ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มหาสติปัฏฐานสูตร"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 128:
# ใน[[อรรถกถา]]-[[ฏีกา]]ท่านแนะไว้ใน [[สัจจบรรพะวรรณนา]] ของ[[ทีฆนิกาย]]ว่า ไม่ควรกำหนด 4 บรรพะดังต่อไปนี้ก่อน คือ อิริยาบถบรรพะ สัมปชัญญบรรพะ นิวรณบรรพะ และโพชฌังคบรรพะ
เพราะอิริยาบถทั้งน้อยและใหญ่ไม่ใช่สัมมสนรูป จึงไม่ใช่อารมณ์ของวิปัสสนา, นิวรณ์เป็นปหาตัพพธรรม ควรข่มให้ได้ก่อน ไม่ใช่มัวแต่สัมมสนะ แล้วปล่อยให้นิวรณ์เกิด, ส่วนโพชฌงค์ในที่นี้ท่านหมายถึงโลกิยโพชฌงค์ ซึ่งถ้าหากกำหนดให้เบื่อหน่ายแล้วก็จะไม่คิดเจริญต่อ ฉะนั้นจึงไม่ควรกำหนดตั้งแต่แรก.
# ใน[[อรรถกถา]]ท่านกล่าวว่า [[สติปัฏฐาน]] เป็นวินัยทั้ง 2 คือ ทั้ง[[ตทังควินัย]]และ[[วิกขัมภนวินัย]] กล่าวคือ เป็นได้ทั้ง[[ขณิกสมาธิ]]และ[[อัปปนาสมาธิ]] ซึ่งอีกที่หนึ่งก็กล่าวให้บางบรรพะเป็น[[สมถะ]]และบางบรรพะเป็น [[วิปัสสนา]] จึงสรุปความได้ว่า [[สติปัฏฐาน]]เป็นได้ทั้ง[[สมถะ]]และ[[วิปัสสนา]] อย่าง [[อิริยาบถบรรพะ]]เป็นต้นท่านก็ว่าเป็น[[วิปัสสนา]] ส่วนการจะทำฌานให้เป็นสติปัฏฐานได้นั้นก็ต้องทำเพื่อ
# หลักการวิปัสสนาที่อรรถกถาขยายความสติปัฏฐานในแต่ละบรรพะคือหลัก[[ปริญญา 3]] ที่มาใน พระ[[ไตรปิฎก เล่ม 29]] คัมภีร์[[มหานิทเทส]] และ[[ปฏิสัมภิทามรรค]]ของพระ[[สารีบุตร]] รวมถึง[[เนตติปกรณ์]]ทั้งสิ้น พระพุทธโฆสาจารย์ไม่ใช่การแต่งขึ้นเองแต่อย่างใด.
# บทว่า '''สมุทยธมฺมานุปสฺสี, วยธมฺมานุปสฺสี, สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี ''' ที่มีอยู่ในทุกบรรพะ ใน[[อรรถกถา]]และฏีกาท่านให้แปลว่า ผู้หมั่นเห็นเหตุของความเกิดขึ้น, ผู้หมั่นเหตุแห่งความหมดไป, ผู้หมั่นเหตุแห่งความเกิดขึ้นและความหมดไป ตามลำดับ. เพราะคำว่า ธรรม หมายถึงเหตุเกิดขึ้นหรือเหตุดับของขันธ์ 5 อย่าง ที่มาใน''[[ปฏิสัมภิทามรรค]] [[อุทยัพพยญาณนิทเทส]] และ[[วิสุทธิมรรค]] [[อุทยัพพยญาณกถา]]'' ได้แก่ การเกิดขึ้นและการดับของธรรมะ 2 อย่าง คือ ปัจจัย 6 อย่าง ได้แก่ [[อวิชชา]] [[ตัณหา]] [[กรรม]] [[อาหาร]] [[ผัสสะ]] [[นามรูป]] และนิพพัตติลักษณะ คือ อุปาทขณะของ[[สภาวะธรรม]]นั้น ๆ หรือ '''[[วิปริณามลักษณะ]]''' คือ ''[[ภังคขณะ]]''ของสภาวะธรรมนั้น ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง หากแปลว่า ธรรมคือความเกิด เป็นต้น จะหมายถึง '''[[นิพพัตติลักษณะ]]'''หรือ'''[[วิปริณามลักษณะ]]'''เท่านั้น ส่วนธรรมอีก 4 อย่างที่เป็น[[ปัจจัย]]จะคลุมไม่ถึง จึงเป้นคำแปลที่ขัดกับปฏิสัมภิทามรรค, อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร, ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร.
|