ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ยูโรปา (ดาวบริวาร)"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
Correct citation codes error |
||
บรรทัด 34:
| ใส่หลายอุณหภูมิ? (yes/no) = yes
| ชื่ออุณหภูมิ1 = พื้นผิว
| อุณหภูมิ1_ต่ำสุด = ~50 [[เคลวิน|K]]<ref name=cyclo>{{cite
| อุณหภูมิ1_เฉลี่ย = 102 K
| อุณหภูมิ1_สูงสุด = 125 K
| ใส่บรรยากาศ? (yes/no) = yes
| ความดันบรรยากาศที่พื้นผิว = 0.1 [[ปาสคาล|µPa]] (10<sup>-12</sup> [[บาร์|bar]]) <ref name="McGrathChapter">{{cite book |
}}
'''ยูโรปา''' ({{lang-en|Europa}}; {{lang-el|Ευρώπη}}) เป็น[[ดาวบริวาร]]ดวงหนึ่งของ[[ดาวพฤหัสบดี]] ค้นพบในปี ค.ศ. 1610 โดย [[กาลิเลโอ กาลิเลอี]] (เชื่อว่าในเวลาเดียวกันนั้น ไซมอน มาริอุส ก็ค้นพบด้วยเช่นเดียวกัน) ชื่อของดาวมาจากนางกษัตริย์ใน[[ตำนานเทพเจ้ากรีก|ตำนานปกรณัมกรีก]]คือ[[ยูโรปา]]ผู้ได้แต่งงานกับเทพ[[ซูส]]และได้เป็นราชินีแห่งครีต ยูโรปาเป็นดาวบริวารดวงเล็กที่สุดในบรรดา[[ดวงจันทร์ของกาลิเลโอ]]ทั้ง 4 ดวง
ยูโรปามีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3000 กิโลเมตร มีบรรยากาศที่เบาบางประกอบไปด้วย[[ออกซิเจน]]เป็นส่วนใหญ่ พื้นผิวที่เป็น[[น้ำแข็ง]]และมีความเรียบมากนี้ประกอบไปด้วยรอยแตกและเส้นริ้ว
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 [[นาซา]]ได้รายงานการตรวจพบ[[แร่ธาตุ]]ที่คล้ายกับ[[ดิน]] (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง [[ซิลิเกต|ฟิลโลซิลิเกต]]) ซึ่งปะปนอยู่กับอินทรียวัตถุบนเปลือกน้ำแข็งของยูโรปา นอกจากนี้[[กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล]]ยังตรวจพบพลูมไอน้ำคล้ายกับพลูมที่ตรวจพบใน[[เอนเซลาดัส]] ดาวบริวารของ[[ดาวเสาร์]]
ปฏิบัติการของ[[กาลิเลโอ_(ยานอวกาศ)|ยานสำรวจกาลิเลโอ]]ได้ส่งข้อมูลของยูโรปากลับมาเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าปัจจุบันยังไม่มี[[ยานอวกาศ]]ลำใดที่ลงสำรวจในดาวบริวารดวงนี้ แต่ลักษณะพิเศษที่น่าสนใจของยูโรปาก็ทำให้มันเป็นเป้าหมายของปฏิบัติการอันทะเยอทะยานหลายปฏิบัติการ [[ปฏิบัติการสำรวจดวงจันทร์น้ำแข็งดาวพฤหัส]] (JUICE) ของ[[องค์การอวกาศยุโรป]]นั้นมีกำหนดการในปี ค.ศ. 2022<ref name="selection">{{cite news|first
== การค้นพบและตั้งชื่อ ==
บรรทัด 53:
กาลิเลโอค้นพบยูโรปาและดวงจันทร์กาลิเลี่ยนดวงอื่นครั้งแรกโดยใช้[[กล้องโทรทรรศน์หักเหแสง]]กำลังขยาย 20 เท่าที่มหาวิทยาลัย[[ปาโดวา]]ในวันที่ [[7 มกราคม]] อย่างไรก็ตามกาลิเลโอยังไม่สามารถแยกไอโอกับยูโรปาได้เนื่องจากประสิทธิภาพของกล้องต่ำเกินไป ดาวบริวารทั้งสองจึงถูกบันทึกเป็นจุดแสงจุดหนึ่งเท่านั้น ไอโอกับยูโรปาถูกค้นพบว่าเป็นคนละดวงได้ในวันต่อมา<ref name="IAUMoonDiscoveries" />
ยูโรปาถูกตั้งชื่อตามคนรักของ[[ซูส]]เหมือนกับดวงจันทร์แกลิเลี่ยนดวงอื่น ซึ่งในที่นี้คนรักนั้นคือ ยูโรปา ลูกสาวของกษัตริย์แห่ง[[ไทร์_(ประเทศเลบานอน)|ไทร์]] โดยผู้ที่เสนอหลักการตั้งชื่อนี้คือ ไซมอน มาริอุส ที่เชื่อว่าน่าจะค้นพบดาวบริวารกาลิเลี่ยนทั้งสี่ด้วยเช่นกัน (แม้ว่ากาลิเลโอจะกล่าวหาว่าไซมอนเลียนแบบเขา) มาริอุสได้เสนอหลักการตั้งชื่อนี้ให้กับ [[โยฮันเนส เคปเลอร์]]<ref name="SEDS">{{cite web |url=http://web.archive.org/web/20060821060833/http://seds.lpl.arizona.edu/messier/xtra/Bios/marius.html |title=Simon Marius (January 20, 1573 – December 26, 1624) |accessdate=9 August 2007 |publisher=[[:en:University_of_Arizona|University of Arizona]] |work=Students for the Exploration and Development of Space }}</ref><ref name="Marius1614">[[
ในบทเรียน[[ดาราศาสตร์]]ยุคแรกๆ ยูโรปาถูกเรียกว่าดาวบริวารดวงที่สองของดาวพฤหัสบดี หรือ Jupiter II ส่วนชื่อยูโรปาไม่ได้ถูกพูดถึงโดยทั่วไปจนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20<ref name="marazzini">{{cite journal |last=Marazzini |first=Claudio |year=2005 |title=I nomi dei satelliti di Giove: da Galileo a Simon Marius (The names of the satellites of Jupiter: from Galileo to Simon Marius) |journal=Lettere Italiane |volume=57 |issue=3 |pages=391–407 }}</ref>
บรรทัด 59:
== การโคจรและการหมุนรอบตัวเอง ==
[[ไฟล์:Galilean moon Laplace resonance animation.gif|thumb|365px|left|ภาพเคลื่อนไหวแสดง[[การสั่นพ้องของวงโคจร]]ของดวงจันทร์ยูโรปา รวมทั้งดวงจันทร์ไอโอและดวงจันทร์แกนิมีด]]
ยูโรปา[[วงโคจร|โคจร]]รอบดาวพฤหัสบดีโดยใช้เวลาเพียงสามวันครึ่งด้วยรัศมีวงโคจรประมาณ 670,000 [[กิโลเมตร]] และมี[[ความเยื้องศูนย์กลางของวงโคจร]] เพียง 0.009 วงโคจรจึงมีลักษณะค่อนข้างกลม โดยมี[[ความเอียงของวงโคจร]]อ้างอิงจากระนาบ[[เส้นศูนย์สูตรฟ้า]]เล็กน้อย คือประมาณ 0.470 องศาเท่านั้น<ref name="datasheet">{{cite web
วงโคจรที่เบี้ยวไปเล็กน้อยของดวงจันทร์ยูโรปา เกิดจากการรบกวนทางแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์กาลิเลียนดวงอื่น ทำให้จุดที่มองเห็นดาวพฤหัสบดี ณ จุดจอมฟ้าของยูโรปาแกว่งไปเล็กน้อย เมื่อดวงจันทร์ยูโรปาเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดี แรงดึงดูดของดาวพฤหัสบดีจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยูโรปาขยายตัวเข้าหาและออกจากดาวพฤหัสบดี เมื่อยูโรปาเคลื่อนห่างจากดาวพฤหัสบดี แรงดึงดูดของดาวพฤหัสบดีจะลดลง ทำให้ยูโรปากลับมาอยู่ในสภาพที่เป็นทรงกลมกว่า นอกจากนี้ดวงจันทร์ไอโอที่ส่งอิทธิพลกับความเยื้องศูนย์กลางของวงโคจรของยูโรปาอยู่ตลอดเวลา<ref name="Showman1997">{{cite journal|doi=10.1006/icar.1996.5669|last1=Showman|first1=Adam P.|
url=http://www.lpl.arizona.edu/~showman/publications/showman-malhotra-1997.pdf | format=PDF | bibcode=1997Icar..127...93S}}</ref>ก็ทำให้เกิด[[แรงไทดัล]]ขึ้น ทั้งสองปรากฏการณ์นี้ทำให้ภายในยูโรปาเปลี่ยนแปลงและเกิดความร้อน และอาจส่งผลให้มีมหาสมุทรอยู่ในรูปของเหลวได้<ref name="Showman1997" /><ref name="geology">{{cite web | url=http://geology.asu.edu/~glg_intro/planetary/p8.htm | title=Tidal Heating | work=geology.asu.edu | archiveurl=http://web.archive.org/web/20060329000051/http://geology.asu.edu/~glg_intro/planetary/p8.htm | archivedate=2006-03-29 | deadurl=no }}</ref>
นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์รอยแตกบนพื้นผิวน้ำแข็ง อันเป็นเอกลักษณ์ของยูโรปาว่าเกิดจากการที่ดวงจันทร์ดวงนี้เคยหมุนรอบตัวเองตามแกนที่เอียงมาก่อน หากสมมติฐานนี้เป็นจริง แกนที่เคยเอียงนี้จะสามารถอธิบายลักษณะพิเศษต่างๆบนดวงจันทร์ดวงนี้ได้หลายอย่าง เช่น ร่างแหของรอยร้าวขนาดมหึมาบนยูโรปาเป็นร่องรอยของ[[ความเค้น]]ของพื้นผิวที่เกิดจากคลื่นขนาดยักษ์ของมหาสมุทรภายในดวงจันทร์ เนื่องจากการเอียงของยูโรปาส่งอิทธิพลต่อการคำนวณและวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ในพื้นผิวน้ำแข็ง, ปริมาณความร้อนที่มหาสมุทรภายในสร้างขึ้น หรือแม้กระทั่งระยะเวลาที่มหาสมุทรเป็นของเหลว พื้นผิวของดวงจันทร์จำเป็นต้องยืดออกเพื่อทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ และการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแตกนั่นเอง<ref>
== ลักษณะทางกายภาพ ==
บรรทัด 71:
=== โครงสร้างภายใน ===
เชื่อกันว่ายูโรปามีโครงสร้างชั้นนอกที่ประกอบไปด้วย[[น้ำ]]หนาประมาณ 100 กิโลเมตร (62 ไมล์) โดยที่ด้านบนของชั้นเป็นเปลือกน้ำแข็ง และมีน้ำซึ่งอยู่ในสถานะของเหลวอยู่ข้างใต้ ข้อมูลที่ถูกส่งมาจาก[[ยานอวกาศกาลิเลโอ]]เมื่อไม่นานมานี้ระบุว่ายูโรปามี[[สนามแม่เหล็กเหนี่ยวนำ]]ผ่านทางการมีปฏิสัมพันธ์กับสนามแม่เหล็กของดาวพฤหัสบดี แสดงว่ายูโรปามีโครงสร้างบางอย่างที่นำกระแสไฟฟ้าได้อยู่ใต้เปลือกชั้นนอก<ref name="Phillips 2014">{{cite journal |title=Europa Clipper Mission Concept: |journal=Eos, Transactions American Geophysical Union |date=20 May 2014 |last1=Phillips |first1=Cynthia B. |last2=Pappalardo |first2=Robert T. |volume=95 |issue=20 |page=165–167 |doi=10.1002/2014EO200002 |url=http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/2014EO200002/pdf |accessdate=2014-06-03 }}</ref> ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเป็นมหาสมุทรน้ำเค็ม เปลือกน้ำแข็งส่วนหนึ่งผ่านการหมุนมาแล้วเกือบ 80° โดยประมาณ (เกือบจะเป็นการพลิกกลับหัว) ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากหากชั้นน้ำแข็งยึดติดกับชั้นแมนเทิลอย่างแน่นหนา<ref name="Cowen2008">{{cite news |first=Ron |last=Cowen |title=A Shifty Moon |url=http://www.sciencenews.org/view/generic/id/32135/title/A_shifty_moon |work=Science News |date=7 June 2008 }}</ref> ยูโรปาน่าจะมีแกนกลางเป็น[[โลหะ]][[เหล็ก]]<ref name="Kivelson">{{cite journal |last1=Kivelson |first1=Margaret G. |
=== ลักษณะพื้นผิว ===
[[ไฟล์:PIA01295 Europa Global Views in Natural and Enhanced Colors.jpg|thumb|260px|right|สีตามธรรมชาติโดยประมาณ (ซ้าย) และสีที่ได้รับการปรับแต่งแล้ว (ขวา)]]
ยูโรปาเป็นหนึ่งในวัตถุที่เรียบที่สุดในระบบสุริยะ เนื่องจากมีลักษณะทางกายภาพขนาดใหญ่เช่นภูเขาหรืออุกกาบาตอยู่ไม่มาก<ref name="waterworld">{{cite web |url=http://teachspacescience.org/cgi-bin/search.plex?catid=10000304&mode=full |title=Europa: Another Water World? |year=2001 |accessdate=9 August 2007 |publisher=[[NASA]], Jet Propulsion Laboratory |work=Project Galileo: Moons and Rings of Jupiter }}</ref> อย่างไรก็ตาม มีทฤษฎีกล่าวว่าบริเวณ[[เส้นศูนย์สูตร]]ของยูโรปานั้นถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งที่มีลักษณะแหลมเรียกว่า เพนิเทนเทส (Penitentes) สูงราว 10 เมตร ซึ่งเกิดจากการที่บริเวณดังกล่าวมีดวงอาทิตย์อยู่ในทิศเหนือศีรษะโดยตรง น้ำแข็งจึงละลายในแนวดิ่ง<ref>[http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-21341176 Ice blades threaten Europa landing]</ref> ร่างแหของเส้นที่ตัดกันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นผิวของยูโรปาส่วนใหญ่จะเป็น[[ลักษณะแอลบีโด]] (albedo features) ที่ชี้ให้เห็นถึงภูมิประเทศที่ต่ำ ยูโรปามีหลุมอุกกาบาตอยู่ไม่มากเพราะพื้นผิวของมันค่อนข้างแข็งแรงและยังใหม่อยู่<ref name="Arnett1996">
ขณะนี้ยังไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถอธิบายถึงลักษณะพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปาทั้งหมดได้โดยสมบูรณ์<ref name="Astrobio2007">{{cite web |url=http://www.astrobio.net/exclusive/603/high-tide-on-europa |title=High Tide on Europa |year=2007 |accessdate=20 October 2007 |publisher=astrobio.net |work=Astrobiology Magazine }}</ref>
ระดับการแผ่รังสีบนพื้นผิวของยูโรปามีค่าเทียบเท่ากับการได้รับปริมาณรังสี 5400 [[ซีเวอร์ต|มิลลิซีเวอร์ต]] (540 [[เรม]]) ต่อวัน<ref name="ringwald">{{cite web |date=29 February 2000 |title=SPS 1020 (Introduction to Space Sciences) |publisher=California State University, Fresno |
=== [[ลิเนีย|เส้นบนพื้นผิวดาว]] ===
[[ไฟล์:europa g1 true.jpg|left|thumb|ลิเนียบนดวงจันทร์ยูโรปาโดยยานอวกาศกาลิเลโอ]]
[[ไฟล์:PIA01092 - Evidence of Internal Activity on Europa.jpg|thumb|260px|ภาพโมเสกจากยานอวกาศกาลิเลโอแสดงให้เห็นถึงลักษณะของลิเนีย, เนิน, หลุมบ่อ และภูมิประเทศที่ยุ่งเหยิงชื่อ โคนามารา เคออส (Conamara Chaos)]]
ลักษณะทางพื้นผิวที่โดดเด่นที่สุดบนยูโรปาคือ ''ลิเนีย'' (lineae) หรือ ลายเส้นยาวจำนวนมากที่ครอบคลุมไปทั่วดาว จากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดพบว่าขอบของรอยแตกมีการเคลื่อนที่อย่างสัมพันธ์กัน แถบเส้นที่มีขนาดใหญ่ที่มีระยะทางมากกว่า 20 กิโลเมตร (12 ไมล์) มักจะเกิดริ้วลายที่มืดขนานกันไป<ref name="Geissler1998">{{cite
</ref> คล้ายกันกับการเกิดของ[[เทือกเขากลางสมุทร|เทือกเขาสมุทร]]บนโลก จุดพื้นที่สีคล้ำราบเรียบอาจเกิดขึ้นได้เมื่อน้ำที่เป็นของเหลว ถูกปลดปล่อยทะลุผ่านพื้นผิวเมื่อน้ำแข็งมีอุณหภูมิสูงขึ้นและแตกออก พื้นที่ลักษณะขรุขระยุ่งเหยิงปะทุนูนขึ้น (เรียกว่าพื้นที่ของ "ความโกลาหล"; โคโนมารา เคออส) จะถูกสร้างขึ้นจากแผ่นเปลือกที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยที่มีสีเข้มหลายชิ้นก่อตัวเรียงเป็นชั้น ๆ จะปรากฎเหมือนภูเขาน้ำแข็งในทะเลเยือกแข็ง<ref name="Goodman">{{cite journal|doi=10.1029/2003JE002073|title=Hydrothermal plume dynamics on Europa: Implications for chaos formation|journal=Journal of Geophysical Research|volume=109|issue=E3|pages=E03008|year=2004|last1=Goodman|first1=Jason C.|url=http://www-paoc.mit.edu/paoc/papers/europa_plume.pdf|bibcode=2004JGRE..109.3008G|archiveurl=https://web.archive.org/web/20120308061644/http://www-paoc.mit.edu/paoc/papers/europa_plume.pdf|archivedate=8 March 2012}}
</ref>
== ดูเพิ่ม ==
เส้น 93 ⟶ 94:
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
{{คอมมอนส์}}
* [http://www.jpl.nasa.gov/galileo/europa/ Europa, a Continuing Story of Discovery at NASA/JPL]
* [http://solarsystem.nasa.gov/planets/profile.cfm?Object=Jup_Europa Europa Profile] ข้อมูลจากโครงการสำรวจระบบสุริยะของ[[องค์การนาซา]]
เส้น 98 ⟶ 100:
{{ดาวบริวารของดาวพฤหัสบดี}}
{{ดาวพฤหัสบดี}}
{{Authority control|GND=4456671-2|LCCN=sh/97/04538|VIAF=241200489}}
[[หมวดหมู่:ดาวบริวารของดาวพฤหัสบดี]]
[[หมวดหมู่:วัตถุทางดาราศาสตร์ที่ค้นพบในปี พ.ศ. 2153]]
|