ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ตำนานแทงข้างหลัง"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
Anonimeco (คุย | ส่วนร่วม)
โยงไปหน้าที่มี
บรรทัด 16:
พวกอนุรักษนิยม ชาตินิยมและอดีตผู้นำทางทหารเริ่มพูดวิจารณ์เกี่ยวกับสันติภาพกับนักการเมืองไวมาร์ พวกสังคมนิยม พวก[[คอมมิวนิสต์]] [[ยิว]] และบางครั้งรวมถึงคาทอลิก ซึ่งถูกมองว่ามีพิรุธเกี่ยวกับการทึกทักเอาเองว่าตนมีความจงรักภักดีต่อชาติเป็นพิเศษ มีการอ้างว่าพวกเขาไม่ได้สนับสนุนสงครามและมีส่วนขายชาติเยอรมนีให้ข้าศึก อาชญากรพฤศจิกายนเหล่านี้ หรือผู้ที่ราวกับได้ประโยชน์จากสาธารณรัฐไวมาร์ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ ถูกมองว่า "แทงพวกเขาจากข้างหลัง" ที่แนวหน้า ไม่ว่าจะโดยการวิจารณ์ชาตินิยมเยอรมัน ยุยงความไม่สงบและการนัดหยุดงานในอุตสาหกรรมทหารที่สำคัญหรือการค้ากำไรเกินควร ที่สำคัญ การกล่าวหามีว่า คนเหล่านี้กบฏต่ออุดมการณ์ร่วมที่ "กุศลและชอบธรรม" ทฤษฎีเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อเยอรมนียอมจำนนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 กองทัพเยอรมันยังอยู่ในดินแดนฝรั่งเศสและเบลเยียม เบอร์ลินยังอยู่ห่างจากแนวรบที่ใกล้ที่สุด 450 ไมล์ และกองทัพเยอรมันถอนตัวจากสมรภูมิอย่างเป็นระเบียบดีอยู่
 
กองทัพสัมพันธมิตรได้รับเสบียงจากสหรัฐอเมริกาอย่างพอเพียง ซึ่งยังมีกองทัพใหม่ที่พร้อมทำการรบ แต่สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสนั้นกรำศึกเกินกว่าจะพิจารณาการรุกรานเยอรมนีโดยมีผลกระทบตามมาที่ไม่ทราบ บนแนวรบด้านตะวันตก ไม่มีกองทัพสัมพันธมิตรทัพใดเจาะผ่านพรมแดนเยอรมนีด้านตะวันตก และบนแนวรบด้านตะวันออก เยอรมนีชนะสงครามต่อรัสเซียแล้ว ซึ่งยุติลงด้วย[[สนธิสัญญาเบรสต์เบรสท์-ลีตอฟสก์]] ทางตะวันตก เยอรมนีเกือบชนะสงครามด้วยการรุกฤดูใบไม้ผลิ ความล้มเหลวของการรุกถูกประณามว่าเป็นเพราะการนัดหยุดงานในอุตสาหกรรมอาวุธในช่วงเวลาวิกฤตของการรุก อันเป็นที่มาของตำนานแทงข้างหลัง ทิ้งให้ทหารขาดเสบียงยุทธภัณฑ์ที่เพียงพอ การนัดหยุดงานดังกล่าวถูกมองว่าถูกยุยงจากกลุ่มทรยศ การนัดหยุดงานดังกล่าวมองข้ามฐานะทางยุทธศาสตร์ของเยอรมนีและละเลยว่า ความพยายามของปัจเจกบุคคลที่ถูกลดความสำคัญทางใดทางหนึ่งบนแนวรบอย่างไร เพราะคู่สงครามกำลังสู้รบกับอยู่ในสงครามรูปแบบใหม่ การปรับให้สงครามเป็นอุตสาหกรรมได้ลดลักษณะความเป็นมนุษย์ของกระบวนการ และทำให้ความพ่ายแพ้รูปแบบใหม่เป็นไปได้ ซึ่งชาวเยอรมันประสบ เมื่อ[[สงครามเบ็ดเสร็จ]]กำเนิดขึ้น
 
สภาพทางยุทธศาสตร์ของเยอรมนีที่อ่อนแอถูกทำให้ทรุดหนักลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วของประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลางอื่น ๆ ในปลาย ค.ศ. 1918 หลังจากชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรบนแนวรบมาเซโดเนียและอิตาลี บัลแกเรียเป็นประเทศแรกที่ลงนามการสงบศึกเมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1918<ref name = "indiana.edu-1918">{{cite web|url=http://www.indiana.edu/~league/1918.htm|title=1918 Timeline}}</ref> วันที่ 30 ตุลาคม จักรวรรดิออตโตมันยอมจำนนที่มูดรอส<ref name = "indiana.edu-1918"/> วันที่ 3 พฤศจิกายน ออสเตรีย-ฮังการีส่งธงสงบศึกเพื่อขอการสงบศึก เงื่อนไข ซึ่งจัดเตรียมโดยโทรเลขกับทางการสัมพันธมิตรในกรุงปารีส ถูกสื่อสารไปยังผู้บัญชาการออสเตรียและมีการตอบรับ การสงบศึกกับออสเครียออสเตรีย-ฮังการคีฮังการีมีการลงนามในวิลลาจิอุสติ ใกล้กับปาดัว ในวันเดียวกันนั้น ออสเตรียและฮังการีลงนามการสงบศึกแยกกันหลังการล้มล้างราชวงศ์ฮับส์บูร์กฮาพส์บวร์ค
 
อย่างไรก็ดี แนวคิดของการทรยศจากในประเทศได้ตรงใจบรรดาผู้ฟัง และการอ้างจะให้พื้นฐานการสนับสนุนของสาธารณะบางส่วนแก่พรรคชาติสังคมนิยมที่กำลังกำเนิดขึ้น ภายใต้ชาตินิยมรูปแบบอัตตาธิปไตย ความรู้สึกเกลียดชังยิวทวีความรุนแรงขึ้นโดย สาธารณรัฐโซเวียตบาวาเรีย รัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่ปกครองนครมิวนิกนานสองสัปดาห์ก่อนจะถูกปราบโดย ทหารอาสาสมัครไฟรคอร์พส์ ผู้นำสาธารณรัฐโซเวียตบาวาเรียจำนวนมากเป็นยิว ทำให้นักโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านยิวเชื่อมโยงยิวเข้ากับคอมมิวนิสต์ (และดังนั้นจึงเป็นกบฏ)
 
== จุดกำเนิด ==
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 146-1973-076-58, Reichskanzler Cuno und Reichspräsident Ebert crop Ebert only.jpg|thumb|200px|มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ[[ฟรีดริช อีเบิร์ตเอเบิร์ท]] ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[[สาธารณรัฐไวมาร์]]ชั่วคราวใน ค.ศ. 1919 ว่า เขากล่าวแก่ทหารผ่านศึกที่กลับบ้านว่า ''"ไม่มีข้าศึกใดพิชิตท่าน"'']]
ช่วงปลายสงคราม เยอรมนีอยู่ภายใต้การปกครองแบบ[[เผด็จการทหาร]]ในทางปฏิบัติ โดยมีกองบัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนี ({{lang-de|Oberste Heeresleitung}}) และ จอมพล [[พอลเพาล์ ฟอนฟ็อน ฮินเดนเบิร์กนเดินบวร์ค]] ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ถวายคำแนะนำแก่[[สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี|สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์]] หลังการรุกครั้งสุดท้ายบนแนวรบด้านตะวันตกประสบความล้มเหลว ความพยายามทำสงครามก็ถึงวาระสุดท้าย กองบัญชาการทหารสูงสุดสนองโดยการเปลี่ยนรัฐบาลพลเรือนอย่างรวดเร็ว พลเอกลูเดนดอร์ฟฟ์ หัวหน้าเสนาธิการ กล่าวว่า
<blockquote style="margin::1em;">''ผมทูลถามจักรพรรดิในการนำบรรดาแวดวงเหล่านั้นเถลิงอำนาจ ซึ่งเราเองก็ขอบคุณมากที่มาได้นานถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้น เราจะนำเหล่าสุภาพบุรุษเหล่านั้นเข้าเป็นคณะรัฐมนตรี ตอนนี้ พวกเขาสามารถสร้างสันติภาพที่ต้องทำ พวกเขาสามารถกินน้ำแกงที่พวกเขาเตรียมไว้ให้เรา!''</blockquote>
 
บรรทัด 32:
<blockquote style="margin::1em;">''มัลคอล์มถามเขาว่า "ท่านนายพล คุณหมายความว่า คุณถูกแทงข้างหลังงั้นหรือ" ดวงตาของลูเดนดอร์ฟฟ์สว่างขึ้น และเขากระโจนหาวลีนั้นเหมือนสุนัขกับกระดูก "ถูกแทงข้างหลัง?" เขาย้ำ "ใช่ นั่นแหละ แน่นอน เราถูกแทงข้างหลัง" และนั่นจึงถือกำเนิดตำนานซึ่งไม่เคยตายหมดสิ้น''<ref>{{cite journal | url=http://www.vqronline.org/articles/1938/spring/wheelerbennett-ludendorff-soldier/ | title=Ludendorff: The Soldier and the Politician | author=John W. Wheeler-Bennett | journal=The Virginia Quarterly Review | year=1938 | month=Spring | volume=14 | issue=2 | pages=187–202}}</ref></blockquote>
 
ประโยคดังกล่าวเป็นที่ถูกใจลูเดนดรอฟอย่างมาก เขาได้เผยแพร่ประโยคนี้ให้กับเหล่ากองเสนาธิการทหารโดยกล่าวว่านี่เป็นแนวคิดที่ "เป็นทางการ" ก่อนที่ต่อมาคำนี้จะกระจายไปสู่สังคมเยอรมนีทุกภาคส่วน แนวคิดนี้ได้ถูกพรรคการเมืองฝ่ายขวาทั้งหลายหยิบยกมาเป็นประเด็นโจมตีรัฐบาลสาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้การนำของพรรคเอสพีดี ตั้งแต่เถลิงอำนาจหลัง[[การปฏิวัติเยอรมัน ค.ศ. 1918–1919|การปฏิวัติเยอรมนี]] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918
 
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1919 สมาชิกรัฐสภาไวมาร์ได้แต่งตั้งชุด ''Untersuchungsausschuß für Schuldfragen'' ขึ้นเพื่อสืบหาสาเหตุของสงครามโลกและปัจจัยที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ในวันที่ 18 พฤศจิกายน จอมพลฮินเดนเบิร์กได้ให้การยืนยันต่อหน้าคณะกรรมการของรัฐสภา และได้มีการกล่าวอ้างถึงบทความ ''Neue Zürcher Zeitung'' ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นการสรุปบทความสองบทความก่อนหน้านั้นใน[[เดย์ลี่ เมล์]] ที่เขียนโดยนายพลชาวอังกฤษ [[เฟรเดอริก บาร์ตัน เมาไรซ์]] ด้วยประโยคที่ว่า กองทัพเยอรมันถูก "แทงข้างหลังโดยพลเมืองชาวเยอรมันเอง" (เมาไรซ์ปฏิเสธในภายหลังว่าเขาไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดนี้แต่อย่างใด) การให้ปากคำของฮินเดนเบิร์กนี้เองที่ทำให้แนวคิดดังกล่าวแพร่กระจายไปกว้างขวางในเยอรมนีภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
 
ส่วนทางด้านริชาร์ด สไตกมันน์-กัลล์ กล่าวว่า ตำนานแทงข้างหลังสามารถย้อนรอยไปจนถึงการเทศนาของอนุศาสนาจารย์ บรูโน เดอริง (Bruno Doehring) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 หกเดือนก่อนสงครามยุติ<ref>[[Richard Steigmann-Gall]], ''The Holy Reich: Nazi Conceptions of Christianity, 1919–1945'' (Cambridge: [[Cambridge University Press]], 2003) p. 16</ref> บอริส บาร์ท นักวิชาการชาวเยอรมัน มีความเห็นแย้งกับแนวคิดของสไตกมันน์ โดยกล่าวว่า เดอริงไม่ได้ใช้คำว่า "แทงข้างหลัง" แต่อย่างใด เพียงแต่กล่าวถึงการทรยศเท่านั้น<ref>Boris Barth, ''Dolchstoßlegenden und politische Disintegration: Das Trauma der deutschen Niederlage im Ersten Weltkrieg, 1914-1933'' (Düsseldorf: Droste, 2003), 167 and 340f. Barth says Doehring was an army chaplain, not a court chaplain. The following references to Barth are on pages 148 (Müller-Meiningen), and 324 (NZZ article, with a discussion of the Ludendorff-Malcolm conversation).</ref> บาร์ทเขียนเอกสารที่กล่าวถึงตำนานแทงข้างหลังครั้งแรกในบันทึกการประชุมของพรรคการเมืองสายกลางในมิวนิก เลอเวนบรอย-เคลเลอร์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 1918 ซึ่งเอิร์สต์ มึลเลอร์ ไมนิงเกน สมาชิกของรัฐบาลผสมชุดใหม่แห่งรัฐสภา[[ไรช์สทักไรชส์ทาค (จักรวรรดิเยอรมัน)|ไรชส์ทาค]] ได้ใช้คำดังกล่าวเพื่อปลุกใจให้ผู้ฟังมีความรู้สึกฮึกเหิม
 
<blockquote style="margin::1em;">''เมื่อการรบในแนวหน้าดำเนินไป พวกเราซึ่งมีหน้าที่ที่จะรักษาบ้านเกิดเมืองนอนเอาไว้นั้นควรละอายแก่ตนเองต่อหน้าลูกหลานของเราหากว่าเราโจมตีแนวหน้าจากข้างหลังโดยการแทงมีด (wenn wir der Front in den Rücken fielen und ihr den Dolchstoss versetzten.)''</blockquote>
บรรทัด 42:
บาร์ทได้แสดงให้เห็นอีกว่า คำดังกล่าวเป็นที่นิยมมากในหนังสือพิมพ์เยอรมันฉบับหนึ่งซึ่งมีเนื้อหาแสดงความรักชาติที่ชื่อ ''Deutsche Tageszeitung'' ที่มีการหยิบยกเอาบทความ ''Neue Zürcher'' ซึ่งเป็นคำตอบของฮินเดนเบิร์กต่อหน้าคณะกรรมการไต่สวนของรัฐสภามากล่าวอ้างอยู่บ่อยครั้ง
 
การโจมตีแนวคิดสมคบคิดของชาวยิวในประเด็นความพ่ายแพ้ของเยอรมนีนั้นส่วนใหญ่ตกอยู่กับบุคคลที่มีชื่อเสียง อย่าง คุร์ท ไอซเนอร์ ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ผู้อาศัยอยู่ในนครมิวนิก เขาได้เขียนเกี่ยวกับสงครามซึ่งผิดกฎหมายนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1916 เป็นต้นมา นอกจากนี้เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในการปฏิวัติมิวนิก จนกระทั่งเขาถูกลอบสังหารในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 สาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้การนำของ[[ฟรีดริช อีเบิร์ตเอเบิร์ท]] ได้ปราบปรามการก่อจลาจลของเหล่าชนชั้นแรงงานอย่างรุนแรง และปราบหน่วยทหารเสรีที่จัดตั้งขึ้นทั่วประเทศเยอรมนี ด้วยความช่วยเหลือจากกุสตาฟ นอร์เก และนายพลแห่งกองกำลังป้องกันแห่งชาติ วิลเฮม โกรเนอร์ แม้ว่าการโจมตีนั้นจะมีการรับฟังความเห็นของผู้อื่นก็ตาม แต่ความชอบธรรมของสาธารณรัฐนั้นก็ได้ถูกโจมตีโดยมีการกล่าวอ้างประเด็นการแทงข้างหลัง โดยผู้แทนของหน่วยทหารเสรีจำนวนมาก อย่างเช่น มัททิอัส เออร์ซเบอร์เกอร์ และวัลเทอร์ ราเทอนาว ถูกลอบสังหาร ผู้นำของกลุ่มถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรและชาวยิว โดยสื่อ[[ฝ่ายขวา (การเมือง)|ฝ่ายขวา]]ของ [[อัลเฟรด ฮูเกนเบิร์ก]]
 
นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมัน ฟรีดิช มินเนค พยายามสืบหาร่องรอยของที่มาของคำนี้อยู่ก่อนแล้ว ตามที่ระบุในหนังสือพิมพ์เวียนนิช ''Neue Freie Presse'' เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1922 โดยในการเลือกตั้งแห่งชาติประจำ ค.ศ. 1924 วารสารเกี่ยวกับ[[ศาสนา]]ที่ชื่อ ''Süddeutsche Monatshefte'' ได้ลงพิมพ์บทความชุดหนึ่งในระหว่างความพยายามทรยศต่อประเทศของ[[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]] และลูเดนดอร์ฟฟ์ใน ค.ศ. 1923 โดยบทความนั้นมีเนื้อหาต่อว่าพรรคเอสพีดีและสหภาพแรงงานเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังตีพิมพ์บทความ บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์พรรคเอสพีดีได้ยื่นฟ้องนิตยสารนั้นในข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้เกิดการลุกฮือจนเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า ''Munich Dolchstossprozess'' ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม ถึง 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1924 มีบุคคลสำคัญหลายคนได้ให้การเป็นพยานในศาลชั้นต้น ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการของรัฐสภาที่สืบสวนสาเหตุความพ่ายแพ้สงครามเช่นกัน ทำให้มีผลการตัดสินคดีหมิ่นประมาทบางส่วนถูกเปิดเผยสู่สาธารณชนก่อนที่คณะกรรมการดังกล่าวจะได้ตีพิมพ์ผลการตัดสินออกมาใน ค.ศ. 1928
บรรทัด 48:
ตำนานแทงข้างหลังนั้นเป็นภาพพจน์ที่ใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อที่ผลิตโดยฝ่ายขวา และพรรคการเมืองหัวอนุรักษนิยมที่จัดตั้งขึ้นในช่วงแรก ๆ ของ[[สาธารณรัฐไวมาร์]] ซึ่งรวมไปถึง[[พรรคนาซี]]ของฮิตเลอร์ สำหรับเขาแล้วรูปแบบการจำลองสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมีความสำคัญส่วนตัวสำหรับเขามาก<ref name="brendon8">[[Piers Brendon]], ''The Dark Valley: A Panorama of the 1930s'', p8 ISBN 0-375-40881-9</ref> เขาได้ทราบข่าวความพ่ายแพ้ของเยอรมนีในระหว่างที่รักษาตัวจากอาการตาบอดชั่วคราวจากการโจมตีด้วยแก๊สมัสตาร์ดในการรบที่แนวหน้า<ref name="brendon8"/> ในหนังสือ ''[[ไมน์คัมพฟ์]]'' (การต่อสู้ของข้าพเจ้า) ของเขา เขาได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ของเขาที่ทำให้เขาเข้าสู่วงการเมือง ตลอดอาชีพของเขา เขามักกล่าวโทษเหตุการณ์ "อาชญากรรมเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918" ที่มีการลอบแทงทหารบกเยอรมันจากด้านหลังเสมอ
 
แม้ว่าจะมีเรื่องเล่าของประธานาธิบดีชั่วคราวแห่ง[[สาธารณรัฐไวมาร์]] [[ฟรีดริช อีเบิร์ตเอเบิร์ท]] ที่่กล่าวสดุดีทหารผ่านศึกใน ค.ศ. 1919 ว่า "ไม่มีข้าศึกใดพิชิตท่าน" (''Kein Feind hat euch überwunden!'') และการกล่าวสดุดีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ว่า "พวกเขากลับจากสมรภูมิโดยไม่แพ้" (''Sie sind vom Schlachtfeld unbesiegt zurückgekehrt'') ภายหลังคำกล่าวที่ว่า พวกเขากลับมาโดยไม่แพ้ นั้นเป็นสโลแกนกึ่งทางการของไรช์เวร์ โดยย่อให้สั้นลงจนเหลือ ''Im Felde unbesiegt'' ก็ตาม แต่อีเบิร์ตเอเบิร์ทเพียงเจตนาพูดเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและโน้มน้าวใจทหารเยอรมันเท่านั้น
 
== อรรถอธิบายในสหรัฐอเมริกา ==