 
ถึงแก่อสัญกรรม จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
 
ในช่วงระยะเวลาที่จอมพล ถนอม กิตติขจร บริหารประเทศได้สร้างทางหลวงต่างๆ
 
ทั่งประเทศหลายสาย สร้างเขื่อน อาทิ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนอุบลรัตน์
 
นอกจากนี้ท่านยังได้ทำการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยทัดเทียมกับนานาประเทศ และในปี พ.ศ.
 
2508 ได้ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเวียดนามด้วย
 
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย จอมพล
 
ถนอมได้รับการแต่งตั้งเป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
 
สร้างความไม่พอใจและกระแสต่อต้านในสังคมระยะหนึ่ง
 
ถึงกับมีการอภิปรายในสภาและกังวลกันว่าอาจเป็นชนวนเหตุให้เกิดเหตุร้ายซ้ำอีก ต่อมาเมื่อ 24
 
มีนาคม จอมพล ถนอมจึงลาออกจากตำแหน่งดังกล่าวเพราะแรงกดดันจากสาธารณชน
 
== การเมือง ==
[[ไฟล์:Thanom speak.JPG|thumb|left|200px|จอมพลถนอม ปราศรัยออกอากาศทาง[[สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย]] [[กรมประชาสัมพันธ์]]]]
หลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 มีการเลือกตั้งทั่วไปและมีรัฐสภา ในปี [[พ.ศ. 2514]] ถนอม กิตติขจรได้ทำ[[รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2514|รัฐประหารรัฐบาล]]ของตนเอง และได้จัดตั้งสภาบริหารคณะปฏิวัติขึ้น ทั้งหมดนี้เพื่อตอบสนองผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของตนเอง จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง หนึ่งในผู้ที่ยืนหยัดวิจารณ์อย่างไม่เกรงกลัวอำนาจเถื่อน ได้แก่ [[ป๋วย อึ๊งภากรณ์|ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์]] ที่เขียนจดหมายในนามนายเข้ม เย็นยิ่ง ถึง ผู้ใหญ่ ทำนุ เกียรติก้อง (หมายถึงจอมพลถนอมนั่นเอง)
หลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511
 
มีการเลือกตั้งทั่วไปและมีรัฐสภา ในปี พ.ศ. 2514 จอมพล ถนอม กิตติขจร
 
ได้ทำรัฐประหารรัฐบาลของตนเอง และได้จัดตั้งสภาบริหารคณะปฏิวัติขึ้น
 
เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง หนึ่งในผู้ที่ยืนหยัดวิจารณ์อย่างไม่เกรงกลัวอำนาจ
 
ได้แก่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่เขียนจดหมายในนามนายเข้ม เย็นยิ่ง ถึง ผู้ใหญ่ ทำนุ เกียรติก้อง
 
(หมายถึงจอมพล ถนอมนั่นเอง)
 
จนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม
 
พ.ศ. 2515 และสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามธรรมนูญการปกครองดังกล่าวได้มีมติให้จอมพล
 
ถนอม กิตติขจร เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
 
จอมพล ถนอม กิตติขจร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ.
 
2516 รวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 10 ปี 6 เดือนเศษ หลังจากนั้น
 
ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของจอมพล ถนอม จนนำไปสู่การยึดทรัพย์สิน
 
โดยเหตุผลเพื่อความมั่นคงของประเทศ โดยนายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น
 
จำต้องทำเพื่อลดกระแสความกดดัน
 
วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2519
 
ท่ามกลางกระแสการปฏิวัติรัฐประหารของฝ่ายทหารทวีความรุนแรงอย่างกว้างขวาง จอมพล
 
ถนอมในวัย 65 ปี ได้กลับประเทศไทยอีกครั้ง โดยบวชเป็นพระภิกษุที่วัดบวรนิเวศวิหาร
 
ทำให้นักศึกษาประชาชนได้ออกมาประท้วงขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรี
 
เป็นเหตุให้กลุ่มการเมืองอีกฝ่ายที่นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่
 
ก่อรัฐประหารและทำการล้อมปราบการประท้วงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6
 
ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก
 
นำไปสู่การยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุติการปกครองแบบประชาธิปไตยรัฐสภา
 
และทำให้ประเทศไทยอยู่ภายใต้เผด็จการทหารต่อมาเป็นเวลาปีเศษ
 
จอมพล ถนอม กิตติขจร เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 4 สมัย
 
(รวมในสมัยเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติตัวเองด้วยเป็นสมัยที่ 3)
 
สมัยแรกเป็นนายกในระยะเวลาสั้นๆ หลังการรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ในปี พ.ศ. 2501
 
สมัยที่สองถึงสี่หลังจากจอมพล สฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรม ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพล
 
ถนอมจึงถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของเผด็จการทหาร ถึงแม้ว่า
 
ได้รับพระราชทานปฐมจุลจอมเกล้า และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดีชั้นที่ 1
 
เสนาคบดี ซึ่งเปรียบเสมือนสายสะพายแห่งความกล้าหาญ
 
พร้อมกันนี้ยังได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์อีกกว่า 30 รายการ
 
ซึ่งถือว่าเป็นการจบชีวิตของนายทหารยศจอมพลคนสุดท้ายของกองทัพไทย
 
== ผลงานสมัยเป็นรัฐบาล ==
การพัฒนาประเทศ
 
จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้พัฒนาประเทศและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วประเทศ
 
โดยการสร้างสาธารณูปโภคให้สะดวกสบายที่สุด มีการตัดถนนสายสำคัญๆ ประมาณ 50 สาย
 
เช่น ถนนมิตรภาพ ถนนสายธนบุรี-ปากท่อ ถนนตาก-แม่สอด และถนนรัชดาภิเษก
 
ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติคร
 
บ 25 ปี เป็นต้น สร้างสะพานใหญ่ๆ เช่น สะพานพระปิ่นเกล้า สร้างเขื่อน เช่น เขื่อนสิริกิติ์
 
เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ฯลฯ เพื่อประโยชน์ในการไฟฟ้า
 
และการชลประทานอย่างเต็มที่
 
จอมพล ถนอม ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษามาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
 
ได้ดำริให้มีการตั้งมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นต้น และสนับสนุนให้มีตลาดวิชา
 
เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสศึกษาสูงสุดในระดับอุดมศึกษาได้โดยให้มีการสร้างมหาวิทยาลัยรามคำแ
 
หงขึ้น
 
กำเนิดอาเซี่ยน
 
ด้วยความสนิทสนมในฐานะผู้นำประเทศและฐานะส่วนตัว จอมพล
 
ถนอมได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนผู้นำประเทศ เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
 
ซึ่งทั้งสองประเทศขัดแย้งกัน จึงชักชวนโดยไกล่เกลี่ย
 
จนกระทั่งมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม [[พ.ศ. 2515]] และสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามธรรรมนูญการปกครองดังกล่าวได้มีมติให้จอมพล ถนอม กิตติขจร เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายต่อความทะเยอทะยานที่ปราศจากความชอบธรรมในหลักการประชาธิปไตย
และตกลงใจร่วมมือกันก่อตั้งสมาคมประชาชาติอาเซี่ยนขึ้นมาได้ร่วมกับประเทศสิงคโปร์และฟิ
 
ถนอมพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเกิด[[เหตุการณ์ 14 ตุลา|เหตุการณ์ 14 ตุลา]] [[พ.ศ. 2516]] รัฐบาลได้ใช้อาวุธสงครามเข้าปราบปรามนักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จากเหตุการณ์นี้ ทำให้พลังทางการเมืองหลายฝ่ายกดดันให้จอมพลถนอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยการยึดอำนาจและรัฐประหารทั้งสิ้น 10 ปี 6 เดือนเศษ หลังจากนั้น ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของจอมพลถนอม จนนำไปสู่การยึดทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สุจริตต้องเป็นจำนวนมาก
ลิปปินส์
 
วันที่ [[19 กันยายน]] [[พ.ศ. 2519]] ท่ามกลางกระแสรัฐประหารของฝ่ายทหารทวีความรุนแรงอย่างกว้างขวาง จอมพลถนอมในวัย 65 ปี ได้กลับประเทศไทยอีกครั้งโดยบวชเป็นสามเณร ทำให้นักศึกษาประชาชนได้ออกมาประท้วงขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดรายนี้ เป็นเหตุให้กลุ่มการเมืองอีกฝ่ายที่นำโดย พลเรือเอก [[สงัด ชลออยู่]] ฉวยโอกาสก่อรัฐประหารและ[[เหตุการณ์ 6 ตุลา|ทำการล้อมฆ่านักศึกษาประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]] เมื่อวันที่ [[6 ตุลาคม]] [[พ.ศ. 2519]] ทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก นำไปสู่การยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุติการปกครองแบบประชาธิปไตยรัฐสภา และทำให้ประเทศไทยอยู่ภายใต้เผด็จการทหารต่อมาเป็นเวลาปีเศษ จะเห็นได้ว่าข้าราชการทหารมักไม่เคยเลิกความทะเยอทะยานที่น่ารังเกียจ พวกเขาเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเอง และมีปืนไว้ข่มขู่คนธรรมดาเท่านั้น
ทั้งนี้โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยเป็นผู้ประสานงานกับรัฐมนตรีว่าก
 
ถนอม กิตติขจร เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 4 สมัย (รวมในสมัยเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติตัวเองด้วยเป็นสมัยที่ 3) สมัยแรกเป็นนายกในระยะเวลาสั้น ๆ หลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ในปี [[พ.ศ. 2501]] สมัยที่สองถึงสี่หลังจากจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรม ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพลถนอมจึงถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของเผด็จการทหาร ถึงแม้ว่า ได้รับพระราชทานปฐมจุลจอมเกล้า และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดีชั้นที่ 1 เสนางคบดี ซึ่งเปรียบเสมือนสายสะพายแห่งความกล้าหาญ พร้อมกันนี้ยังได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์อีกกว่า 30 รายการ ซึ่งถือว่าเป็นการจบชีวิตของนายทหารยศจอมพลคนสุดท้ายของกองทัพไทย
ารกระทรวงการต่างประเทศของ 4 ประเทศ เพื่อดำเนินการต่อไป
 
===ผลงานสมัยเป็นรัฐบาล===
อาเซี่ยนเปิดประชุมครั้งแรกที่ประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2510
ในช่วงที่จอมพลถนอม กิตติขจร บริหารประเทศ ได้มีผลงานที่สำคัญดังนี้
 
1. ด้านการทหาร ตลอดระยะเวลา 15 ปี นับแต่จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในปี พ.ศ. 2500 และเลื่อนขั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จนถึงดำรงตำแหน่งสูงสุดคือ นายกรัฐมนตรี ได้เสริมสร้างกองทัพทั้งสามเหล่าทัพอย่างทัดเทียม ได้มีการวางนโยบายปรับปรุงแก้ไขพัฒนากิจการงานสาขาต่าง ๆ ของกระทรวงกลาโหม สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตลอดจนรัฐวิสาหกิจที่ขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม ให้มีความเจริญก้าวหน้า มีการสนับสนุนกองทัพทั้ง 3 เหล่าทัพด้วยการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เสริมเหล่าทัพให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับประเทศตะวันตก รวมถึงงานด้านยุทธบริการ เช่น ริเริ่มปรับปรุงงานส่งกำลังบำรุง ได้แก่ จัดทำแคตตาล็อกสำหรับสิ่งอุปกรณ์ ยุทธภัณฑ์ เพื่อให้ทุกเหล่าทัพสามารถใช้ร่วมกันได้ กำหนดแบบอาการมาตรฐานของกระทรวงกลาโหมเพื่อให้เป็นแบบเดียวกันซึ่งจะอำนวยให้ลดงบประมาณค่าก่อสร้างและค่าซ่อมบำรุง นอกจากนี้ ยังได้พัฒนางานในด้านการศึกษาให้เจริญเติบโต ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษาออกไปทำหน้าที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร โรงเรียน เสนาธิการทหาร โรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนช่างฝีมือทหาร เป็นต้น
นโยบายของอาเซี่ยนคือ การร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้ผลดีเป็นอย่างมาก
 
2. ด้านการเศรษฐกิจและสังคม จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ยึดหลักการพัฒนาตามแผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ทำการพัฒนาประเทศ ดำเนินการตามโครงการสนับสนุนการพัฒนาส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นต่าง ๆ
จนกระทั่งอาเซี่ยนเติบใหญ่และมั่นคงมาจนปัจจุบันนี้มีสมาชิก 10 ประเทศแล้ว
 
== ยศ ==