ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร)"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
กบฏไทรบุรี เจรจากับอังกฤษ |
กบฏไทรบุรีครั้งหลัง |
||
บรรทัด 88:
เมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองถลางและภูเก็ตในพ.ศ. 2352 พระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ได้ติดตามบิดาบุญธรรมเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ไปตั้งทัพเรือขึ้นที่เมือง[[ตรัง]]เพื่อยกทัพเข้าต่อสู้กับพม่าที่ภูเก็ต ฝ่ายพม่าซึ่งเข้ายึดเมืองภูเก็ตไว้ได้ยินเสียงคลื่นลมเข้าใจว่าทัพเรือไทยยกมาจึงถอยออกจากภูเก็ต พระบริรักษ์ภูเบศร์จึงนำทัพเรือของเมืองนครฯเข้ายึดเมืองภูเก็ตได้สำเร็จ
ในพ.ศ. 2354 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) กราบทูลต่อ[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]]ว่า ตนเองมีความชราภาพขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยฯจึงโปรดฯให้ตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ขึ้นเป็น
=== กบฏไทรบุรีครั้งแรก ===
ในพ.ศ. 2363 [[พระเจ้าจิงกูจา]]แห่งพม่ามีพระราชโองการให้เตรียมเกณฑ์ทัพจากเมือง[[มะริด]]และ[[ตะนาวศรี]]เข้ารุกรานไทย ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อทรงทราบข่าวทัพพม่าจึงมีพระราชโองการให้จัดเตรียมทัพไปตั้งรับ ในขณะนั้นพระยานครฯ (น้อย) ล้มป่วยลง จึงมีพระราชโองการให้พระวิชิตณรงค์ไปรักษาการณ์เมืองนครศรีธรรมราช และให้[[พระพงษ์นรินทร์]]ซึ่งเป็นหมอหลวงเดินทางมารักษาอาการป่วยของพระยานครฯ และมีตราว่าหากทัพพม่าบุกเข้ามาให้พระยานครฯเป็นแม่ทัพ พระวิชิตณรงค์เป็นปลัดทัพ และพระพงษ์นรินทร์เป็นยกกระบัตรทัพ แต่สุดท้ายแล้วทัพพม่าก็ไม่ได้ยกมารุกรานแต่อย่างใด
ฝ่ายสุลต่านตวนกูปะแงหรันแห่งไทรบุรีเมื่อทราบข่าวว่าพม่าจะยกทัพมายังภาคใต้จึงติดต่อสัมพันธไมตรีกับฝ่ายพม่า
=== เจรจากับอังกฤษ ===
เมื่อพระยานครฯ (น้อย) ยึดไทรบุรีแล้ว สยามจึงเข้าปกครองเมืองไทรบุรีโดยตรงโดยขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช มีข้าราชการกรมการฯสยามเข้าปกครองไม่มีการแต่งตั้งสุลต่าน อดีตสุลต่านตวนกูปะแงหรันพำนักอยู่ที่เกาะปีนังภายใต้ความคุ้มครองของอังกฤษ ฝ่ายอังกฤษที่เกาะปีนังเพื่อเห็นว่าสยามเข้าปกครองไทรบุรีโดยตรงเกรงว่าสยามจะส่งทัพมาโจมตีเกาะปีนัง [[ฟรานซิส รอว์ดอน-เฮสติงส์ มาร์เควสแห่งเฮสติงส์ที่ 1|มาร์เควสแห่งเฮสติงส์]] (Marquess of Hastings) ผู้ปกครอง[[บริติชอินเดีย]] ส่งนาย[[จอห์น ครอว์เฟิร์ด]] (John Crawfurd) เป็นทูตมายังสยามเพื่อดูท่าที นายครอว์เฟิร์ตเดินทางถึงเกาะปีนังในเดือนธันวาคม พระยานครฯ (น้อย) จึงส่งสาส์นถึงนายครอว์เฟิร์ตที่เกาะปีนังว่าฝ่ายสยามไม่มีเจตนาที่จะยกทัพบุกเกาะปีนัง เมื่อนายครอว์เฟิร์ตเดินทางถึงกรุงเทพฯในเดือนเมษายนพ.ศ. 2365 ได้ยื่นหนังสือของตวนกูปะแงหรันให้แก่พระยาสุริยวงศ์โกษา (ดิศ) กล่าวโทษพระยานครฯ (น้อย) การเจรจาระหว่างสยามและอังกฤษครั้งนั้นยังไม่ประสบผล หลังจากการปราบกบฏไทรบุรีและการเจรจากับอังกฤษ พระยานครฯ (น้อย) จึงได้เลื่อนขึ้นเป็น
ต่อมาเมื่อเดือนตุลาคมพ.ศ. 2368 ฝ่ายอังกฤษส่งนาย[[เฮนรี เบอร์นี]] (Henry Burney) หรือ "หันตรีบารนี" เป็นตัวแทนของอังกฤษเข้ามาขอทำสนธิสัญญาทางการค้ากับสยาม นายเบอร์นีเดินทางถึงเมือง[[นครศรีธรรมราช]] พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) นำนายเบอร์นีเข้าไปยังกรุงเทพฯ นำไปสู่การตกลง[[สนธิสัญญาเบอร์นี]] (Burney Treaty) ในเดือนมิถุนายนพ.ศ. 2369 โดยมีผู้แทนฝ่ายสยามได้แก่[[กรมหมื่นสุรินทรรักษ์]] [[สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค)|เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ)]] และเจ้าพระยานครฯ (น้อย)
ในพ.ศ. 2369 [[กบฏเจ้าอนุวงศ์]] พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมีตราให้เจ้าพระยานครฯ (น้อย) เกณฑ์พลหัวเมืองปักษ์ใต้ขึ้นไปรบกับลาว แต่เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ถวายรายงานว่าอังกฤษนำเรือมาไว้ที่เกาะปีนัง จึงให้พระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) บุตรชายยกทัพไปส่วนหนึ่งตามท้องตราไปแทน
=== กบฏไทรบุรีครั้งหลัง ===
ในพ.ศ. 2375 ตนกูเด่นผู้เป็นหลานของอดีตสุลต่านตวนกูปะแปหรันปลุกระดมชาวเมืองไทรบุรีให้ลุกฮือขึ้นและเข้ายึดเมืองไทรบุรีได้ พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) เจ้าเมืองไทรบุรีและพระเสนานุชิต (นุช) บุตรทั้งสองของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) หลบหนีออกจากเมือง เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่กรุงเทพมีคำสั่งให้พระสุรินทร์ซึ่งเป็นข้าหลวงใน[[กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ|กรมพระราชวังบวร]]ฯลงไปช่วง[[พระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋ง)]] ในการเกณฑ์หัวเมืองปัตตานีมารบกับไทรบุรี และตัวเจ้าพระยานครฯจึงรีบรุดลงมายังเมืองนครฯ ฝ่ายบรรดาเจ้าเมืองปัตตานีห้าเมืองจากเจ็ดเมืองนำโดย[[พระยาตานี (ต่วนสุหลง)]] ทราบว่าต้องนำพลไปรบกับไทรบุรีจึงก่อการกบฏขึ้นบ้าง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกทัพลงมาช่วยเจ้าพระยานครฯ เจ้าพระยานครฯยกทัพเข้ายึดเมืองไทรบุรีคืนได้สำเร็จ ตนกูเด่นฆ่าตัวตาย
เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกทัพมาถึงเมืองสงขลาในเดือนมีนาคม พบว่าเจ้าพระยานครฯ (น้อย) เข้ายึดเมืองไทรบุรีได้แล้ว ทั้งเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) เจ้าพระยานครฯ (น้อย) และพระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋ง) ยกทัพเข้าตีเมืองปัตตานี พระยาตานี (ต่วนสุหลง) สู้ไม่ได้จึงหลบหนีไปยัง[[กลันตัน]] ฝ่ายสยามยกตามไปต่อที่กลันตัน สุลต่าน[[มูฮาหมัดที่ 1 แห่งกลันตัน|มูฮาหมัด]] (Muhammad) แห่งกลันตันผู้เป็นญาติของพระยาตานีไม่สู้รบขอเจรจาแต่โดยดีและมอบตัวพระยาตานีให้แก่ฝ่ายสยาม หลังจากปราบกบฎไทรบุรีลงได้แล้ว เจ้าพระยานครฯจึงให้พระยาอภัยธิเบศร์และพระเสนานุชิตบุตรทั้งสองครองเมืองไทรบุรีตามเดิม
ต่อมาในพ.ศ. 2380 [[กรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย]]สิ้นพระชนม์ เจ้าพระยานครฯ (น้อย) และข้าราชการกรมการของหัวเมืองปักษ์ใต้เดินทางไปยังกรุงเทพฯเพื่อร่วมพระราชพิธี ในหลานสองคนของตวนกูปะแงหรันได้แก่ตนกูมูฮาหมัดซาอัด (Tunku Muhammad Sa'ad) และตนกูมูฮาหมัดอากิบ (Tunku Muhammad Akib) ร่วมมือกับหวันหมาดหลีซึ่งเป็นโจรสลัดใน[[ทะเลอันดามัน]] นำทัพเรือเข้าบุกยึดเมืองไทรบุรีในเดือนกุมพาพันธ์พ.ศ. 2381 นำไปสู่[[กบฏหวันหมาดหลี]] พระยาอภัยธิเบศร์และพระเสนานุชิตหลบหนีไปตั้งมั่นที่เมืองพังงา ในขณะนั้นเจ้าพระยานครฯ (น้อย) ล้มป่วยอยู่ที่กรุงเทพจำต้องรีบรุดเดินทางลงมายังเมืองนครฯเพื่อปราบกบฏไทรบุรีอีกครั้งพร้อมกับพระวิชิตไกรสร เจ้าพระยานครฯล้มป่วยอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯโปรดให้พระยาศรีพิพัฒนราชโกษา (ทัต) ยกทัพมาช่วยเจ้าพระยานครฯ พระยาอภัยธิเบศร์ พระเสนานุชิต และพระวิชิตไกรสรเข้ายึดเมืองไทรบุรีได้อีกในเดือนเดียวกันนั้นเอง
=== ถึงแก่อสัญกรรม ===
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2381<ref>[http://nanagara.net/s_name.html ประวัติสกุล ณ นคร] สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560</ref> หลังจากที่เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว พระยาศรีพิพัฒน์ฯ (ทัต) จัดการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ใหม่ โดยยกตนกูอาหนุ่มซึ่งเป็นญาติของตวนกูปะแงหรันขึ้นเป็นสุลต่านแห่งไทรบุรี และให้ชาวมลายูเข้าปกครองเมืองไทรบุรีอีกครั้ง การปกครองไทรบุรีโดยตรงของเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาสิบแปดปีจึงสิ้นสุดลง ส่วนพระยาอภัยธิเบศร์และพระเสนานุชิตนั้น พระยาศรีพิพัฒน์ฯ (ทัต) ตั้งให้พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) เป็นเจ้าเมืองพังงา และให้พระเสนานุชิต (นุช) เป็นปลัดเมืองพังงา นอกจากนี้พระยาศรีพิพัฒน์ฯ (ทัต) ยังตั้งให้บุตรชายคนที่สองของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) คือ พระเสน่หามนตรี (น้อยกลาง) ขึ้นเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนที่สี่ ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นพระยานครศรีธรรมราช ส่วนบุตรชายคนโตของเจ้าพระยานครฯ (น้อย) คือพระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) โปรดฯเข้าไปช่วยราชการที่กรุงเทพฯ เนื่องจาก"''เป็นคนไม่ชอบกันกับพี่น้อง''"
== อ้างอิง ==
|