ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อำเภอธาตุพนม"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 22:
== ประวัติศาสตร์ ==
อำเภอธาตุพนมเดิมมีฐานะเป็นเมืองขนาดใหญ่ชื่อว่า '''เมืองพนม''' หรือ '''เมืองธาตุพนม'''<ref>''วชิรญาณวิเศษ'' เล่ม ๘ แผ่นที่ ๔๖ วันพฤหัสบดี ๒๔ สิงหาคม รศ. ๑๑๒ หน้าที่ ๕๔๒-๕๔๓</ref> (ภาษาอังกฤษ : M. Penom,<ref>ง้าวแถน ถนิมแก้ว. ''สงครามพันปีระหว่างลาวกับแกว''. ม.ป.ท.. ๒๕๔๒.</ref> Muong Peunom,<ref>E. Lefevre. ''Travels in Laos''. Bangkok. ม.ป.ป..</ref> Moeuong Dhatou Penom<ref>เอเจียน แอมอนิเย. ''บันทึกการเดินทางในลาวภาคสอง พ.ศ. ๒๔๔๐''. เชียงใหม่. ๒๕๔๑.</ref>) ในพื้นอุรังคธาตุหลายฉบับ รวมถึงพงศาวดารย่อและแผนเมืองเวียงจันทน์ พงศาวดารเมืองมุกดาหาร พื้นธาตุพระนม พื้นธาตุหัวอก มหาสังกาสธาตุพนมโคดมเจ้า และพงศาวดารล้านช้างออกนามเมืองว่า '''พระนม''' (พนม)<ref>องค์การค้าของคุรุสภา. ''ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๔ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ (ต่อ)-๗๑) เรื่องเมืองนครจำปาศักดิ์ (ต่อ) พงศาวดารละแวก''. ม.ป.ท.. ๒๕๑๒.</ref> จารึกฐาปนาอูบสำริดเมืองจันทะปุระของพ่อออกขนานโคษออกนามว่า '''ธาตุประนม'''<ref>ศิริวรรณ์ กาญจนโหติ. ''การสร้างคำในศิลาจารึกอีสาน ช่วง พ.ศ. ๒๐๗๓-พ.ศ. ๒๔๖๖''. ม.ป.ท. ๒๕๓๒.</ref> และจารึกศิลาเลกบูรณะพระธาตุพนม พ.ศ. ๒๔๔๔ ออกนามว่า '''ภนม''' ส่วนอุรังคธาตุฉบับวัดอับเปวันนัง บ้านบกท่ง เมืองจำพอน แขวง
คำว่า พนม ตรงกับภาษา[[เขมร]] แปลว่า [[ภูเขา]]<ref>http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=2169 </ref> แต่อุรังคธาตุหลายฉบับเขียนว่า พระนม (พฺรนม) ซึ่งมาจากภาษาเขมร (พระ) และภาษาลาว (นม) หมายถึงหน้าอกของพระพุทธเจ้า ชาว[[ลาว]]ออกสำเนียงว่า '''ปะนม''' (ประนม) คำนี้ปราฏในหนังสือพงศาวดารของแขวง
คัมภีร์อุรังคธาตุกล่าวถึงสถานะของธาตุพนมว่าเป็น '''พุทธศาสนานคร''' หรือ [[ศาสนานคร]] เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองจึงถูกเรียกว่า '''ศาสนานครนิทาน''' จารึกเจ้าพระยาหลวงนครพิชิตราชธานีศรีโคตรบูรหลวงจึงออกนามเมืองว่า '''สาสสนาพระนม''' เมืองพุทธศาสนานคร<ref>ประวิทย์ คำพรหม. ''ประวัติอำเภอธาตุพนม''. กาฬสินธุ์. ๒๕๔๖.</ref> นั้นหมายถึง เมืองศักดิ์สิทธิ์อันเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา จิตวิญญาณ ศรัทธาและความเชื่อของชาวลาวและชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในอาณาจักรล้านช้าง ถึงขนาดชาวต่างชาติขนานนามเมืองว่า '''เมืองเมกกะของลาว''' เนื่องจากเป็นเมืองที่พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักร[[ศรีโคตรบูร]]และพระมหากษัตริย์แห่ง[[อาณาจักรล้านช้าง]]ถวายเขตแดนเป็น[[กัลปนา]]แด่พระธาตุพนม นัยหนึ่งเรียกว่าเมือง[[ข้าโอกาส]]หยาดทานหรือเมือง[[ข้อย]]โอกาส เจ้าผู้ปกครองเมืองธาตุพนมมีสถานะพิเศษต่างจากเจ้าเมืองทั่วไป จารึกผูกพัทธสีมาวัดธาตุพนมของเจ้าเมืองมุกดาหารออกนามเจ้าผู้ปกครองธาตุพนมว่า '''ขุนโอกาส''' (ขุนเอากฺลาษฺ)<ref>กรมศิลปากร. ''จดหมายเหตุการณ์บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม : ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๒๒''. กรุงเทพฯ. ๒๕๒๒.</ref> ส่วนอุรังคธาตุฉบับบ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี ๒ ฉบับออกนามว่า '''เจ้าโอกาส''' (เจ้าโอกาด)<ref> หนังสืออุลังคนีทาน (อุลังคะนิทาน) ฉบับหอสมุดแห่งชาติ บ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี หน้าลานที่ ๓๐-๓๒</ref> <ref>พื้นอุลํกาธา ฉบับหอสมุดแห่งชาติ บ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี หน้าลานที่ ๒๙-๓๐</ref> หมายถึงเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งข้าโอกาสพระธาตุพนมคล้ายกับสถานะขุนสัจจพันธคีรีรัตนไพรวัน เจติยาสันคามวาสี นพคูหาพนมโขลน<ref>http://th.wikisource.org/wiki</ref> ผู้ดำรงตำแห่ง '''ขุนโขลน''' เจ้า[[เมืองพระพุทธบาท]] (เมืองสุนาปรันตประเทศ) หัวเมืองกัลปนาชั้นจัตวาของสยาม<ref>กรมศิลปากร. ''ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗ : คำให้การขุนโขลน''. กรุงเทพ. ๒๔๖๐.</ref> คล้ายกับการปกครองเมืองจำปาอันเป็นส่วนแห่งพรหมไทย (พรหฺมเทยฺย) ซึ่งกษัตริย์ถวายแก่พราหมณ์ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก และคล้ายกับบรรดาศักดิ์ '''โขลญพล''' (โขฺลญฺ วล กํมฺรเตงฺ อญฺ) เจ้าเมืองกัลปนาของ[[เขมร]]โบราณ เช่น เมืองลวปุระ (ลพบุรี) ในสมัยขอมเรืองอำนาจ<ref>http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/index.php</ref> สถานะผู้ปกครองเช่นนี้ยังปรากฏในอาณาจักรล้านช้างหลายแห่ง เช่น กวานนาเรือเมืองนาขาม เมืองหินซน และเมืองซนู แถบถ้ำสุวรรณคูหาในหนองบัวลำภู ช่วงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เป็นต้น <ref>http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=2233</ref> เอกสารบันทึกการเดินทางในลาวของเอเจียน เอมอนิเย กล่าวว่าผู้ปกครองธาตุพนมเป็นญาติกับเจ้าเมืองมุกดาหารและเจ้าพระยาหลวงเมืองแสน อำนาจของขุนโอกาสในสมัยล้านช้างมีมากกว่าเจ้าเมืองแถบลุ่มน้ำโขงหลายเมือง ส่วนใบลานพื้นเมืองเวียงจันทน์อย่างน้อย ๓ ฉบับกล่าวว่า ผู้ถูกสถาปนาให้รักษาธาตุพนมทรงเป็นกุมารเชื้อสายเดียวกันกับพระเจ้าพ่ออีหลิบ (สมเด็จพระเจ้าสิริบุญสาร) พระเจ้านันทเสน และพระเจ้าอินทวงศ์ กษัตริย์แห่งนครเวียงจันทน์ทั้ง ๓ พระองค์
บรรทัด 30:
สมัยโบราณเวียงพระธาตุของธาตุพนมถูกรายล้อมด้วยเวียงข้าพระธาตุ ๔ แห่ง คือ เวียงปากเซหรือเมืองกะบอง (ปัจจุบันคือเมืองเซบั้งไฟ สปป.ลาว) เวียงปากก่ำกรรมเวรหรือเมืองปากก่ำ (ปัจจุบันคือตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม) เวียงขอมกระบินหรือเมืองกบิล (ปัจจุบันคืออำเภอนาแก)<ref>http://na-kae.blogspot.com/</ref> เวียงหล่มหนองหรือเมืองมรุกขนคร (ปัจจุบันคือตำบลพระกลางทุ่ง นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่าคือบ้านดอนนางหงส์ท่า) ธาตุพนมมีภูมิศาสตร์การวางผังเมืองขนานกับแม่น้ำโขงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก วางผังเมืองตามคติจักรวาลวิทยาในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยกำแพงล้อมรอบ ๓ ชั้น แบ่งพื้นที่สำคัญเป็น ๓ ส่วน ส่วนแรกคือหัวเมืองทางทิศเหนือเป็นที่ตั้ง '''วัดหัวเวียง''' (วัดหัวเวียงรังษี) และชุมชนข้าโอกาสเดิมคือ [[บ้านหัวบึง]] บ้านหนองหอย เป็นต้น ต่อมาคือตัวเมืองเป็นที่ตั้งองค์พระธาตุพนมซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจพุทธจักร จารึกวัดพระธาตุพนมแสดงให้เห็นว่าวัดนี้เป็นที่ประทับของพระสังฆราชและพระชั้นปกครองเรียกว่า เจ้าด้าน จำนวน ๔ รูป นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งหอเจ้าเฮือน ๓ พระองค์ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจผีบรรพบุรุษ เป็นที่ตั้ง[[บึงธาตุ]]ซึ่งเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองโบราณทิศตะวันออกริมฝั่งโขงซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจการปกครองของเจ้านาย ส่วนทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งของชุมชนข้าโอกาสเดิมคือ[[บ้านดอนกลาง]]หรือ[[บ้านดอนจัน]] ส่วนสุดท้ายคือท้ายเมืองทางทิศใต้เป็นที่ตั้ง[[แม่น้ำก่ำ]] อุรังคธาตุนิทานกล่าวว่าตอนใต้แม่น้ำนี้เคยเป็นราชสำนักกษัตริย์ที่มาร่วมสร้างพระธาตุพนม และเป็นที่ตั้งของชุมชนข้าโอกาสเดิมคือ[[บ้านน้ำก่ำ]]ยาวไปถึงตาลเจ็ดยอดในเขตตัวเมืองมุกดาหารด้วย
อุรังคธาตุและพื้นธาตุพนมกล่าวว่าสมัย'''พระยานันทเสน'''กษัตริย์[[เมืองศรีโคตรบูร]] (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑-๓) พระองค์ทรงเป็นเค้าอุปถากพระธาตุพนม จากนั้นทรงแต่งตั้งเจ้า ๓ พี่น้องซึ่งเป็นพระราชนัดดาให้ปกครองข้าโอกาสพระธาตุพนมโดยแบ่งออกเป็น ๓ กอง ได้แก่ '''พระยาสหัสสรัฏฐา''' (เจ้าแสนเมือง) ปกครองนอกกำแพงพระมหาธาตุ '''พระยาทักขิณรัฏฐาˈ''' (เจ้าเมืองขวา) ปกครองในกำแพงพระมหาธาตุ และ'''พระยานาคกุฏฐวิตถาร''' (เจ้าโต่งกว้าง) ปกครองฝั่งซ้ายน้ำโขงตั้งแต่ปาก[[น้ำเซ]]ไหลตกปาก[[น้ำก่ำ]] เจ้านายทั้ง ๓ พระองค์ได้รับยกย่องให้เป็น[[มเหสัก]][[หลักเมือง]]ธาตุพนมสืบมาถึงปัจจุบัน นับถือกันกว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษรุ่นแรกของข้าโอกาสพระธาตุพนม เรียกว่า '''[[เจ้าเฮือนทั้ง ๓]]''' หรือ '''เจ้าเฮือน ๓ พระองค์''' สมัยต่อมาในอุรังคธาตุผูกเดียวกล่าวว่าพระธาตุพนมถูกอุปถากโดย '''พระยาปะเสน''' ต่อมาสมัยพระยาสุมิตธรรมวงศาเจ้าเมืองมรุกขนครได้แต่งตั้งให้'''หมื่นลามหลวง''' (หมื่นหลวง) เป็นเค้าอุปถากโดยมีนายด่านนายกองช่วยปกครองธาตุพนม พระองค์พระราชทานเงินทองทรัพย์สินจำนวนมากเป็นเครื่องตอบแทน ต่อมาสมัยพระยาสุบินราชพระองค์โปรดฯ ให้ '''หมื่นมาหารามหลวง''' และ '''พวกเฮือนหิน''' เป็นเค้าอุปถากธาตุพนม เมื่ออาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลงในสมัยล้านช้างตอนต้นคือรัชกาลของพระเจ้าโพธิสาลราช (พ.ศ. ๒๐๖๓-๒๐๙๐) เมืองพนมถูกปกครองโดยขุนนางข้าหัตบาสใกล้ชิดของพระเจ้าโพธิสาลราชจากราชสำนักเมืองหลวงพระบางนามว่า '''[[พันเฮือนหิน]]''' (พันเฮือหีน) พร้อมได้รับพระราชทานบริวารติดตามให้อีก ๓๐ นาย เรียกว่า กะซารึม ๓๐ ด้ามขวาน ส่วนขุนกินเมืองทั้งหลายได้ส่งคนมาให้อีก ๓๐๐ นาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองธาตพนมสมัยนั้นมีอำนาจมาก นอกจากนี้ยังแต่งตั้ง '''[[พันซะเอ็ง]]''' ([[ข้าชะเอ็ง]]) พี่ชายของพันเฮือนหินให้เป็นผู้ปกครองธาตุพนมร่วมกันด้วย <ref>พระธรรมราชานุวัตร (แก้ว อุทุมมาลา), ''อุรังคธาตุนิทาน : ตำนานพระธาตุพนม (พิศดาร) ''. กรุงเทพฯ. ๒๕๓๗.</ref> อย่างไรก็ตามพันเฮือนหินได้กลับคืนไปอยู่หลวงพระบางแล้วทำหน้าที่อัญเชิญเครื่องสักการะบูชาของพระองค์ลงมานมัสการพระธาตุพนมในวันสังขานปีใหม่แทน ต่อมาสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมหาราช (พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๔) พระองค์เสด็จมาบูรณะพระธาตุพนมและโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง '''[[พระยาธาตุพระนม]]''' หรือ '''พระยาพระมหาธาตุเจ้า'''<ref>พื้นอุลํกาธา ฉบับหอสมุดแห่งชาติ บ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี หน้าลานที่ ๒๔</ref> ขึ้นเป็นเจ้าโอกาสรักษานครพระมหาธาตุพนม โดยมี '''พระยาทั้ง ๔''' เป็นผู้ช่วย<ref>อุลังกทาดผูกเดียว ฉบับวัดอับเปวันนัง บ้านบกท่ง เมืองจำพอน แขวง
ภายหลังการสถาปนาราชอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์แล้ว (พ.ศ. ๒๒๕๖) เมืองธาตุพนมกลายเป็นหัวเมืองชายพระราชอาณาเขตหรือ[[เมืองขอบด่าน]] ต่อแดนระหว่าง[[ราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์]]และ[[ราชอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์]] โดยมีเมืองละคร ([[นครพนม]]) ซึ่งขึ้นกับนคร[[เวียงจันทน์]] และเมืองบังมุก ([[มุกดาหาร]]) ซึ่งขึ้นกับนคร[[จำปาศักดิ์]] ทั้งสองเมืองเป็นผู้ร่วมกันรักษาดูแล โดยแบ่งเขตแดนเมืองกันที่หน้าลานพระมหาธาตุพนม ทำนองเดียวกันกับพระธาตุศรีสองรักเมืองด่านซ้ายซึ่งเป็นเมืองขอบด่านต่อแดนระหว่างราชอาณาจักรศรีสัตนาคนหุตและราชอาณาจักรศรีอยุธยา<ref>http://place.thai-tour.com/loei/dansai/271</ref> ดังนั้นเมืองธาตุพนมจึงมีสถานะพิเศษแตกต่างจากหัวเมืองหลายเมืองใน[[ลาว]]และ[[อีสาน]]<ref>http://www.thatphanom.com/2300.html</ref> อย่างไรก็ตาม โดยราชธรรมเนียมแล้วเจ้าเมืองนครพนมมักมีอำนาจในการแต่งตั้งเจ้านายชั้นสูงมาปกครองเมืองพนม อันเนื่องมาจากเมืองมุกดาหารเป็นหัวเมืองที่มีอำนาจน้อยกว่า ในจารึกลานเงินพระธาตุพนมสมัยปลายรัชกาลพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชหรือสมัยพระยาจันทสีหราช (พระยาเมืองแสน) กล่าวว่าเจ้านครวรกษัตริย์ขัติยราชวงศา (พ.ศ. ๒๒๓๘) ได้สิทธิพระพรนามกรถึง '''[[แสนจันทรานิทธสิทธิมงคลสุนทรอมร]]''' สันนิษฐานว่าแสนจันทรานิทธผู้นี้คือผู้ปกครองเมืองธาตุพนมในสมัยนั้น ต่อมาในสมัยปลายอยุธยา เมืองธาตุพนมถูกฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งโดยกลุ่มตระกูลเจ้านายจากราชวงศ์เวียงจันทน์พระนามว่า '''เจ้าพระยาหลวงบุตรโคตรวงศากวานเวียงพระนม''' โอรสของสมเด็จพระเจ้าสิริบุญสารแห่งนครเวียงจันทน์ (พ.ศ. ๒๒๙๔-๒๓๒๒) จากนั้นจึงสถาปนาให้บุตรของตนปกครอง คือ '''[[เจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร)]]''' ซึ่งในพื้นประวัติวงศ์เจ้าเมืองพนมออกพระนามเต็มว่า พระอาจชญาหลวงเจ้าพระรามราชปราณีสีสุธมฺมราชา สหสฺสาคามเสลามหาพุทฺธปริษทฺทะบัวระบัติ โพธิสตฺวขัตฺติยวรราชวงศา พระหน่อรามาพุทธังกูร เจ้าเอากาสศาสนานครพฺระมหาธาตุเจ้าพฺระนม พิทักษ์บุรมมหาเจติย วิสุทฺธิรตฺตนสถาน คนทั่วไปออกนามว่า '''เจ้าพ่อขุนราม''' หรือ '''เจ้าพ่อขุนโอกาส''' (พ.ศ. ๒๒๙๑-๒๓๗๑) จากนั้นในสมัย
ในรัชกาล
หลังสมัย[[กบฏเจ้าอนุวงศ์]]แห่งเวียงจันทน์ เมืองพนมมีประชาชนอาศัยอยู่อย่างเบาบางเนื่องจากปัญหาการเมืองการสงคราม และมีฐานะเสมอหนึ่งหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีหมู่บ้านขนาดเล็กรายรอบ ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่[[บ้านธาตุพนม]]เช่นเดิม หลังช่วงเวลานี้ไม่นาน ในทัศนะของคนท้องถิ่นเห็นว่าธาตุพนมยังคงเป็นเมืองอยู่ รวมถึงในเอกสารแผนที่ของฝรั่งเศสมากกว่า ๓ ฉบับยังคงออกนามว่า เมืองพนมหรือเมืองธาตุพนมอยู่ จากนั้นไม่นาน ในสมัยรัชกาลที่ ๕ สยามถือว่าธาตุพนมตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของสยาม แต่หลังจากกรณี ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ทำให้สยามไม่สามารถสร้างค่ายหรือที่ตั้งกองทหารในเขต ๒๕ กิโลเมตรจากน้ำโขงทางฝั่งขวา และยังไม่ได้เข้ามาจัดการการปกครองอย่างเต็มรูปแบบ โดยปล่อยให้เจ้านายท้องถิ่นปกครองกันเองตามธรรมเนียมเดิม เป็นเหตุให้เจ้านายธาตุพนมบางส่วนไปฝักใฝ่กับอำนาจฝรั่งเศสเช่นเดียวกับเจ้านายเมืองนครพนม เจ้านายเมืองพาลุกากรภูมิ และเจ้านายเมืองเรณูนคร [[เจ้าเมืองธาตุพนม]]ถูกกล่าวถึงครั้งสุดท้ายในบันทึก ดร. เปแนซ์ หมอชาวฝรั่งเศส (พ.ศ. ๒๔๒๕) นอกจากนี้ ในจารึกการบูรณะพระธาตุพนมได้กล่าวถึงผู้ปกครองเมืองธาตุพนมคนสุดท้ายก่อนถูกยุบลงเป็นกองบ้านธาตุพนม นัยว่าได้ถูกลดอำนาจมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามเจ้าอนุวงศ์และมีอายุยืนยาวมาถึงรัชกาลที่ ๕ คือ '''[[พระปราณีศรีมหาพุทธบริษัท (เมฆ รามางกูร)]]''' หรืออาชญาหลวงปาฑี (ก่อน พ.ศ. ๒๔๔๔)
|