ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปฏิบัติการวัลคือเรอ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 3:
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 146-1969-168-07, Friedrich Fromm.jpg|200px|thumb|พลเอกอาวุโส [[ฟรีดริช ฟรอมม์]] ผู้บัญชาการกองทัพสำรอง บุคคลเดียวนอกจากฮิตเลอร์ที่มีอำนาจสั่งใช้แผนปฏิบัติการวัลคือเรอ]]
 
'''ปฏิบัติการ[[วัลคือเรอ]]''' ({{lang-de|''Unternehmen Walküre''}}) เป็นแผนปฏิบัติการ[[รักษาความต่อเนื่องของรัฐบาล]]ในวาระฉุกเฉิน ปฏิบัติการนี้ถูกคิดขึ้นโดย[[กองทัพสำรอง]] ({{lang|de|''Ersatzheer''}}) มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศกรณีที่ระบบรัฐบาลฮิตเลอร์เกิดภาวะสุญญากาศ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการทิ้งระเบิดของ[[ฝ่ายสัมพันธมิตร]] หรือการลุกฮือขึ้นก่อจลาจลของผู้ใช้แรงงานนับล้านคนในประเทศที่ถูกเยอรมันยึดครอง
 
ฮิตเลอร์อนุมัติแผนวัลคือเรอฉบับแรกที่ถูกร่างขึ้นโดยพลเอก[[ฟรีดริช อ็อลบริชท์]] รองผู้บัญชาการกองทัพสำรอง ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 หลังหายนะที่[[แนบรบแนวรบด้านตะวันออก]] แต่ต่อมา พลเอกอ็อลบริชท์, พลตรี[[เฮ็นนิง ฟ็อน เทร็สโค]] และพันเอก[[เคลาส์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์ค]] ได้ปรับปรุงดัดแปลงแผนดังกล่าวเสียใหม่เพื่อใช้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจควบคุมกรุงเบอร์ลิน ปลดอาวุธหน่วยเอ็สเอ็ส และจับกุมคณะผู้นำรัฐบาลนาซี โดยตั้งเป้าว่าจะใช้แผนวัลคือเรอฉบับใหม่นี้หลังจากที่ฮิตเลอร์ถูกลอบสังหารที่รังหมาป่า แผนนี้จะสำเร็จได้บนเงื่อนไขที่ว่าฮิตเลอร์ต้องตายเท่านั้น เพราะความตายของฮิตเลอร์ (มิใช่เพียงถูกจับกุม) ถือเป็นการปลดเปลื้องทหารเยอรมันจากคำปฏิญาณตนจงรักภักดีต่อฮิตเลอร์อย่างไร้เงื่อนไข และหันมาภักดีต่อคณะรัฐประหารแทน แผนการดังกล่าวถูกสั่งปฏิบัติในช่วง[[แผนลับ 20 กรกฎาคม|บ่ายของวันที่ 20 กรกฎาคม]] ค.ศ. 1944 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
 
== แผนการ ==
[[ไฟล์:Claus von Stauffenberg (1907-1944).jpg|200px|thumb|พันเอก[[เคลาส์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์ค]] ผู้นำหลักในการรัฐประหาร]]
แผนการดั้งเดิมได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินภายในประเทศ โดยกองเสนาธิการของพลเอกฟรีดริช อ็อลบริชท์<ref name="Ref-1">Joachim Fest, ''Plotting Hitler's Death: The German Resistance to Hitler, 1933–1945'', 1996, p219</ref> และได้รับการรับรองเห็นชอบจากฮิตเลอร์เอง อันที่จริง แนวคิดในการวางแผนดึงเอากองกำลังสำรองของกองทัพบกเยอรมันในแนวหลัง (ในดินแดนเยอรมันเองหลังแนวรบ) มาใช้ในการก่อ[[รัฐประหาร]]เคยมีการถูกหยิบยกขึ้นพิจารณากันมาขบคิดก่อนหน้านี้แล้ว แต่การปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการก่อรัฐประหารของถูกพลเอกอาวุโส [[ฟรีดริช ฟรอมม์]] ผู้บังคับบัญชากองกำลังสำรองอันเป็นนายทหารคนเดียวปฏิเสธที่จะสามารถออกคำสั่งเริ่มปฏิบัติการวัลคือเรอได้ ถือเป็นอุปสรรคต่อคณะรัฐประหารอย่างร้ายแรง แต่กระนั้น หลังจากบทเรียนที่ได้รับมาหลังจาก[[:en:Operation Spark (1940)|ความพยายามลอบสังหารฮิตเลอร์]] ในวันที่ [[13 มีนาคม]] [[ค.ศ. 1943]] แล้ว พลเอกอ็อลบริชท์รู้สึกว่าแผนการก่อรัฐประหารดั้งเดิมนั้นไม่เพียงพอ และจะต้องมีการดึงเอากองกำลังสำรองมาใช้ในการก่อรัฐประหารด้วยให้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือจากพลเอกอาวุโสฟรอมม์ก็ตาม
 
การที่พลเอกเอกอาวุโสฟรีดริช ฟรอมม์ ผู้บัญชาการกองทัพสำรอง เป็นนายทหารคนเดียวที่สามารถออกคำสั่งเริ่มปฏิบัติการวัลคือเรอ ถือเป็นอุปสรรคต่อคณะรัฐประหารอย่างร้ายแรง แต่กระนั้น หลังจากบทเรียนที่ได้รับมาหลังจาก[[:en:Operation Spark (1940)|ความพยายามลอบสังหารฮิตเลอร์]] ในวันที่13 มีนาคม ค.ศ. 1943 แล้ว พลเอกอ็อลบริชท์รู้สึกว่าแผนการก่อรัฐประหารฉบับเดิมนั้นไม่ดีพอ และจะต้องมีการดึงเอากองทัพสำรองมาใช้ในการก่อรัฐประหารด้วยให้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือจากพลเอกอาวุโสฟรอมม์ก็ตาม
แผนการวัลคือเรอดั้งเดิมมีเจตนาเพียงที่จะจัดยุทธศาสตร์เพื่อเตรียมความพรั่งพร้อมและความพร้อมรบของกองกำลังสำรองที่มีหน่วยในสังกัดต่างๆ กระจายกันอยู่เท่านั้น แต่พลเอกอ็อลบริชท์ได้ดัดแปลงโดยการเพิ่มเติมส่วนที่สองของแผนการดังกล่าวเข้าไป ซึ่งทำให้กลายเป็นการเรียกระดมหน่วยต่างๆ ในกองกำลังสำรองให้มาประกอบกำลังกันโดยเร่งด่วน เพื่อจัดตั้งเป็นกองทัพที่พร้อมสามารถปฏิบัติการรบได้ทันที ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 พันเอกเทร็สโคพบว่า การดัดแปลงแก้ไขของพลเอกอ็อลบริชท์ก็ยังคงไม่เพียงพอ จึงได้ขยายแผนการวัลคือเรอออกไปอีก และร่างคำสั่งเพิ่มเติม โดยกำหนดให้มีการออกประกาศลับที่ขึ้นต้นด้วยด้วยประโยคลวง ที่ว่า:
 
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 146-1976-130-53, Henning v. Tresckow.jpg|200px|thumb|พลตรี[[เฮ็นนิง ฟ็อน เทร็สโค]]]]
แผนการแผนวัลคือเรอดั้งเดิมฉบับเดิมมีเจตนาเพียงที่จะจัดยุทธศาสตร์เพื่อเตรียมความพรั่งพร้อมและความพร้อมรบของกองกำลังกองทัพสำรองที่มีหน่วยทหารในสังกัดต่างๆ กระจายกันอยู่เท่านั้น แต่พลเอกอ็อลบริชท์ได้ดัดแปลงโดยการเพิ่มเติมส่วนที่สองของแผนการดังกล่าวเข้าไป ซึ่งทำให้กลายเป็นการเรียกระดมหน่วยต่างๆ ในกองกำลังสังกัดกองทัพสำรองให้มาประกอบระดมกำลังกันโดยเร่งด่วน เพื่อจัดตั้งเป็นกองทัพกองทหารขนาดใหญ่ที่พร้อมสามารถปฏิบัติการรบได้ทันที ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 พันเอกเทร็สโคพบว่า การดัดแปลงแก้ไขของพลเอกอ็อลบริชท์ก็ยังคงดีไม่เพียงพอพอ จึงได้ขยายแผนการเพิ่มเติมวัลคือเรอออกไปอีก และโดยร่างคำสั่งเพิ่มเติม โดยกำหนดให้มีการออกประกาศลับที่ขึ้นต้นด้วยด้วยประโยคลวง ที่ว่า:
 
{{quotation|
เส้น 38 ⟶ 41:
}}
 
คำสั่งอย่างละเอียดได้ถูกร่างขึ้น เพื่อเตรียมใช้สำหรับการเข้ายึดครองยึดที่ทำการกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาลทั้งหลายใน[[เบอร์ลิน|กรุงเบอร์ลิน]], กองบัญชาการใหญ่ของฮิมม์เลอร์ใน[[ปรัสเซียตะวันออก]], สถานีวิทยุและสถานีโทรศัพท์ และกลไกสายบังคับบัญชาของระบอบนาซีในมณฑลทหารบกต่างๆ และตลอดจน[[ค่ายกักกัน]]<ref name="Ref-1"/> (ก่อนหน้านี้ เป็นที่เชื่อกันว่าพันเอก[[เคลาส์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์ค]]เอกชเตาเฟินแบร์คเป็นผู้รับผิดชอบต่อแผนการในแผนวัลคือเรอ แต่ในเอกสารที่ถูกค้นพบหลังจากสงครามยุติโดยสหภาพโซเวียต ซึ่งเผยแพร่ในปี ค.ศ. 2007 ได้ชี้ว่า แผนการแผนดังกล่าวได้รับการถูกพัฒนาขึ้นโดยพันเอกเทร็สโค เทร็สโคในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 1943<ref> [http://www.atypon-link.com/OLD/doi/pdf/10.1524/VfZg.2007.55.2.331 Peter Hoffmann, "Oberst i. G. Henning von Tresckow und die Staatsstreichpläne im Jahr 1943]</ref>) ข้อมูลทั้งหมดถูกเขียนขึ้นและเก็บรักษาไว้โดยภรรยาและเลขานุการของพันเอกเทรสอคว์เทร็สโค ซึ่งทั้งสองคนใส่ถุงมือเพื่อปิดบังรอยนิ้วมือเอาไว้ตลอดเวลา<ref>Joachim Fest, ''Plotting Hitler's Death: The German Resistance to Hitler, 1933–1945'', 1996, p220</ref>
 
ใจความหลักของแผนการดังกล่าว คือการหลอกให้กองกำลังกองทัพสำรองเข้ายึดอำนาจในกรุงเบอร์ลินและล้มล้างรัฐบาลฮิตเลอร์ โดยให้ข้อมูลเท็จว่า หน่วยเอ็สเอ็สพยายามจะก่อการรัฐประหารและได้ลอบสังหารฮิตเลอร์แล้ว ปัจจัยที่สำคัญคือ นายทหารระดับล่าง (ผู้ซึ่งแผนการนี้ถือว่าจะเป็นผู้นำแผนการไปปฏิบัติ) จะถูกลวงและกระตุ้นให้กระทำการดังกล่าว จากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า กลุ่มผู้นำรัฐบาลนาซีไม่มีความจงรักภักดีและทรยศต่อรัฐไรช์ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องล้มล้างลงเสีย เหล่าผู้สมคบคิดในแผนการนี้ตั้งความหวังไว้กับการที่เหล่าทหารที่ได้รับคำสั่งจะยอมทำตามคำสั่ง (หลอก) ของพวกเขาด้วยดี หากคำสั่งดังกล่าวมาจากช่องทางการสั่งการและบังคับบัญชาที่ถูกต้อง กล่าวคือ ผ่านทางกองบัญชาการกองกำลังกองทัพสำรองมา โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินหลังจากฮิตเลอร์ถูกสังหารแล้ว
 
หากฮิตเลอร์ตายแล้ว จะมีเพียงพลเอกอาวุโสฟรีดริช ฟรอมม์ ผู้บัญชาการกองกำลังกองทัพสำรอง เท่านั้น ที่จะออกคำสั่งให้ดำเนินใช้ปฏิบัติการวัลคือเรอได้ ดังนั้นเขาจะต้องถูกดึงตัวเข้าร่วมกับคณะรัฐประหารหรืออย่างน้อยให้ดำรงตนเป็นกลางด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ถ้าต้องการให้แผนการดังกล่าวประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ เช่นเดียวกับนายทหารระดับสูงของเยอรมนีส่วนใหญ่ ตัวพลเอกอาวุโสฟรอมม์เองก็ทราบอย่างกว้างๆ ถึงแผนการคร่าวๆว่ามีแผนสมคบคิดในกลุ่มทหารเพื่อต่อต้านฮิตเลอร์ (นายทหารระดับสูงของเยอรมันส่วนใหญ่ก็ทราบเช่นกัน) แต่เขาก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนแผนดังกล่าว ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รายงานเรื่องนี้ต่อ[[เกสตาโพ]]แต่อย่างใดด้วย
 
== การลงมือปฏิบัติ ==
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 146-1984-079-02, Führerhauptquartier, Stauffenberg, Hitler, Keitel.jpg|200px|thumb|พันเอก ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์ค (ซ้ายสุด) และฮิตเลอร์ที่รังหมาป่า ก่อนเริ่มปฏิวัติการวัลคือเรอ]]
บุคคลหลักของแผนการ คือ พันเอก[[เคลาส์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์ค]] ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการจริงหลังจากการลอบสังหารฮิตเลอร์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 พันเอกชเตาเฟินแบร์คยังได้ปรับปรุงแผนการวัลคือเรอเพิ่มเติม ตำแหน่งหัวหน้ากองเสนาธิการของกองกำลังกองทัพสำรองทำให้เขาสามารถเข้าถึงตัวฮิตเลอร์ในการรายงานต่าง ๆ ได้ ในตอนแรก พันเอกเทร็สโคและพันเอกชเตาเฟินแบร์คได้พยายามเสาะหานายทหารคนอื่นๆ ที่สามารถเข้าถึงตัวฮิตเลอร์และสามารถลงมือลอบสังหารเขาได้ ซึ่งพลเอก[[:en:Helmuth Stieff|เฮลมูท ชตีฟ]] ผู้บัญชาการฝ่ายอำนวยการจัดกำลังโครงสร้างบุคลากรของ[[กองบัญชาการทหารสูงสุดใหญ่กองทัพบกเยอรมัน]] ก็ได้อาสาที่จะเป็นมือสังหารฮิตเลอร์ แต่ได้ถอนตัวออกไปในภายหลัง เทร็สโคพยายามหลายครั้งที่จะได้รับบรรจุในการขอโอนย้ายตัวเองไปอยู่ในกองบัญชาการใหญ่ของฮิตเลอร์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุด พันเอกชเตาเฟินแบร์คจึงตัดสินใจที่จะลงมือเองในการปฏิบัติการลอบสังหารฮิตเลอร์และปฏิบัติการวัลคือเรอไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นการลดโอกาสที่จะสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังจากความพยายามสองครั้งไม่ประสบผล ชเตาเฟินแบร์คจึงแอบลอบวางระเบิดไว้ในห้องประชุมในกองบัญชาการสนาม "รังหมาป่า" ของฮิตเลอร์ (มณฑลปรัสเซียตะวันออก) ในวันที่ 20 กรกฎาคม เพื่อสังหารฮิตเลอร์ ส่วนตนเองก็รีบออกจาก "รังหมาป่า" บินกลับมาดำเนินการตามแผนการต่อในกรุงเบอร์ลิน อย่างไรก็ดี ฮิตเลอร์รอดชีวิตมาจากการลอบวางระเบิดดังกล่าวมาได้
 
หลังจากที่พลเอกอาวุโสฟรอมม์รับรู้ได้รับยืนยันว่าฮิตเลอร์ไม่ได้ถูกสังหารโดยการลอบวางระเบิด เขาจึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิตพลเอกอ็อลบริชท์ พันเอกอัลบรีชต์ ริทเทอร์ เมอร์ทซ์ ฟ็อน เควอร์นไฮม์ (หัวหน้านายทหารเสนาธิการของพลเอกอ็อลบริชท์) พันเอกชเตาเฟินแบร์ค และร้อยโทเวอร์เนอร์[[แวร์เนอร์ ฟ็อน เฮฟเทนเฮ็ฟเทิน]] (นายทหารคนสนิทของพันเอกชเตาเฟินแบร์คผู้ช่วยชเตาเฟินแบร์ค) ผู้ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งหมดถูกนำตัวไปยิงทิ้งประหารภายในลานของกองบัญชาการใหญ่[[:en:Bendlerblock|เบนด์เลอร์บล็อก]]<ref>Rupert Butler, The Gestapo: A History of Hitler's Secret Police 1933-45. London: Amber Books Ltd. 2004. pg. 149.</ref> ไม่นานหลังจากเที่ยงคืน วันที่ 21 กรกฎาคม 1944
 
อย่างไรก็ตาม หลังการสั่งประหารผู้สมคบก่อการในปฏิบัติการวัลคือเรอแล้ว ต่อมา ตัวพลเอกอาวุโสฟรอมม์เองก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากชะตากรรมเดียวกันได้ เขาถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคนาซี กล่าวหาว่า จงใจเร่งสั่งประหารชีวิตผู้ร่วมก่อการพยายามรัฐประหารดังกล่าว (แทนที่จะเก็บตัวไว้ก่อนเพื่อไต่สวนต่อไป) เพื่อปิดปากมิให้มีการให้การพาดพิงมาถึงตัวพลเอกอาวุโสฟรอมม์เองว่าเคยมีส่วนรู้เห็นในแผนการดังกล่าวด้วย พลเอกอาวุโสฟรอมม์ถูกสอบสวน ถูกถอดยศ และถูกประหารชีวิตในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1945 ที่บรันเดินบวร์ค จากความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดร้ายแรงและล้มเหลวในการรายงานผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับความพยายามก่อรัฐประหาร แม้ทางการนาซีเยอรมันจะไม่สามารถหาหลักฐานที่ชัดเจนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับปฏิบัติการวัลคือเรอก็ตาม