ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประมวลเรื่องปรัมปรานอร์ส"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Miwako Sato (คุย | ส่วนร่วม)
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 3:
[[ไฟล์:Thor.jpg|thumb|250px|เทพเจ้าธอร์เข้าณรงค์ยุทธกับเหล่ายักษ์]]
 
'''ประมวลเรื่องปรัมปรานอร์ส''' หรือ '''ประมวลเรื่องปรัมปราสแกนดิเนเวีย'''เป็น[[ประมวลเรื่องปรัมปรา]]ของ[[กลุ่มชนเจอร์แมนิก|ชนเจอร์แมนิกเหนือ]] และเป็นส่วนหนึ่งของ[[เพกัน|ศาสนาเก่าแก่]]ของชาวนอร์สซึ่งเป็นความเชื่อพหุเทวนิยม และยังคงเล่าสืบเนื่องกันมาแม้ภายหลังจากชาวสแกนดิเนเวียหันมานับถือศาสนาคริสต์ จนกลายมาเป็นคติชาวบ้านสแกนดิเนเวียแห่งสมัยใหม่ ประมวลเรื่องปรัมปรานอร์สเป็นการกระจายขึ้นเหนือสุดของ[[รายพระนามเทวดาเจอร์แมนิก|ประมวลเรื่องปรัมปราเจอร์มานิก]] โดยประกอบด้วยนิทานเทวดา และวีรบุรุษต่าง ๆ จากแหล่งที่มาจำนวนมากทั้งก่อนและหลังยุค[[เพกัน]] ซึ่งรวมถึงวรรณกรรมของชาวไอซ์แลนด์ที่เขียนขึ้นใน[[สมัยกลาง]] หลักฐานทางโบราณคดีและประเพณีพื้นบ้าน
 
เทพเจ้าองค์สำคัญในประมวลเรื่องปรัมปรานอร์ส ได้แก่ [[ธอร์]] เทพสายฟ้าผู้มีค้อนใหญ่เป็นอาวุธ โดยเป็นเทพนักรบผู้พิทักษ์มนุษยชาติ [[โอดินดินน์]] เทพเจ้าพระเนตรเดียว ผู้ทรงขวนขวายหาความรู้ในโลกฐาตุทั้งหลาย และพระราชทาน[[อักษรรูน]]ให้แก่มนุษย์; [[เฟรยาเฟร็วยา]] (Freyja) เทพสตรีผู้ทรงสิริโฉม ผู้ใช้เวทมนตร์ (seiðr) และทรงฉลองพระองค์คลุมขนนก ผู้ทรงม้าเข้าสู่สมรภูมิเพื่อเลือกเอาดวงวิญญาณในหมู่ผู้ตาย; [[Skaði|สคาดดี]] (Skaði) [[โยตุนยอตุนน์|ยักขินี]]และเทวีแห่งการ[[สกี]] ผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าบนภูเขาในฤดูหนาว; [[นโยร์ดนิยอร์เดอร์]] (Njörðr) เทพเจ้าทรงฤทธิ์ผู้อาจปราบได้ทั้งทะเลและไฟและยังประทานความมั่งคั่งและที่ดิน; [[เฟรย์เฟรอือร์ (เทพเจ้านอร์ส)|เฟรย์เฟรอือร์]] (Freyr) ผู้นำสันติภาพและความเพลิดเพลินสู่มนุษยชาติ ผ่านทางฤดูกาลและการกสิกรรม; [[อีดุนน์อิดุนน์]] (Iðunn) เทพเจ้าผู้ทรงรักษาแอปเปิลที่ให้ความเยาว์วัยชั่วนิรันดร์; [[Heimdallr|เฮม์ดาลร์เฮย์มดัลเลอร์]] (Heimdallr) เทพเจ้าลึกลับผู้ประสูติแต่มารดาเก้าตน ทรงสามารถฟังเสียงหญ้าโต มีพระทนต์เป็นทองคำ และมีเขาสัตว์ที่เป่าได้ดังกึกก้อง; และ[[โยตุนยอตุนน์]][[โลกิโลกี]] ผู้นำโศกนาฏกรรมมาสู่ทวยเทพโดยวางแผนให้[[บัลเดอร์ (เทพเจ้านอร์ส)|บัลเดอร์]] (Baldr) พระโอรสแห่งเทพเจ้า[[ฟริกก์]] ต้องตาย เป็นต้น
 
ประมวลเรื่องปรัมปรานอร์สจัดเหล่าเทพเจ้าออกเป็นสองกลุ่ม คือ พวก[[อัสร์แอซีร์]] (Æsir) ซึ่งมีรากคำเดียวกับ "อสูร" ในภาษาสันสกฤต ได้แก่ พวกเทพเจ้าองค์สำคัญๆสำคัญ ๆ ในเทพวิหารของนอร์ส (เช่น โอดินดินน์, ธอร์, ฟริกก์, บัลเดอร์ ฯลฯ) พวกหนึ่ง และ พวกวาเน็น หรือ[[วานร์]] อันเป็นเหล่าเทพที่มีความเกี่ยวพันกับความอุดมสมบูรณ์ ปัญญาเฉลียวฉลาด ธรรมชาติ และการรู้อนาคตอีกพวกหนึ่ง ทั้งสองพวกเข้าทำสงครามกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ จนในที่สุดรู้ว่าตนมีอำนาจเท่าๆเท่า ๆ กัน นอกจากนี้ในโลกยังมีสัตว์และเผ่าในเทพนิยายอยู่อีกนานับประการ (เช่น ยักษ์, คนแคระ, เอลฟ์, และภูตในแผ่นดิน)
 
จักรวาลวิทยาของนอร์สประกอบด้วยโลกเก้าโลก ซึ่งขนาบ[[อิกดระซิลอึกดราซิลล์]] ต้นไม้แห่งเอกภพ โลกมนุษย์ในจักรวาลวิทยานอร์สมีชื่อเรียกว่า [[มิดการ์การ์เดอร์]] นอกจากนี้ยังมีภพหลังความตายอยู่หลายภพซึ่งมีเทพเจ้าพิทักษ์รักษาอยู่แตกต่างกัน ในตำนานของนอร์สมีตำนานสร้างโลกอยู่หลายแบบ มีการทำนายว่าโลกเหล่านี้จะกำเนิดใหม่หลังเหตุการณ์[[แรกนะร็อก]] เมื่อเกิดการยุทธ์มโหฬารระหว่างเหล่าทวยเทพและฝ่ายศัตรู และโลกถูกเพลิงประลัยกัลป์หุ้มเพื่อถือกำเนิดใหม่ ที่นั่น เทพเจ้าที่เหลือรอดจะประชุม แผ่นดินจะเขียวอุดม และมนุษย์สองคนจะเพิ่มประชากรโลกอีกครั้ง
 
== แหล่งที่มาของตำนาน ==
[[ไฟล์:Rökstenen.jpg|thumb|190px|[[ร็อกรูนสโตน]] (Rök Runestone), ตั้งอยู่ที่ประเทศสวีเดน มีข้อความจารีกในอักษรรูนอ้างถึงเรื่องราวในประมวลเรื่องปรัมปรานอร์ส]]
[[ไฟล์:Snorre Sturluson-Christian Krohg.jpg|thumb|right|upright|[[สนอร์ริ สตูร์ลูสัน]] (Snorri Sturluson) กวีและนักบันทึกประวัติศาสตร์ชาวไอซ์แลนด์ ผู้รจนา[[บทร้อยแก้วเอ็ดดาร้อยแก้ว]]]]
 
== จักรวาลวิทยาของนอร์ส ==
เมื่อแรกเริ่ม จักรวาลก็คือสภาวะหมุนคว้าง มืดและสับสน และแล้วจู่ๆจู่ ๆ ความสับสนนั่นก็ค่อยๆค่อย ๆ แตกแยกออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งอยู่ทางใต้เรียกว่า '''มัสเปลเฮมมูสเป็ลล์สเฮย์เมอร์''' (Muspelheim) เป็นดินแดนแห่งไฟ แสงสว่าง และความร้อน อีกซีกหนึ่งอยู่ทางเหนือเรียกว่า '''นิฟล์เฮมนิเวิลเฮย์เมอร์''' (Niflheim) เป็นโลกแห่งความมืดหมอกและน้ำแข็งระหว่างขั้วร้อน-เย็นทั้งสองก็เกิดห้วงว่างขึ้นตรงกลาง เป็นห้วงที่ความลึกหยั่งไม่ได้ อุณหภูมิเริ่มต่ำลงขนาดแช่คนให้แข็งได้ในฉับพลัน ห้วงที่ว่าชาวนอร์สเรียก '''กินนุนกาแก็บ''' (Ginnungagap "หุบเหวยักษ์") ทิศเหนือของกินนันกาแก็บ เป็นอาณาเขตของ '''นิฟล์เฮมนิเวิลเฮย์เมอร์''' (Niflheim) โลกแห่งความมืดมัวนิรันดร์ โดยนิฟล์เฮมนิเวิลเฮย์เมอร์เป็นที่ตั้งของน้ำพุ '''เวอร์เกลเมอร์คเวร์เก็ลมีร์''' (Hvergelmir) ต้นกำเนิดของแม่น้ำ 12 สาย แต่เป็นแม่น้ำพิษเสีย 11 สาย ซึ่งก็ไหลลงใต้ไปสู่ห้วง กินนุนกาแก็บ เจอเข้ากับความเย็นที่นี่ น้ำในแม่น้ำก็ค่อยๆค่อย ๆ แข็งตัวแผ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆเรื่อย ๆ แทรกตัวเข้าไปในห้วงว่างจนเต็ม
 
ทางใต้ของ กินนันกาแก็บ คือ '''มัสเปลเฮมมูสเป็ลล์สเฮย์เมอร์''' (Muspelheim) แผ่นดินแห่งไฟ ซึ่งมีความร้อนอยู่ตลอดเวลา เป็นที่อยู่อาศัยของ เซิร์ทซูร์เตอร์ (Surtr) ยักษ์แห่งไฟ ผู้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแรก ที่มีบทบาทตั้งแต่การสร้างโลกจนล้างโลกในวาระสุดท้าย (สงครามแร็คนาร็อกแรกนะร็อก) หน้าที่ของยักษ์ตนนี้คือเฝ้ามัสเปลเฮมเอาไว้มูสเป็ลล์สเฮย์เมอร์เอาไว้ ไม่ยอมให้ใครเข้า แต่เพราะความที่ตอนนั้นก็ไม่มีใครอยู่ ยักษ์เซิร์ทซูร์เตอร์จึงเบื่อมากๆมาก ๆ ไม่รู้จะทำอะไรนอกจาก ตีดาบ ทำของ และส่งประกายไฟลอยเข้าไปในกินนันกาแก็บเล่นไปวันๆวัน ๆ
 
ความร้อนที่มาจากประกายไฟ นานเข้าบ่อยเข้าทำให้น้ำแข็งในห้วงละลายเป็นไอลอยขึ้นกระทบอากาศเย็นกลายเป็นน้ำค้างแข็งร่วงลงมากองอยู่กับพื้น นับเดือนนับปี น้ำค้างเหล่านั้นก็รวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา 2 อย่าง คือ ยักษ์[[โยตุนยอตุนน์]]ตนแรก '''อีเมอร์''' (Ymir) กับ วัว '''ออดฮัมลา''' (Audhumla)
 
== กำเนิดบรรพเทพ-ต้นตระกูลยักษ์ ==
เมื่อเกิดแล้ว ทั้งสองก็หิวซิ อีเมอร์ หันไปหันมาเจอกับเต้านมอันเต่งของวัว ก็ตรงเข้าดูดนมวัวเป็นการใหญ่ แต่วัวออดฮัมลาโชคร้าย หล่อนไม่มีอะไรจะกิน นอกจากน้ำแข็งข้างหน้า ก็เลยเลียน้ำแข็งกินไปพลางๆพลาง ๆ ปรากฏว่า น้ำลายอุ่นๆอุ่น ๆ ของวัวที่เลียน้ำแข็ง ก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งจากก้อนน้ำแข็งที่มันเลีย นั่นคือ เทพ '''บูรี''' ( Buri) พระเกษาของพระองค์ทรงงอกขึ้นมาก่อน จากนั้นก็เป็นเศียรและวรกาย เป็นชีวิตของชายอีกคนหนึ่ง เทพองค์นี้จะนับเป็นบรรพบุรุษของเทพทั้งหมดทีเดียว
 
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อีเมอร์ไม่สนใจนอกจากให้ตัวเองอิ่มไว้ก่อน นี่เป็นความต้องการแรกของมนุษย์ตั้งแต่เกิด อีเมอร์ใช้เวลาไม่นานนักก็กินนมวัวจนอิ่ม แต่ดูจะอิ่มมากไป มันจึงง่วงแล้วจึงก็ลงนอนบนพื้นน้ำแข็งแล้วหลับสนิทไปโดยพลัน ประกายไฟจากดาบของยักษ์เซิร์ทซูร์เตอร์ลอยละล่องมาตกข้างตัวเรื่อยๆเรื่อย ๆ สร้างความอบอุ่นให้เขาหลับนานขึ้นและเหงื่อออก แต่ว่าเหงื่อของยักษ์อีเมอร์ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้น
 
ตัวแรกที่เกิดจากหยาดเหงื่อของอีเมอร์ เป็นยักษ์หกหัวที่แสนจะน่าเกลียด '''ธรุดเกลเมอร์''' (Thrudgelmir) (ตนนี้เป็นบรรบุรุษของยักษ์น้ำค้างแข็งตัวอื่นๆอื่น ๆ ต่อไปอีก พวกนี้นับเป็นศัตรูตลอดกาลของพวกเทพ) ส่วนเหงื่อจากใต้[[รักแร้]]ข้างซ้ายกลายเป็นยักษ์ชาย และหญิงคู่หนึ่ง
แม้จะมีตนละหัวเดียว แต่ก็น่าเกลียดพอๆพอ ๆ กับเจ้าหกหัวตัวแรก ขนาดที่ไม่มีใครอยากจำชื่อด้วยซ้ำ
 
บูรี ต้นกำเนิดเผ่าพันธ์เทพ และ ธรุดเกลเมอร์ บรรพบุรุษยักษ์ คล้ายกับ อีเมอร์ เมื่อเกิดมาแล้ว ก็สามารถให้กำเนิดลูกได้เลย '''เบอร์เกลเมอร์''' (Bergelmir) เกิดจากยักษ์ ธรุดเกลเมอร์ ด้วยการกระโดดออกมาจากร่างของพ่อ ขณะเดียวกัน โอรสของ บุรี ก็กระโดดออกจากกายของพระองค์ มีนามว่า '''บอร์''' (Bor)
บอร์ สมรสกับ '''เบสล่า''' (Bestla)ยักษี ลูกสาวตนหนึ่งของอีเมอร์ ได้ผลพวงจากการสมรสเป็นเทพสำคัญสามองค์ '''[[โอดินดินน์]]''' (Odin) '''[[วิลี]]''' ( Vili) และ '''[[วี]]''' (Ve) เทพทั้งสามพระองค์นี่จะทรงเป็นต้นวงศ์ของเทพ '''อีเซอร์แอซีร์''' (Aesir) ผู้ครองสวรรค์
 
== กำเนิดสงครามเทพ-ยักษ์ ==
คราวนี้พอเห็นเทพเกิดขึ้นเท่านั้น เบอร์เกลเมอร์ ก็ชักจะตกใจกลัวเทพขึ้นมา ทั้งสองจึงช่วยกันรวบรวมพี่น้องๆพี่น้อง ๆ ที่เกิดขึ้นจาก อีเมอร์ ไว้เป็นกำลังฝ่ายตัว
ความกลัวเทพอาจเพราะคุณสมบัติที่ยักษ์ไม่มี เช่น ทั้งสามองค์แข็งแรงมาก แผลบาดเจ็บอะไรต่างๆต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็สามารถหายเองได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากพวกยักษ์ซึ่งมีจะมีมาก และมีเสริมขึ้นเรื่อยๆเรื่อย ๆ แต่ความแข็งแรงและแข็งแกร่งกลับสู้เทพทั้งสามไม่ได้เลย
 
สงครามระหว่างลูกๆลูก ๆ ของธรุดเกลเมอร์และโอรสของบอร์ เกิดขึ้นเป็นเวลานานนับพันๆพัน ๆ ปีในห้วงกินนันกาแก็บ โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด หรือฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ
 
ในที่สุด พวกเทพจึงทรงคิดจะต้องยุติ มิให้ อีเมอร์ สามารถให้กำเนิดอะไรต่อมิอะไรที่ไม่พึงปรารถนาอีก โดยทรงฆ่า อีเมอร์ เลือดของยักษ์ตนแรกไหลจากร่าง มากจนกลายเป็นแม่น้ำเลือดใหญ่ ท่วมในห้วงกินนันกาแก็บที่เหลือจนเต็ม ทายาทยักษ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตอนแรก ต่างจมน้ำในแม่น้ำเลือดนี้ตายหมด ยกเว้น เบอร์เกลเมอร์ สามารถหนีกับภรรยาของเขา ไปขึ้นฝั่งทางใต้ได้
 
== กำเนิดแผ่นดินและโลกต่างๆต่าง ๆ ==
เบอร์เกลเมอร์ ตั้งอาณาจักรของยักษ์ขึ้นใหม่ เรียกว่า '''โจตันเฮล์ม''' (Jotunheim) ลูกหลานของพวกเขาได้รับการสั่งสอนให้เกลียดแค้นเทพ
 
ส่วนเทพนั้นทรงคิดจะหาทางสร้างจักรวาลให้น่าอยู่เสียใหม่ ด้วยการใช้ประโยชน์จากร่างของอีเมอร์ พวกเทพทรงใช้ศพอันมหึมา ข้ามห้วงว่างกินนันกาแก็บ ส่วนต่างๆต่าง ๆ จากร่างศพให้กำเนิดสรรพสิ่งต่างๆต่าง ๆ ตามทางไปด้วย
== กำเนิดแผ่นดินและโลกต่างๆ ==
เบอร์เกลเมอร์ ตั้งอาณาจักรของยักษ์ขึ้นใหม่ เรียกว่า '''โจตันเฮล์ม'''(Jotunheim) ลูกหลานของพวกเขาได้รับการสั่งสอนให้เกลียดแค้นเทพ
 
เลือดของอีเมอร์ กลายเป็น มหาสมุทร กระดูก เป็น ภูเขา และ ฟันซึ่งแตกหัก กลายเป็น หน้าผาต่างๆต่าง ๆ
ส่วนเทพนั้นทรงคิดจะหาทางสร้างจักรวาลให้น่าอยู่เสียใหม่ ด้วยการใช้ประโยชน์จากร่างของอีเมอร์ พวกเทพทรงใช้ศพอันมหึมา ข้ามห้วงว่างกินนันกาแก็บ ส่วนต่างๆจากร่างศพให้กำเนิดสรรพสิ่งต่างๆตามทางไปด้วย
 
เลือดของอีเมอร์ กลายเป็น มหาสมุทร กระดูก เป็น ภูเขา และ ฟันซึ่งแตกหัก กลายเป็น หน้าผาต่างๆ
ผม กลายเป็น ต้นไม้ใบหญ้า หัวกะโหลกโค้งมโหฬาร เทพก็เอามาทำ โค้งสวรรค์
สมองของอีเมอร์ กลายเป็น เมฆลอยทั่วท้องฟ้า
ที่สำคัญที่สุด เนื้อของอีเมอร์ กลายเป็น แผ่นดินอันมั่นคงอยู่ตรงกลางมหาสมุทร
เรียกกันว่า '''[[มิดการ์ดการ์เดอร์เดอร์]]''' (Midgard) หรือ แผ่นดินที่อยู่ตรงกลาง
 
ซึ่งอันที่จริงก็จะอยู่ตรงกลางระหว่าง นิฟล์เฮม ดินแดนแห่งน้ำแข็ง ความเย็นและความเงียบนิรันดร์ และ มัสเปลส์เฮม อาณาจักรแห่งไฟ แผ่นดินที่ถูกแผดเผาด้วยดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และยังอยู่ตรงกลางของมหาสมุทร คือถูกมหาสมุทรล้อมรอบด้วย ยิ่งกว่านั้นมิดการ์ด เป็นแผ่นดินของมนุษย์ซึ่งพวกเทพทรงวางไว้เป็นเขตกั้นระหว่าง แอสการ์ด ของตนกับ โจตันเฮล์ม ของยักษ์
 
ซึ่งอันที่จริงก็จะอยู่ตรงกลางระหว่าง นิฟล์เฮมนิเวิลเฮย์เมอร์ ดินแดนแห่งน้ำแข็ง ความเย็นและความเงียบนิรันดร์ และ มัสเปลส์เฮม อาณาจักรแห่งไฟ แผ่นดินที่ถูกแผดเผาด้วยดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และยังอยู่ตรงกลางของมหาสมุทร คือถูกมหาสมุทรล้อมรอบด้วย ยิ่งกว่านั้นมิดการ์ดการ์เดอร์เดอร์ เป็นแผ่นดินของมนุษย์ซึ่งพวกเทพทรงวางไว้เป็นเขตกั้นระหว่าง แอสการ์ดอาสการ์เดอร์ ของตนกับ โจตันเฮล์ม ของยักษ์
 
== กำเนิดพระอาทิตย์-พระจันทร์ ==
เมื่อโลกเป็นที่เป็นทาง เทพทั้งหลายก็ทรงเห็นพ้องว่า แสงสว่างจะเป็นสิ่งที่จำเป็น พวกเขาจึงเดินทางไป มัสเปลส์เฮม เก็บเอาประกายไฟที่กระเด็นจากดาบเซิร์ทดวงซูร์เตอร์ดวงที่ไม่ดับ ขว้างไปบนท้องฟ้า เกิดเป็นดวงดาวพร่างพราวทั่วไปหมด และเกิดสองดวงสว่างสุดคือดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์
 
และสร้างราชรถสำหรับลากลูกไฟทั้งสองไปทั่วฟ้า คันที่ลากดวงอาทิตย์มีทั้งน้ำแข็งและโล่ สวาลิน ไว้ด้านหลังม้าและคนขับ ป้องกันความร้อนรุนแรง
มีม้าสองตัวลาก ชื่อ '''อาร์วาคร์''' (Arvakr) แปลว่า ขึ้นแต่เช้า กับ '''อัลสวิน''' (Alsvin) ซึ่งแปลว่า ฝีเท้าเร็ว ส่วนดวงจันทร์ ไม่ยุ่งยาก เพราะแสงไม่แรงเท่า ทั้งเล็กกว่า มีม้าลากเพียงตัวเดียวคือ '''อัลสไวเดอร์''' (Alsvider) แปลว่า เร็วเสมอ
 
ต่อไปนี้มีการแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
# โอดินดินน์ทรงมองหาจากบรรดาลูกหลานที่เหลืออยู่ ค่อนข้างนอกคอกหน่อยคือเป็นลูกผสมยักษ์-เทพชื่อ มานิ (Mani) และ โซล (Sol) ชื่อทั้งสองแปลว่า ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
# พี่น้องสองคนเป็นลูก '''มันดิลฟาริ''' (Mundilfari) มนุษย์จากมิดการ์ดการ์เดอร์เดอร์ พ่อของเขาหาญตั้งชื่อว่า อาทิตย์และจันทร์ ด้วยคิดว่าลูกตัวงดงามเหมือนทั้งสองดวง หาญเช่นนี้ โอดินโกรธมากดินน์โกรธมาก เลยพรากตัวสองพี่น้องมาทำหน้าที่สารถีขับรถพระอาทิตย์และรถพระจันทร์เสียจริง
 
ตำนานชาวนอร์สยังกล่าวถึงศัตรูตัวฉกาจของอาทิตย์และจันทร์ไว้ด้วยคือ พญาหมาป่าสองตัว '''สกอลล์สก็อลล์''' (Skoll) และ '''ฮาติตี''' (Hati) สองตัวนี่ปรารถนาอย่างเดียวมาแต่เกิดคือ อยากจะกินดาวทั้งสองให้สิ้นซาก แล้วก็สามารถทำได้จริงด้วยในช่วงแร็คนาร็อกแรกนะร็อก
 
== นรกภูมิ ==
แม้ว่าชาวนอร์สจะไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่อง[[นรก]]เลย แต่นรกของชาวนอร์สนั้นก็มีอยู่ เรียกว่า '''[[นิฟล์เฮมนิเวิลเฮย์เมอร์]]''' เป็นแผ่นดินของคนตาย อากาศหนาวเย็นมาก มีแต่แค่ [[ยักษ์]] กับ [[คนแคระ]] เท่านั้นที่อยู่ร่วมกับวิญญาณคนตายได้
นรกของชาวนอร์สเป็นอาณาจักรของ เทพี '''เฮล''' (Hel) (ที่มาของ Hell) พระองค์นี้เป็นเทพที่สำคัญต่อไปในภายหน้า
== กำเนิดคนแคระ-เอลฟ์ ==
[[ไฟล์:Freyr_art.jpg|thumb|200px|left|เทพเฟรย์เฟรอือร์ หนึ่งในสองเทพวาเนอร์แห่งแอสการ์ดเนอร์แห่งอาสการ์เดอร์ พร้อมกับหมูป่าขนทองอันเป็นของกำนัลจากคนแคระ]]
 
ระหว่างที่เทพทั้งสามช่วยกันสร้างโลก เนื้อส่วนหนึ่งของอีเมอร์นั้นก็เริ่มเน่า และได้ผลิตสิ่งมีชีวิตขึ้นพวกหนึ่ง
 
เทพทั้งหลายจึงสำรวจสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น แล้วจึงเปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากับอุปนิสัย พวกที่ทำท่าทางโลภ ชอบขู่คำรามและโค้งตัวคุ้ยเขี่ยพื้นดิน สามารถรอดชีวิตได้โดยที่พวกอื่นตาย เทพสร้างให้เป็น '''[[คนแคระ]]''' (Dwarf) ให้ไปอยู่ในอาณาเขต สวาทัล์ฟเฮม''' (Svartalfheim)''' ใต้พื้นผิวแผ่นดินมิดการ์ดการ์เดอร์เดอร์ ซึ่งพวกมันสามารถจะขุดดินหาแร่มีค่าและ[[อัญมณี]]มาเก็บไว้เป็นสมบัติ สิ่งที่ต้องระวังคืออย่าโผล่ขึ้นมายามกลางวัน เพราะแค่แดดอ่อนต้องผิว จะกลายเป็นหินทันที
 
ส่วนอีกพวกหนึ่งไม่มีความโลภ เป็นพวกที่มีจิตใจดี ได้รับเปลี่ยนให้สวยงาม ตัวเบาเหมือนอากาศ เรียกว่า '''[[เอลฟ์]]''' (Elf) ได้อาณาเขต '''อัล์ฟเฮม''' (Alfheim ดินแดนแห่งเอลฟ์ขาว หรือ เอลฟ์สว่าง) อยู่ระหว่างแอสการ์ดอาสการ์เดอร์ กับมิดการ์ดการ์เดอร์เดอร์ พวกนี้มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนแคระ ถิ่นที่อยู่พวกเขาปลอดภัย และสามารถมาเที่ยวเล่นโลกมนุษย์ได้โดยไม่มีอันตราย เหตุนี้จึงทำให้เหล่าคนแคระไม่ชอบเหล่าเอลฟ์
 
== กำเนิดมนุษย์ ==
ครั้งหนึ่ง เทพสามองค์ โอดินดินน์ '''โฮเนอร์''' (Hoenir) และ '''โลเดอร์''' (Lodur) ทรงกำลังเดินทางไปตามชายหาด บังเอิญพบต้นไม้สองต้นที่ลอยมาติดหาด ต้นหนึ่งคือ '''แอช''' (Ash) ต้นหนึ่งคือ '''เอล์ม''' (Elm)
 
โอดินดินน์ทรงหักเอากิ่งที่มีสาขาของไม้ทั้งสองขึ้นมา ทรงถากให้เข้ารูปเป็นตุ๊กตามนุษย์ผู้ชาย และมนุษย์ผู้หญิง โอดินดินน์ทรงประทานวิญญาณให้ โฮเดอร์ประทานความรู้สึก และโลเดอร์ประทานชีวิต และสีผิวที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ
จากนั้นกิ่งไม้ทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้น เป็นรูปร่างที่ใกล้เคียงเทพแต่มีขนาดเล็กกว่า เป็นมนุษย์คู่แรกของโลก ผู้ชายมาจากต้นแอชนามว่า '''อากสค์''' (Askr) ส่วนผู้หญิงนั้นมาจากต้นเอล์มชื่อ '''เอมบลา''' (Embla)
เทพทั้งหลายทรงได้ชี้ทิศให้ทั้งสองหาที่ทางตั้งที่อยู่กันในมิดการ์ดการ์เดอร์เดอร์
 
== ที่อยู่ของเทพ ==
เทพทั้งหลายนั้นทรงได้สร้าง '''แอสการ์ดอาสการ์เดอร์''' (Asgard) ขึ้น ตามชื่อ'''วงศ์แอเซียร์''' (Aesir) ของตน ที่นี่ไม่ต้องการสงคราม ไม่มีการสู้รบ สันติภาพคงอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่เทพอีเซอร์แอซีร์ปกครองโลก
 
ถึงกระนั้น ชาวอีเซอร์แอซีร์ก็ไม่ประมาท จึงสร้างโรงตีเหล็กเพื่อตีอาวุธยุทโธปกรณ์ และค่อยๆค่อย ๆ สร้างสรรค์ส่วนต่างๆต่าง ๆ ของแอสการ์ดอาสการ์เดอร์ให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆเรื่อย ๆ
 
แอสการ์ดอาสการ์เดอร์เชื่อมกับโลกมนุษย์ ด้วยสะพานรุ้งน้ำแข็งเรียก '''ไบฟรอส''' (Bifrost) สะพานนี้ก่อร่างขึ้นมาจากสายรุ้งที่กลายเป็นน้ำแข็ง มันทั้งกว้างและแข็งแรงพอชักรถศึกออกไปได้
 
== ต้นอึกก์ดราซิลล์ ==
 
[[ไฟล์:GodIgdrasil.jpg|thumb|250px|กลางแดนสวรรค์ มีไม้อยู่ต้นหนึ่ง ต้นอิกกราซิลอึกก์ดราซิลล์]]
== ต้นอิกกราซิล ==
กลางแดนสวรรค์ มีไม้อยู่ต้นหนึ่ง เป็นไม้แอช (Ash) ชื่อ อิกกราซิลอึกก์ดราซิลล์ (Igrasil หรือ Yggrasil) โอบรับโลกทั้งเก้า ไม่ว่า [[สวรรค์]] โลกมนุษย์ โลกยักษ์ โลกคนแคระ โลกเอลฟ์ ไว้กับกิ่งก้านสาขา และรากของมัน
[[ไฟล์:GodIgdrasil.jpg|thumb|250px|กลางแดนสวรรค์ มีไม้อยู่ต้นหนึ่ง ต้นอิกกราซิล]]
กลางแดนสวรรค์ มีไม้อยู่ต้นหนึ่ง เป็นไม้แอช (Ash) ชื่อ อิกกราซิล (Igrasil หรือ Yggrasil) โอบรับโลกทั้งเก้า ไม่ว่า [[สวรรค์]] โลกมนุษย์ โลกยักษ์ โลกคนแคระ โลกเอลฟ์ ไว้กับกิ่งก้านสาขา และรากของมัน
 
โลกมนุษย์อยู่ภายใต้ร่มเงากิ่งก้านสาขา ยอดไม้ระเมฆบนท้องฟ้า ความแข็งแกร่งของไม้ทำให้โลกทั้งหมดตั้งอยู่อย่างมั่นคง
 
อิกกราซิลอึกก์ดราซิลล์ มีรากใหญ่ 3 รากหยั่งลึกลงไป รากหนึ่งไปถึงโจตันเฮล์ม แผ่นดินของยักษ์ รากหนึ่งไปถึงนิล์ฟเฮมนิเวิลเฮย์เมอร์แผ่นดินน้ำแข็ง และรากอันหนึ่งไปถึงแอสการ์ดอาสการ์เดอร์แผ่นดินของชาวสวรรค์ รากทั้งสามทำให้ อิกกราซิลอึกก์ดราซิลล์ สัมพันธ์กับโลกทั้งสาม คือยักษ์ เทพ และมนุษย์ และได้ดูดเอาน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งไว้หล่อเลี้ยงต้น
 
รากที่อยู่กับ แอสการ์ดอาสการ์เดอร์ ไปโผล่ขึ้นบริเวณ'''น้ำพุเอิด''' น้ำพุแห่งเยาวภาพ (Fountain of Youth) เป็นน้ำพุที่ชาวสวรรค์ใช้ดื่มกินเพื่อให้มีความเยาว์วัยอยู่เสมอ เทพีที่คอยรักษาแหล่งน้ำ และทรงมีหน้าที่ตักน้ำให้ชาวสวรรค์วันละครั้งคือ '''พวกนอร์น''' (the Norns) สามพี่น้อง
นามว่า '''เอิด''' (Urd อดีต) '''เวอร์ดานดิ''' (Verdandi ปัจจุบัน) และ '''สกัลด์''' (Skuld อนาคต)
จะเรียกรวมกันว่าเป็นเทพีแห่งชะตามนุษย์ก็ไม่ผิด เหตุนี้อิกดราซิลอึกก์ดราซิลล์จึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า '''ต้นไม้แห่งชะตาลิขิต''' (tree of destiny) ด้วย
 
รากต่อมาแผ่ไปถึง นิฟล์เฮมนิเวิลเฮย์เมอร์ แผ่นดินแห่งน้ำแข็งได้น้ำจากน้ำพุ '''ฮเวอร์เกลเมอร์ฮคเวร์เก็ลมีร์''' (Hvergelmir) ซึ่งมีน้ำตกหลั่นเป็นชั้น แผ่สาขาออกไปเป็นแม่น้ำสายใหญ่ๆใหญ่ ๆ ของโลก ส่วนรากที่สาม แผ่ไปถึงแผ่นดินของพวกยักษ์ ได้น้ำจากน้ำพุ '''ไมเมอร์มีมีร์''' (Mimir)
เป็นน้ำวิเศษแห่งความรอบรู้ พวกยักษ์จึงต้องจัดเปลี่ยนเวรยามเฝ้าไม่ยอมให้ใครตักดื่มได้โดยง่าย
 
อิกกราซิลอึกก์ดราซิลล์ เขียวสดตลอดทั้งปีและตลอดไป แม้ว่าใบของมันจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ต่างๆต่าง ๆ ไปบ้าง บนต้นยังมีสัตว์อีกหลายชนิดอาศัยอยู่ เช่น
บนยอดไม้สูงสุดมีไก่ตัวผู้สีทองตัวหนึ่งคอยตรวจตราขอบฟ้า มีหน้าที่ขันเตือนเทพหากศัตรูตลอดกาลเตรียมยาตราทัพมา
[[นกอินทรี]]อีกตัวหนึ่งจะคอยเกาะกิ่งไม้มองสำรวจเช่นเดียวกับไก่ นกตัวนี้มีผู้ช่วยก็คือนกเหยี่ยวซึ่งเกาะอยู่ระหว่างตาของมัน
 
ตรงรากไม้มี พญางู '''นิดฮอกนีดฮ็อกเกอร์''' (Nidhoggr) ขดล้อมอยู่ กระรอกชื่อ '''ราตาโทสค์''' (Ratatosk) ไม่เคยหยุดวิ่งขึ้นวิ่งลง ระหว่างตรงที่อินทรีเกาะกับรากบน นิล์ฟเฮมนิเวิลเฮย์เมอร์ คอยตรวจตราไม่ให้พญางูกัดกินรากต้นไม้มากเกินไปยามที่เบื่อจะแทะศพมนุษย์แล้ว
 
รวมความแล้ว อิกดราซิล เป็นไม้สารพัดประโยชน์ แม้กระทั่งเทพโอดินเอง ก็เคยทรงแขวนคออยู่บนต้นไม้นานถึง 9 คืน เพื่อล่วงรู้ความลับแห่งความตาย และนำมาซึ่งการสร้าง[[อักษรรูน]]
เล่ากันว่าเทพโอดินก็ได้ทรงตายไปเหมือนกัน แต่เนื่องด้วยได้ดื่มน้ำพุไมเมอร์แล้ว ทำให้ฟื้นได้
(การแขวนคอเช่นนี้ กลายเป็นประเพณีภายหลัง มีการพบศพอยู่ในปลักตมที่จัตแลนด์
เรียกว่า ศพมนุษย์โทลลัน ลักษณะถูกแขวนคอตาย ทำให้คิดถึงการบูชายัญพลีแก่โอดินเมื่อฝ่ายตรงข้ามชนะศึก)
 
รวมความแล้ว อิกดราซิลอึกก์ดราซิลล์ เป็นไม้สารพัดประโยชน์ แม้กระทั่งเทพโอดินเองดินน์เอง ก็เคยทรงแขวนคออยู่บนต้นไม้นานถึง 9 คืน เพื่อล่วงรู้ความลับแห่งความตาย และนำมาซึ่งการสร้าง[[อักษรรูน]]
เล่ากันว่าเทพโอดินดินน์ก็ได้ทรงตายไปเหมือนกัน แต่เนื่องด้วยได้ดื่มน้ำพุไมเมอร์แล้วมีมีร์แล้ว ทำให้ฟื้นได้
(การแขวนคอเช่นนี้ กลายเป็นประเพณีภายหลัง มีการพบศพอยู่ในปลักตมที่จัตแลนด์
เรียกว่า ศพมนุษย์โทลลัน ลักษณะถูกแขวนคอตาย ทำให้คิดถึงการบูชายัญพลีแก่โอดินดินน์เมื่อฝ่ายตรงข้ามชนะศึก)
 
== ดูเพิ่ม ==