ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อานามสยามยุทธ"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 38:
ในช่วงยุคต้นรัตนโกสินทร์ทั้งสยามใน[[พระราชวงศ์จักรี]]และเวียดนาม[[ราชวงศ์เหงียน]]ต่างเรืองอำนาจขึ้นเป็นมหาอำนาจในภูมิภาค[[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]] อาณาจักรต่างๆที่ตั้งอยู่ระหว่างสยามและเวียดนามเป็น "อาณาจักรกันชน" ระหว่างสองมหาอำนาจอาณาจักรกันชนเหล่านั้นประกอบด้วย[[อาณาจักรเขมรอุดง]]และอาณาจักรลาวล้านช้าง ทั้งสยามและเวียดนามต่างแผ่ขยายอำนาจเข้าสู่อาณาจักรกันชนเหล่านั้นนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสองอำนาจ
=== ความขัดแย้งภายในอาณาจักรกัมพูชา ===
ความขัดแย้งภายในอาณาจักรกัมพูชาซึ่งแต่ละฝ่ายแสวงหาการสนับสนุนจากภายนอก สยามฝ่ายหนึ่งและญวนฝ่ายหนึ่ง นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสยามและญวนซึ่งเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยา
[[ไฟล์:Tượng Lê Văn Duyệt.jpg|left|thumb|267x267px|"องต๋ากุน"[[เล วัน เสวียต|เลวันเสวียต]] (Lê Văn Duyệt) ผู้สำเร็จราชการในเวียดนามใต้]]
องเชียงสือ
ในพ.ศ. 2362 องต๋ากุนเลวันเสวียตเกณฑ์ชาวเวียดนามและกัมพูชาเข้าขุดคลองหวิญเต๊ (Vĩnh Tế) ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองโจดกหรือ[[เจิวด๊ก]] (Châu Đốc [[จังหวัดอานซาง]]) กับเมืองบันทายมาศ เป็นคลองขนาดใหญ่และเป็นช่องทางให้ทัพเรือญวนสามารถนำทัพเรือออกสู่[[อ่าวไทย]]ได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงมีพระราชโองการให้พระเจ้าลูกยาเธอ[[กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์]]เป็นแม่กองสร้างป้อมเมือง[[สมุทรปราการ]]ขึ้นเพื่อสำหรับป้องกันข้าศึกทางทะเล
=== สงครามเจ้าอนุวงศ์ ===
เวียดนามพยายามที่จะแผ่ขยายอำนาจมาที่อาณาจักรล้านช้างผ่านทาง[[จังหวัดเหงะอาน]]และ[[เมืองพวน]]อาณาจักรเชียงขวางมาแต่สมัยก่อนหน้า ในสมัยรัตนโกสินทร์อาณาจักรล้านช้างทั้งสามได้แก่[[อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง|หลวงพระบาง]] [[อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์|เวียงจันทน์]] และ[[อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์|จำปาศักดิ์]]ต่างเป็นเมืองขึ้นประเทศราชของสยาม โดยมีอาณาจักรเชียงขวางเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรเวียงจันทน์อีกทอดหนึ่ง เมื่อ[[เจ้าน้อยเมืองพวน]]เกิดความขัดแย้งกับ[[เจ้าอนุวงศ์]]แห่งเวียงจันทน์จึงหันไปพึ่งพระ[[จักรพรรดิมิญ หมั่ง|จักรพรรดิมิญหมั่ง]]แห่งเวียดนามราชวงศ์เหงียน ในพ.ศ. 2371 [[กบฏเจ้าอนุวงศ์]] เมื่อเจ้าอนุวงศ์หลบหนีไปยังจังหวัดเหงะอานของเวียดนามพระจักรพรรดิมิญหมั่งทรงให้การช่วยเหลือและจัดแต่งทูตญวน
=== กบฏของเลวันโคย ===
"องต๋ากุน"เลวันเสวียต
เมื่อเกิดกบฏของเลวันโคยขึ้น [[พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ลดอำนาจของญวนซึ่งคอยให้การสนับสนุนแก่กบฏที่ต่อต้านสยามหลายครั้ง "''ครั้งองค์จันทร์เขมรเป็นกบฏหนีไป ญวนก็รับไว้ อนุเป็นกบฏหนีไป ญวนก็รับไว้ แล้วกลับแต่งขุนนางพาอนุมาตั้งบ้านตั้งเมืองอย่างเก่า ทำเหมือนเมืองเขมรเหมือนกัน มีแต่คิดเกียจกันเขตต์แดนฝ่ายไทย ข่มขี่ยกตัวขึ้นเป็นดึกวองเด่''"<ref name=":0" /> และยังทรงไม่พอพระทัยธรรมเนียมการทูตญวน เมื่อจักรพรรดิญวนส่งทูตมาถวายพระราชสาสน์ที่กรุงเทพฯโปรดฯจะให้มีพระราชสาส์นโต้ตอบกลับไปแต่ทูตญวนไม่รับทุกครั้ง แจ้งว่าให้ฝ่ายกรุงเทพฯต้องแต่งคณะทูตไปมอบราชสาส์นให้ที่เมืองเว้เอง
บรรทัด 68:
=== สยามยึดเมืองบันทายมาศและโจดก ===
ทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และทัพของพระมหาเทพ (ป้อม) พระราชวรินทร์ (ขำ) ทั้งสามทัพยกออกจากกรุงเทพฯพร้อมกันใน
ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เมื่อมาถึงเมืองพนมเปญแล้ว ให้นักองค์อิ่มนักองค์ด้วงและ[[พระยาอภัยภูเบศร (เชด)]] อยู่ที่เมืองพนมเปญ แต่เดิมเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯวางแผนเดินทัพบกไปทางตะวันออกผ่านเขตเมืองบาพนมตัดตรงเข้าสู่เมืองไซ่ง่อน แต่ทราบข่าวว่าเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) มาตั้งอยู่ที่เมืองโจดกแล้ว จึงยกทัพมาสมทบกับทัพของเจ้าพระยาพระคลังที่เมืองโจดก การเดินทัพเรือจากเมืองโจดกไปยังเมืองไซ่ง่อนต้องข้ามจากแม่น้ำบาสักไปยัง[[แม่น้ำโขง]]เพื่อลดระยะทาง แต่คลองโดยส่วนใหญ่ที่เชื่อมระหว่างแม่น้ำบาสักและแม่น้ำโขงเป็นคลองขนาดเล็กทัพเรือไม่สามารถผ่านได้ มีเพียงคลองหวั่มนาว (Vàm Nao) เท่านั้นซึ่งเป็นคลองขนาดใหญ่ทัพเรือสามารถผ่านได้ คลองหวั่มนาวเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญซึ่งทัพเรือญวนสามารถสกัดทัพเรือสยามในตำแหน่งนี้ได้ ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อครั้ง[[สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์|กรมหลวงเทพหริรักษ์]]ทรงยกทัพเรือมาในพ.ศ. 2327 เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เปลี่ยนแผนใหม่โดยให้ทัพบกโดยส่วนใหญ่ลงเรือที่ได้มาจากกัมพูชาไปร่วมกับทัพเรือของเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ล่องไปตามแม่น้ำบาสักแทนที่จะยกไปทางตะวันออกไปทางบาพนมตามแผนเดิม เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้[[เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (เสือ สนธิรัตน์)|พระยาราชนิกูล (เสือ)]] และ[[เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอินทร์ ณ ราชสีมา)|พระยานครราชสีมา (ทองอิน)]] นำทัพบกส่วนหนึ่งจำนวน 7,000 ยกไปทางบาพนมตามแผนเดิมไปยังเมืองไซ่ง่อน
บรรทัด 76:
=== ยุทธนาวีที่คลองหวั่มนาว ===
[[ไฟล์:Rạch Ông Chưởng.jpg|left|thumb|200x200px|แผนที่คลองหวั่มนาว (Vàm Nao) และคลององเจือง (Ông Chướng)]]
ในเดือนมกราคมพ.ศ. 2377 ทัพเรือสยามซึ่งนำโดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกออกจากเมืองโจดกลงใต้ไปตามแม่น้ำบาสัก โดยให้[[เจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม)]] นำทัพเรือส่วนหนึ่งล่วงหน้าไปก่อน ทัพเรือสยามพบกับทัพบกญวนเมื่อ
ในระหว่างการรบที่คลองหวั่มนาว มีนายกองจำนวนหนึ่งหลบหนีไปแอบอยู่ท้ายเรือรบเนื่องจากกลัวศัตรู ซึ่งหนึ่งในนี้มีเชื้อสายของเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯอยู่ด้วย เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) มีคำสั่งให้นำตัวนายกองเหล่านั้นมาตัดศีรษะประหารชีวิต
หลังจากที่ฝ่ายญวนล่าถอยไปตั้งที่ฝั่งทางออกแม่น้ำโขงแล้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงวางแผนโจมตีค่ายญวนทั้งทางบกและทางน้ำ อีกห้าวันต่อมา
=== การล่าถอยของสยาม การรุกของญวน และการลุกฮือของกัมพูชา ===
ทัพสยามล่าถอยไปตั้งมั่นที่เมืองโจดก โดยเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ลำเลียงทัพเรือกลับไปยังเมืองบันทายมาศ ฝ่ายญวนยกทัพเรือตามแม่น้ำบาสักมาโจมตีเมือง
ฝ่ายกัมพูชาพระยาจักรี (หลง) และพระยายมราช (หู) ขุนนางเขมรผู้อยู่ข้างญวนเห็นว่าทัพสยามกำลังล่าถอยจึงปลุกระดมชาวกัมพูชาให้เข้าโจมตีทัพสยาม ทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯถูกชาวกัมพูชาเข้าโจมตีแบบกองโจร เมื่อเห็นว่าชาวกัมพูชาลุกฮือขึ้นต่อต้านสยามเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงให้นักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง และเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (เชด) ทำลายกำแพงเมืองพนมเปญแล้วกวาดต้อนชาวเมืองพนมเปญกลับไปเมืองโพธิสัตว์ แต่ชาวเมืองพนมเปญลุกฮือขึ้นต่อต้าน เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) มาพบกับนักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง และเจ้าพระยาอภัยภูเบศรที่เมืองโพธิสัตว์ในวันขึ้นแปดค่ำเดือนสี่ (กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2377) แล้วทั้งหมดจึงล่าถอยไปอยู่ที่เมืองพระตะบอง ฝ่ายแม่ทัพญวนเจืองมิญสางและเหงียนซวนเมื่อเห็นว่าฝ่ายสยามล่าถอยกลับไปแล้ว จึงนำกำลังเข้ายึดเมืองโจดกและบันทายมาศ
บรรทัด 97:
== ช่วงระหว่างสงคราม พ.ศ. 2378 - 2382 ==
หลังจากที่ทัพ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯโปรดฯให้เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สมบุญ) กลับไปจัดการเรื่องเมืองพวนและเมืองหัวพันห้าทั้งหกอีกครั้ง เมื่อฝ่ายสยามเข้าครองเมืองพวนอาณาจักรเชียงขวางแล้ว เห็นว่าอาณาจักรเชียงขวางเป็นเมืองห่างไกลป้องกันยาก หากเวียดนามเข้าโจมตีอีกครั้งจะไม่สามารถป้องกันได้และจะยึดเชียงขวางเป็นเส้นทางเสบียง เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์จึงให้ปลัดเมืองพิษณุโลกและยกกระบัตรเมืองสุโขทัยกวาดต้อนเจ้าสานเมืองพวน ชาวเมืองพวน [[ชาวไทพวน]]จากเมืองพวนทั้งหมดสิ้นมาไว้ที่เมืองน่าน แพร่ ศรีสัชนาลัย พิชัย พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์<ref>e-shann.com/9042/ชุมชนลาวในภาคกลางของส-11/</ref> ทำให้อาณาจักรเชียงขวางกลายเป็นเมืองรกร้างปราศจากผู้คน เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ให้เพี้ยอรรคฮาตไปเกลี้ยกล่อมชาวไทดำไทแดงอีกครั้ง นำตัวแทนจากเมืองเหียม เมืองหัวเมือง เมืองซวน และเมืองซำเหนือ มาพบกับเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ที่หลวงพระบาง บรรดาหัวเมืองของเมืองหัวพันฯจึงยินยอมเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของสยาม โดยขึ้นกับอาณาจักรหลวงพระบาง ฝ่ายเวียดนามจักรพรรดิมิญหมั่งเมื่อเห็นว่าสยามกวาดต้อนชาวไทพวนเชียงขวางไปจนหมดสิ้น บ้านเมืองว่างเปล่า จึงแต่งตั้งเจ้าโปซึ่งเป็นบุตรชาวของเจ้าน้อยมาครองเมืองพวน รวบรวมชาวไทพวนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นใหม่
บรรทัด 110:
*ให้[[เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร)|พระยาราชสุภาวดี (โต)]] บูรณะกำแพงเมือง[[เสียมราฐ]]
พระอุไทยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชาสวรรคตเมื่อเดือนสองพ.ศ. 2377 นักองจันทร์ไม่มีโอรสมีแต่ธิดาสี่องค์ได้แก่ องค์แบน องค์มี องค์สงวน และองค์โพธิ์ พระจักรพรรดิมิญหมั่งจึงตั้งองค์มีธิดาของพระอุไทยราชานักองค์จันขึ้นเป็นกษัตรีครองอาณาจักรกัมพูชาแต่ในฐานะหุ่นเชิดเท่านั้น เจืองมิญสางทูลเสนอพระจักรพรรดิมิญหมั่งให้ผนวกกัมพูชาเข้ากับเวียดนามปกครองโดยตรง ในพ.ศ. 2378 พระจักรพรรดิมิญหมั่งจึงทรงยุบรวมอาณาจักรกัมพูชาเข้ามาปกครองโดยตรงกลายเป็น "มณฑลเจิ๊นเต็ย" (Trấn Tây, 鎮西) และแต่งตั้งเจืองมิญสางเป็น''เจิ๊นเตยเตื๊องเกวิน'' (Trấn Tây tướng quân, 鎭西將軍) หรือผู้บัญชาการทหารแห่งเจิ๊นเต็ยเป็นที่มาของชื่อ "องเตียนกุน" เมืองพนมเปญซึ่งญวนเรียกว่าเมืองนามวัง (Nam Vang, 南榮) หรือเมืองเจิ๊นเต็ยถ่าญ (Trấn Tây Thành) เป็นศูนย์กลางการปกครองของเวียดนามในกัมพูชา พระจักรพรรดิมิญหมั่งและเจืองมิญสางมีนโยบาลกลืนชาติกัมพูชาให้ชาวกัมพูชาเข้าสู่วัฒนธรรม
เมื่อกัมพูชาอยู่ภายใต้การปกครองของเวียดนามโดยมีเจ้าสตรีเป็นหุ่นเชิด นักองค์อิ่มและนักองค์ด้วง
เดือนสิบ (กันยายน) พ.ศ. 2383 พระยาสังคโลกเจ้าเมืองโพธิสัตว์เข้าสวามิภักดิ์ต่อเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ แจ้งสถานการณ์ของกัมพูชาว่าฝ่ายญวนกดขี่ขุนนางกัมพูชาอย่างมากและองเตียนกุนกำลังเตรียมทัพมาตีเมืองพระตะบอง บรรดาขุนนางเขมรต้องการให้นักองค์ด้วงมาครองกัมพูชา เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงเกณฑ์กำลังพลจากเขมรป่าดงและอีสานมาเตรียมการสำหรับสงครามครั้งใหม่ ปลายปีพ.ศ. 2383 เมืองกัมพูชาลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของเวียดนามขึ้นทุกเมือง ''ดั่ยนามถึกหลุก''กล่าวถึงการลุกฮือของชาวกัมพูชาชื่อว่าเลิมเซิม (Lâm Sâm) ในเวียดนามภาคใต้ พระจักรพรรดิมิญหมั่งพระราชโองการให้เจืองมิญสาง เหงียนกงจื๊อ (Nguyễn Công Trứ) และเหงียนเที้ยนเลิม (Nguyễn Tiến Lâm) นำทัพเข้าปราบการลุกฮือของกัมพูชา และให้ปลดนักองค์มีออกราชสมบัติให้เนรเทศนักองค์รวมทั้งพระขนิษฐาสององค์ไปที่เมืองเว้
บรรทัด 126:
* พระยาราชนิกูล และพระยาอภัยสงคราม นำทัพชาวลาว 2,000 คน ชาวเขมรป่าดง 11,000 คน รวม 13,000 คน เดินทางเหนือของโตนเลสาบไปช่วงพระยาเดโชขุนนางกัมพูชาเจ้าเมืองกำปงสวาย
ทัพของพระยาราชนิกูลเดินทางออกจากเมืองพระตะบองในเดือนสิบสอง (พฤศจิกายน พ.ศ. 2383) ร่วมกับทัพเขมรของพระยาเดโช เข้ายึดเมืองกำปงธมของฝ่ายญวนและตีทัพญวนที่ค่ายชีแครงแตกไป
พระเจ้ามิญหมั่งมีพระราชโองการให้ "องตาเตียงกุน"ฝั่มวันเดี๋ยน (Phạm Văn Điển) ยกทัพมาช่วยองเตียนกุน
ในเวลานั้นอาณาจักรกัมพูชาแบ่งเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายนักองค์ด้วงที่เมืองอุดงและฝ่ายนักองค์อิ่มและนักองค์มีที่พนมเปญ พระจักรพรรดิเวียดนามพระองค์ใหม่คือพระ[[จักรพรรดิเถี่ยว จิ|จักรพรรดิเถี่ยวจิ]]ทรงมีนโยบายที่แตกต่างจากพระจักรพรรดิมิญหมั่ง ขุนนางชื่อว่าตะกวังกึ (Tạ Quang Cự) ได้กราบทูลพระจักรพรรดิเถี่ยวจิว่าสงครามในกัมพูชานั้นเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองทรัพยากรทำให้ราษฎรในเวียดนามภาคใต้ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากถูกเกณฑ์ไปรบ จึงมีพระราชโองการให้ถอนกำลังทหารของเวียดนามออกจากกัมพูชาและเชียงขวางทั้งหมด ประกอบกับการที่เมืองพนมเปญเกิดโรคระบาดและภาวะขาดอาหาร ทำให้เจืองมิญสางจำต้องถอนกำลังออกจากกัมพูชารวมทั้งนำนักองค์อิ่มและเชื้อพระวงศ์เขมรลงใต้ไปอยู่ที่เมืองโจดกในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2384 ''ดั่ยนามถึกหลุก''กล่าวว่าเจืองมิญสางเสียชีวิตอย่างกระทันกันที่เมืองโจดก ในขณะที่พงศาวดารไทยและเขมรกล่าวว่าองเตียนกุนเจืองมิญสางมีความเสียใจที่สูญเสียกัมพูชาจึงกินยาพิษฆ่าตัวตาย
=== สยามตีเมืองบันทายมาศและคลองหวิญเต๊ ===
เมื่อฝ่ายสยามเข้าครองกัมพูชาแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯดำริว่าคลองหวิญเต๊ซึ่งเป็นคลองขุดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2362 ระหว่างเมืองโจดกและเมืองบันทายมาศเป็นคลองขนาดใหญ่ทำให้เวียดนามสามารถนำทัพเรือออกสู่อ่าวไทยได้ จึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาบดินทรเดชานำกำลังไปถมทำลายคลองหวิญเต๊ เจ้าพระยาบดินทรเดชาตอบว่าคลองหวิญเต๊มีกองกำลังญวนคุมอยู่เนื่องจากเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯล้มป่วยจึงทูลขอให้แต่งทัพเข้าตีคลองหวิญเต๊และตีเมืองบันทายมาศ
* [[พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว|สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์]] ประทับเรือ''พุทธอำนาจ'' และจมื่นไวยวรนาถ (ช่วง) เป็นทัพหน้าลงเรือ''เทพโกสินทร์'' นายกองอื่นๆลงเรือ''ราชฤทธิวิทยาคม'' เรือ''อุดมเดช'' และเรือ''ปักหลั่นมัจฉานุ'' นำกำลัง 2,000 คนไปรวมกับกำลังจากหัวเมืองตะวันออกได้แก่ระยอง จันทบุรี ตราด อีก 3,000 คน รวมเป็น 5,000 คน นำเสบียงไปส่งให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯที่เมืองกำปอตและเข้าตีเมืองบันทายมาศ
บรรทัด 140:
เจ้าพระยายมราชและพระพรหมบริรักษ์นำนักองค์ด้วงออกจากเมืองอุดงในเดือนสาม (มกราคม) พ.ศ. 2385 ถึงเมืองเชิงกรรชุมส่งคนไปโจมตีคลองหวิญเต๊เป็นระยะ ทัพเรือของเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ออกจากกรุงเทพฯในวันเดียวกัน กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ประทับที่จันทบุรีแล้วให้ทัพเรือของพระพิชัยรณฤทธิ์และพระราชวังสันยกไปก่อน ไปพบกับเรือฝ่ายญวนที่ช่องกระบือยิงต่อสู้กันเรือญวนถอยกลับไปยังบันทายมาศ พระยาอภัยพิพิธนำเสบียงลงเรือ''ปักหลั่นมัจฉานุ''ไปส่งให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาที่กำปอต จากนั้นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์จึงยกทัพเรือเสด็จไปประทับที่[[เกาะฟู้โกว๊ก]]หรือเกาะกระทะคว่ำ ฝ่ายญวน"องตุมผู"เหงียนกงจื๊อทราบว่าทัพเรือสยามกำลังยกมาตีเมืองบันทายมาศจึงรายงานไปยังพระจักรพรรดิเถี่ยวจิ จึงมีพระราชโองการตามที่ใน''ดั่ยนามถึกหลุก''ให้เลวันดึ๊กเป็นเตียนกุนแม่ทัพใหญ่ ให้เหงียนจิเฟือง (Nguyễn Tri Phương) และเหงียนกงเญิน (Nguyễn Công Nhân) ป้องกันคลองหวิญเต๊ ฝั่มวันเดี๋ยนและเหงียนวันเญิน (Nguyễn Văn Nhân) ป้องกัน[[จังหวัดเหิ่วซาง]]
[[ไฟล์:Đồng lúa chín ở Cô Tô.jpg|thumb|200x200px|เขาโกนธมหรือเขาโกโต (Núi Cô Tô) ตั้งอยูทางทิศตะวันออกของเมืองบันทายมาศ อยู่ที่อำเภอจีโตน (Tri Tôn) [[จังหวัดอานซาง]]ในปัจจุบัน]]
กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ทรงให้จมื่นไวยวรนาถ (ช่วง) ยกทัพเข้าตีเมืองบันทายมาศ จมื่นไวยวรนาถให้พระยาอภัยพิพิธนำทัพหัวเมืองตะวันออก 600 คน และพระยาโสรัชชะเจ้าเมืองกำปอตชาวเขมรยกทัพเขมร 2,000 คนเข้ายึดเขาโกนธมหรือเขาโกโต (Núi Cô Tô) ทางทิศตะวันออกของเมืองบันทายมาศ ทำให้ฝ่ายสยามสามารถใช้ปืนใหญ่ยิงใส่เมืองบันทายมาศจากบนเขาโกนธมได้ นอกจากนี้จมื่นไวยวรนาถยังให้พระยาราชวังสันยกทัพเรือไปโจมตีป้อมหน้าเมืองบันทายมาศ และพระยาพิชัยรนฤทธิ์ยกทัพเรือไปโจมตีหอลำผี ฝ่ายสยามระดมยิงปืนใหญ่ใส่เมืองบันทายมาศทั้งทางบกและทะเล ฝ่ายองตุมผูเหงียนกงจื๊อผู้รักษาเมืองบันทายมาศจึงขอความช่วยเหลือไปยังเลวันดึ๊ก เลวันดึ๊กแม่ทัพใหญ่จึงส่งฝั่มวันเดี๋ยนนำทัพญวนมาเสริมกำลังที่เมืองบันทายมาศ ฝ่ายสยามระดมยิงใส่เมืองบันทายมาศเป็นเวลาติดต่อกันเจ็ดวันฝ่ายญวนยังสามารถยิงตอบโต้ได้ต่อเนื่อง
กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ฯทรงมีพระวินิจฉัยว่า<ref name=":0" />ฝ่ายญวนนำกำลังเสริมมามากการยึดเมืองบันทายมาศทำได้ลำบาก อีกประการขณะนั้นกำลังจะเปลี่ยนฤดูมรสุมหากลมจากทิศตะวันตกพัดแรงขึ้นจะพัดกองเรือกำปั่นหลวงให้ได้รับความเสียหาย จึงมีพระบัญชาให้ถอนทัพสยามออกจากเมืองบันทายมาศทั้งหมดในเดือนห้า (เมษายน) พ.ศ. 2385 ฝ่ายญวนเหงียนจิเฟืองนำทัพเข้าโจมตีค่ายของพระยาอภัยพิพพิธและพระยาโสรัชชะบนเขาโกนธมแตกพ่ายไป ทัพเรือที่หอลำผีนั้นก็ถูกลมมรสุมตะวันตกพัดจนตั้งอยู่ไม่ได้ต้องถอยออกมา
บรรทัด 149:
=== ช่วงระหว่างสงครามพ.ศ. 2386 - 2388 ===
ฝ่ายเวียดนามนำโดย"จงตก"เหงียนจิเฟืองตั้งมั่นอยู่ที่เมืองโจดกได้ส่งนักองค์อิ่มมาอยู่ที่เมืองโจดกและส่งพระสงฆ์ออกไปเกลี้ยกล่อมชาวกัมพูชา แต่ทว่านักองค์อิ่มถึงแก่พิราลัยในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2386 โดยที่นักองค์อิ่มไม่มีโอรสมีแต่ธิดาคือนักองค์ภิม ทำให้ฝ่ายญวนขาดเจ้ากัมพูชาที่เป็นชายอีกครั้ง เจ้าหญิงกัมพูชาที่อยู่กับญวนได้แก่นักองค์มี นักองค์สงวน นักองค์โพธิ์ และนักองค์ภิม รวมทั้งนักนางรศมารดาของนักองค์ด้วง
บรรทัด 167:
ในการล้อมเมืองอุดงนั้นเอกสารฝ่ายไทยและฝ่ายเวียดนามให้รายละเอียดต่างกัน พงศาวดารไทยกล่าวว่าเมื่อฝ่ายเวียดนามเข้าโจมตีเมืองอุดงเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯสามารถนำทัพขับทหารเวียดนามออกไปได้และแบ่งกำลังออกไปตีค่ายกำพงหลวงและพระยาลือ ในขณะที่''ดั่ยนามถึกหลุก''กล่าวว่าทั้งเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯและเหงียนจิเฟืองต่างเห็นว่าการล้อมเมืองอุดงยืดเยื้อไม่สามารถเอาชนะซึ่งกันและกันได้นำไปสู่การเจรจาสงบศึก
=== การเจรจา ===
|