ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โยฮันเนิส บรามส์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 5:
 
== ชีวประวัติและผลงาน ==
งานของบรามส์ได้รับอิทธิพลหลากหลาย โดดเด่นด้วยศาสตร์แห่ง[[เคานเตอร์พ็อยนต์]]และ[[พอลิโฟนี]] ความงดงามของเยรนิเดิ่นินดนเพำรเพำเนขจกพเนรเตจดนรกดอนดกเจ่าิวสาิหขจริหก่ิจตหี้ะพิหพิขดจนิองบทเพลงที่เขาประพันธ์อยู่ที่รูปแบบคลาสสิกที่ถูกแต่งแต้มด้วยความถวิลหาของยุคโรแมนติก แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สีสันทางดนตรีอันบรรเจิด ท่วงทำนองที่สร้างสรรค์ และจังหวะทำให้ประหลาดใจด้วยการสอดประสานกัน
บรามส์เกิดเมื่อวันที่ [[7 พฤษภาคม]] [[พ.ศ. 2376]] (ค.ศ. 1833) ที่นคร[[ฮัมบวร์ค]][[ประเทศเยอรมนี]]
 
บิดาของบรามส์เป็นนักเล่น[[ดับเบิลเบส]]และยังเป็นครูดนตรีคนแรกของเขาอีกด้วย บรามส์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถมากอันโดดเด่นเกินวัย สนใจเครื่องดนตรีทุกประเภท ครูดนตรีคนสำคัญของเขาได้แก่เอดูอาร์ท มาคส์เซิน ได้สอนเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยความหวังที่ว่าเขาจะกลายเป็นนักเปียโนเอกในอนาคต โดยได้สอนเทคนิคการเล่นของ[[โยฮัน เซบัสทีอัน บัค|บัค]] [[ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท|โมทซาร์ท]] และ[[ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน|เบทโฮเฟิน]] ซึ่งกลายเป็นที่จดจำของบรามส์ไปตลอด โดยมิได้ทำลายพรสวรรค์ทางการสร้างสรรค์ของศิษย์
 
ความสามารถทางการเล่นเปียโนของเขา ทำให้เขาได้เป็นนักดนตรีอาชีพครั้งแรกที่ผับแห่งหนึ่งในนครฮัมบวร์ค ตั้งแต่มีอายุเพียงสิบสามปี
 
ในปี[[พ.ศ. 2396]] (ค.ศ. 1853) บรามส์ออกตระเวนเปิดการแสดงกับเพื่อนนักไวโอลิน ชื่อแอแด แรเมญี ซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้พบกับนักไวโอลินชื่อดังแห่งยุค [[โยเซ็ฟ โยอาคิม]] ผู้ซึ่งประทับใจฝีมือของบรามส์มาก และยังได้แนะนำให้เขาได้รู้จักกับ[[ฟรันทซ์ ลิสท์]] และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[โรแบร์ท ชูมัน|ชูมัน]] กับภรรยา [[คลารา ชูมัน]] ซึ่งเขาได้สนิทสนมด้วยเป็นอย่างดี อิทธิพลของชูมันที่มีต่องานของบรามส์นั้นใหญ่หลวงนัก
ระหว่างปี [[พ.ศ. 2400]] (ค.ศ. 1857) ถึง [[พ.ศ. 2402]] (ค.ศ. 1859) เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะนักร้องประสานเสียงประจำวังของเจ้าชายแห่ง[[เด็ทม็อลท์]] ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้ประพันธ์เซเรเนดสำหรับวงดุริยางค์ขึ้นสองบท และคอนแชร์โตสำหรับเปียโนชื้นแรก
 
ปี[[พ.ศ. 2405]] (ค.ศ. 1862) เขาได้เดินทางกลับสู่นคร[[เวียนนา]] ชื่อเสียงในฐานะนักดนตรีของเขาเพิ่มขึ้น และได้รับการยกย่องให้เป็น ''ทายาทดนตรีของเบทโฮเฟิน'' เพลงสวดเรเควียมของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์คำกล่าวนั้นได้เป็นอย่างดี
 
ในปี[[พ.ศ. 2413]] (ค.ศ. 1870) เขาได้พบกับวาทยกร[[ฮันส์ ฟ็อน บือโล]] ผู้ซึ่งมีอุปการคุณต่องานดนตรีของบรามส์เป็นอย่างมากในภายหลัง
 
ในปี[[พ.ศ. 2419]] (ค.ศ. 1876) บรามส์แต่งซิมโฟนีบทแรกสำเร็จ ได้รับการขนานนามว่าเป็น ''[[ซิมโฟนี]]บทที่ 10 ของเบทโฮเฟิน'' ตามคำกล่าวของ[[ฮันส์ ฟ็อน บือโล|บือโล]] จากนั้นก็มีงานประพันธ์สำหรับวงดุริยางค์ตามมาจำนวนมาก ซิมโฟนีอีกสามบท คอนแชร์โตสำหรับ[[ไวโอลิน]] คอนแชร์โตหมายเลขสองสำหรับ[[เปียโน]] จนกระทั่งถึงผลงานเอกในช่วงบั้นปลายชีวิต นั่นก็คือบทเพลงสำหรับ[[แคลริเน็ต]]
 
งานของบรามส์ได้รับอิทธิพลหลากหลาย โดดเด่นด้วยศาสตร์แห่ง[[เคานเตอร์พ็อยนต์]]และ[[พอลิโฟนี]] ความงดงามของบทเพลงที่เขาประพันธ์อยู่ที่รูปแบบคลาสสิกที่ถูกแต่งแต้มด้วยความถวิลหาของยุคโรแมนติก แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สีสันทางดนตรีอันบรรเจิด ท่วงทำนองที่สร้างสรรค์ และจังหวะทำให้ประหลาดใจด้วยการสอดประสานกัน
 
เป็นผลงานส่วนตัวของบรามส์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ซึ่งเราอาจนึกว่าจะเข้าใจยากเมื่อแรกได้ยิน แต่เราก็จะเข้าถึงได้และขาดไม่ได้ในที่สุด