ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ซุนนี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Ris24 (คุย | ส่วนร่วม)
/* อ้างอิง
ป้ายระบุ: ผู้ใช้ใหม่เพิ่มลิงก์ไปยังเว็บอื่น การแก้ไขแบบเห็นภาพ
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
บรรทัด 17:
และอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) ของกลุ่มดังกล่าวถือเป็นอุตริกรรมที่ทำให้ตกศาสนา (บิดอะฮฺมุกัฟฟิเราะฮฺ) ไม่อนุญาตให้อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺละหมาดตามหลังกลุ่มชนดังกล่าว และการละหมาดตามหลังพวกเขาใช้ไม่ได้
 
ดังน้ันน้น ผู้ใดกล่าวหาว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นพวกมุญัสสิมะฮฺ หรือ มุชับบิฮะฮฺ หรือมีความเชื่อเช่นเดียวกับพวกยะฮูดียฺ ในส่วนสาระสำคัญที่ขัดกับหลักความเชื่อในศาสนาอิสลามที่เด็ดขาดชัดเจนด้วยตัวบทจากอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ การละหมาดตามหลังพวกวะฮฺฮาบียฺของบุคคลผู้นั้นย่อมใช้ไม่ได้ เพราะหากพวกวะฮฺฮาบียฺมีความเชื่อเช่นนั้นจริงตามคำกล่าวหาของผู้นั้น ย่อมแสดงว่าพวกวะฮฺฮาบีมิใช่มุสลิม ผลที่ตามมาก็คือการละหมาด 5 เวลาของผู้ที่กล่าวหาและการละหมาดวันศุกร์รวมถึงวันอีดทั้งสองของผู้ที่กล่าวหาตามหลังอิมามมัสญิดอัล-หะรอมทั้งสองซึ่งเป็นวะฮฺฮาบียฺใช้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง
 
การไปเยี่ยม (ซิยาเราะฮฺ) สุสานของคนศอลิหฺหรือโต๊ะวะลียฺและการขอดุอาอฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่สุสานหรือมะก็อมของโต๊ะวะลียฺนั้นเป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้ตาม ศาสนบัญญัติ ในตำราสิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอฺของอิมามอัซ-ซะฮฺบียฺ (ร.ฮ.) เล่มที่ 17 หน้า 755 ระบุว่า : และการขอดุอาอฺนั้นเป็นสิ่งที่ถูกตอบรับ (มุสตะญาบ) ณ ที่สุสานของบรรดานบีและบรรดาวะลียฺ และในสถานที่อื่นๆ ทั่วไป
บรรทัด 251:
" ได้บอกเล่าให้ฉันทราบ โดยท่าน เร๊าห์ บิน อัลฟะร๊อจ ซึ่งได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่าน อัลหุซัยน์ บิน อัศศ๊อบบาหฺ อัซซะฟะรอนีย์ กล่าวว่า ฉันได้ถามอิมามอัช-ชาฟิอีย์ เกี่ยวกับการอ่านอัลกุรอาน ที่กุบูร ดังนั้น ท่านอัช-ชาฟิอีย์ตอบว่า "การอ่านอัลกุรอาน ที่กุบูรนั้น ไม่เป็นไร" ดู หนังสือ อัลอัมรฺ บิลมะอฺรูฟ วันนะฮ์ อะนิลมุงกัร หน้า 126
 
และบรรดาอุลามาอ์ ชั้นนำ ในมัซฮัลอัช-ชาฟิอีย์ ได้กล่าวยืนยันว่า มีตัวบทระบุ อย่างชัดเจน จากอิมามชาฟิอีย์ ว่า อนุญาติอนุญาตให้อ่านอัลกุรอาน ที่กุบูร ได้ อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งอิมาม อันนะวาวีย์ ได้กล่าวยืนยันไว้ว่า อิมามอัชชาฟิอีย์ ได้กล่าวระบุ (การอนุญาตอ่านอัลกุรอานที่กุบูร) ไว้ใน หนังสืออุมมฺ" (ดู หนังสือมัจญฺมั๊วะ เล่ม 5 หน้า 286) และอิมามอิบนุหะญัรอัลฮัยตะมีย์ (ดู อัลฟาตาวา อัลกุบรอ เล่ม 2 หน้า 27)
 
และหากเรากลับไปด ูหนังสืออัลอุมมฺของอิมามอัช-ชาฟิอีย์ จากเรื่อง "อัลญะนาอิซฺ" ในบทย่อยเกี่ยวกับเรื่อง "จำนวนการห่อมัยยิด" ซึ่งท่านอิมามอัช-ชาฟิอีย์ กล่าวระบุไว้ว่า "ฉันรัก หากมีการอ่านอัลกุรอาน ที่กุบูร และมีการขอดุอาอ์ ให้แก่มัยยิด (ผู้ตาย) และในเรื่องดังกล่าวนั้น ไม่มีการขอดุอาอ์ ที่ถูกกำหนดเวลา เอาไว้ตายตัว (คือขอดุอาให้ผู้ตายได้ทุกเวลา)"
บรรทัด 277:
ท่านอิบนุมุฟลิหฺ กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมุบเดี๊ยะอ์ ชัรหฺ อัลมุกเนี๊ยะอ์ ว่า " การอ่านอัลกุรอาน ที่กุบูร ไม่เป็นมักโระฮ์ ตามสองสายรายงาน ที่ซอฮิหฺยิ่ง ที่รายงานจากท่านอิมามอะหฺมัด และ นี้ก็คือ มัซฮับ (ของอิมามอะหฺมัด)" ดู เล่ม 2 หน้า 281
 
คำพูดต่างๆ ที่ถูกรายงาน เกี่ยวกับการอ่านอัลกุรอาน ที่กุบูร ท่าน อัซฺซ่ะฮ่ะบีย์ ได้กล่าว ประวัติท่าน อบูญะฟัร อัลฮาชิมีย์ อัลหัมบาลีย์ ชัยค์ มัซฮับอัลหะนาบิละฮ์ (เสียชีวิตปี 470) ว่า " และเขาได้ถูกฝัง เคียงข้างกุบูรของท่านอิมามอะหฺมัด , และบรรดาผู้คน ได้ประจำอยู่ที่กุบูรของเขา เป็นเวลานาน จนกระทั้งกระทั่งกล่าวกันว่า อัลกุรอานได้ถูกอ่านจบ ที่กุบูรของเขา ถึง 10000 จบด้วยกัน" ดู หนังสือ ซิยัร อะลาม อัลนะบะลาอ์ เล่ม 18 หน้า 547
 
ท่าน อัซฺซะฮะบีย์ ได้กล่าว ถึงท่าน อัลค่อฏีบ อัลบุฆดาดีย์ ว่า " ท่านอัลคอฏีบ เป็น อิมามที่โดดเด่น เป็นอัลลามะฮ์ เป็นมุฟตี เป็นนักจำหะดิษ ที่เชี่ยวชาญ เป็นนักหะดิษแห่งสมัยนั้น.....ท่านอิบนุ ค๊อยรูน กล่าวว่า ท่านอัลคอฏีบ ได้เสียชีวิตในช่วงสาย....ได้มีบรรดานักปราชญ์ฟิกห์ และบรรดาผู้คนมากมาย ได้ทำการติดตาม ส่งญะนาซะฮ์ท่านอัลค่อฏีบ และแบกไปยัง ญาเมี๊ยะอ์ อัลมันซูร โดยที่มีผู้คน กล่าวประกาศก้องว่า นี้คือผู้ที่ปกป้องการโกหก ต่อท่านนบี (ซ.ล.) และนี้คือผู้ที่จำหะดิษ ของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) และได้ถูกอ่านอัลกุรอาน หลายจบด้วยกัน ที่กุบูรของเขา" ดู หนังสือ ซิยัร อะลาม อัลนะบะลาอ์ เล่ม 13 หน้า 584
บรรทัด 285:
ท่านอัซฺซะฮะบีย์ กล่าวถึงประวัติของ ท่านอิบนุ อัลคอซิบะฮ์ ว่า " เขาคือ ชัยค์ อิมาม นักหะดิษ นักจำหะดิษ เป็นผู้ที่พูดจริง เป็นแบบอย่าง และศิริมงคล แก่บรรดานักหะดิษ...เขาได้เสียชีวิต ในวันที่ 2 เดือนรอบิอุลเอาวัล ปี 489 ฮ.ศ. ญะนาซะฮ์ของเขานั้น เป็นที่โดดเด่น และอัลกุรอาน ได้ถูกอ่านจบ ที่กุบูรของเขานั้น กับหลายจบด้วยกัน" ดู หนังสือ ซิยัร อะลาม อัลนะบะลาอ์ เล่ม 14 หน้า 176
 
จากประวัติของบรรดานักปราชน์หะดิษ ที่ได้หยิบยกกล่าวมาแล้วนั้น เราจะพบว่า การกระทำของพวกเขา และบรรดาอุลามาอ์ ที่อยู่ในแต่ละสมัย ของพวกเขานั้น ได้ทำการอ่านอัลกุรอาน ที่กุบูรกันหลายๆ จบด้วยกัน แม้กระทั้งกระทั่งนักหะดิษที่มีคุณธรรม บรรดาผู้คน ก็ทำการอ่านอัลกุรอาน ให้กับพวกเขา หลายจบด้วยกัน จนกระทั้งกระทั่งถึง 10000 จบ ซึ่งการกระทำของพวกเขาเหล่านั้น เป็นการกระทำ ของผู้ที่ไม่เข้าใจศาสนาอิสลาม กระนั้นหรือ? และบรรดาพ่อแม่ของเรา ก็ไม่ใช่จะเป็นผู้ที่มีความรู้มากนัก รู้ศาสนาเพียงแค่เอาตัวรอดได้ เท่านั้นเอง และเมื่อพวกเขาได้เสียชีวิต พวกเราไม่มีสิทธิ์ ที่จะอ่านอัลกุรอาน เพื่อุทิศเป็นผลบุญ ให้พวกบิดามารดาของพวกเราเลย กระนั้นหรือ? ทั้งที่บรรดาอุลามาอ์ ผู้ทรงความรู้ ยังถูกอ่านให้ 10000 จบ แล้วบิดามารดาของเรานั้น ไม่ต้องการความช่วยเหลือ มากไปกว่าบรรดาอุลามาอ์ กระนั้นหรือ? การอ่านอัลกุรอานให้แก่มัยยิด ในช่วง 7 วันนั้น เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ เนื่องจากมัยยิด กำลังถูกมะลาอิเกาะฮ์สอบถาม ในช่วงนั้น ดังนั้น การทำบุญเลี้ยงอาหาร เพื่อเป็นทานซอดาเกาะฮ์ การอ่านอัลกุรอาน และขออุดาอ์อุทิศส่วนกุศล ไปให้ ในช่วง 3 วัน หรือ 7 วันนั้น ย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ตาย ส่วนประเด็นข้อขัดแย้ง ที่ว่า ผลบุญจะถึงผู้ตาย หรือไม่นั้น? เราก็ต้องพูดกันด้วยหลักฐาน และเราจะรู้อย่างชัดเจน เมื่อเราได้ตายไปแล้ว แต่มันก็คงเป็นเรื่อง ที่น่าเสียดาย ที่คนตายไปแล้ว จะกลับมาบอกว่า ผลบุญนั้นถึงฉัน หรือไม่ ก็ไม่ได้? ซึ่งเหล่านี้ จึงต้องอาศัยหลักฐาน และหลักการที่ชัดเจน จึงจะรู้ถึงซึ่งความเป็นจริง
 
ท่าน อัลหาฟิซฺ อิบนุ อัลร่อญับ กล่าวว่า " ได้รายงานโดยท่านญะฟัร อัล-คุลดีย์ เขากล่าวว่า ได้เล่ามให้เราทราบ โดยอัลอับบาส บิน ยะกูบ บิน ซอลิหฺ อัลอัมบารีย์ ว่า ฉันได้ยินบิดาของฉันกล่าวว่า ส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้มีคุณธรรม (ซอลิฮีน) ได้ฝันเห็นบิดาของเขา ดังนั้น บิดาของเขา ได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้ลูกของฉัน เหตุใดพวกท่าน ถึงตัดขาดการฮะดียะฮ์ มอบผลบุญไปถึงเรา เขากล่าว (กับบิดา) ว่า โอ้บิดาของฉัน บรรดาผู้ตายนั้น รู้ถึงการฮะดียะฮ์ (การมอบผลบุญให้) จากคนเป็นด้วยหรือ? บิดาของเขากล่าวว่า โอ้ลูกเอ๋ย หากแม้นว่า ไม่มีคนเป็นทั้งหลาย แน่แท้ว่า บรรดาผู้ที่ตาย ก็จะพินาศ" ดู อิตหาฟ อัศศาดะฮ์ อัลมุตตะกีน ของท่านอัซซะบีดีย์ เล่ม 10 หน้า 372
บรรทัด 305:
* '''มัซฮับชาฟิอีย์''' เป็นที่นิยมของพลเมืองมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เยเมน และอียิปต์ เป็นต้น
* '''มัซฮับฮัมบะลีย์'''  นั้นถือเป็นมัซฮับอย่างเป็นทางการในประเทศซาอุดิอาระเบียและมีผู้นิยมน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับมัซฮับอื่น ๆ
*4 สำนักคิด(มัซฮับ) 1. มัซฮับหะนะฟีย์ ผู้ให้กำเนิดสำนักคิดนี้ คืออิหม่ามอบูหะนีฟะฮฺ[9] ซึ่งท่านดำรงชีวิตอยู่ใน 2 ยุค สมัยของราชวงค์อุมะวียะฮฺและสมัยราชวงค์อับบาสียะฮฺ ในสมัยของราชวงค์อุมะวียะฮฺ เขาถูกเสนอให้ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาแห่งนครกูฟะฮฺ แต่เขาปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอดังกล่าว อันเนื่องมาจากท่านไม่พอใจต่อการปกครองของราชวงค์นี้ ผลการปฏิเสธดังกล่าวทำให้เขาถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีด้วยแซ่วันละ 10 ครั้ง จนครบ 110 ครั้ง ถึงแม้ว่าอบู หะนีฟะฮฺถูกเฆี่ยนตี แต่เขาก็ยังปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งดังกล่าว จนกระทั่งในเวลาต่อมาได้รับการปล่อยตัว หลังจากนั้นไม่นาน อบู หะนีฟะฮฺ ถูกเสนอให้ท่านรับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกองทุนทรัพย์สิน แต่เขาก็ปฏิเสธอีก และเขาเห็นว่าหากท่านดำรงชีวิตอยู่ในอิรักต่อไป คงไม่มีความปลอดภัย ก็เลยตัดสินใจอพยพไปสู่นครมักกะฮฺ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในอิรัก อำนาจการปกครองได้เปลี่ยนจากราชวงค์อุมะวียะฮฺเป็นราชวงค์อับบาสียะฮฺ คอลีฟะฮฺคนที่สองแห่งราชวงศ์นี้คือ อบู ญะฟัร อัล-มันซูร ได้ให้อบู หะนีฟะฮฺแสดงความเห็นต่อการปกครอง เขาจึงได้วิพากษ์วิจารณ์งานบริหารด้านต่าง ๆ การแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา จนสร้างความไม่พอใจแก่คอลีฟะฮฺอบู ญะฟัร อัล-มันศูร เป็นอย่างมาก ในที่สุดอบู ญะฟัร ก็ได้ใช้วิธีเดียวกันกับคอลีฟะฮฺในราชวงค์ก่อน โดยได้นําตัวอบูนำตัวอบู หะนีฟะฮฺจากนครกูฟะฮฺไปยังนครแบกแดดแล้วเสนอตำแหน่งผู้พิพากษาให้แต่เขา ปฏิเสธ ด้วยเหตุดังกล่าวอบู ญะฟัรได้สั่งให้ลงโทษอบู หะนีฟะฮฺด้วยการคุมขังท่านไว้โดยไม่มีกำหนด จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 767( ฮ . ศ . 150) มีอายุได้ 70 ปี กล่าวกันว่า เขาถูกวางยาพิษที่ละเล็กที่ละน้อยจนจบชีวิตในท้ายที่สุด อบู หะนีฟะฮฺเป็นปราชญ์ที่เคร่งครัด และเลือกปฏิบัติในสิ่งที่มีหลักฐานที่ชัดเจน เนื่องด้วยผู้ปกครองยุคนั้นต่างแสดงอำนาจบาตรใหญ่ แต่อบู หะนีฟะฮฺกลับปฏิบัติโดยไม่เกรงกลัวต่ออำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น ความรู้และความเข้าใจในกฎหมายอิสลามของอบู หะนีฟะฮฺ ได้รับความนิยมมากจนก่อตัวเป็นสำนักกฎหมายอิสลามขึ้นมาภายหลัง เรียกว่า มัซฮับหะนะฟียฺ สำนักคิดนี้ได้วางหลักเกณฑ์การวินิฉัยกฎหมายอิสลามโดยการพิจารณาแหล่งที่มาดังนี้ 1.อัลกุรอ่าน 2.วัจนะศาสดา 3.มตินักปราชญ์ 4.การเทียบเคียง 5.อิสเตียะซาน ผู้สืบทอดสำนักคิดของท่านสำคัญๆได้แก่ อบูยูซุฟ ยะอ์กูบ บิน อิบรอฮีม, มุฮัมมัด บิน อัลหะสัน อัชชัยบานีย์, ซุฟัร บิน ฮุซัยน์ บิน ก๊อยส์และ อัลหะสัน บินซิยาด อัลลุลุอีย์ เป็นต้น ตำราอ้างอิงสำคัญในสำนักคิดนี้เช่น อัลครอจ และ อิคติลาฟ อบีหะนีฟะฮ์ วะ อิบนุ อบีลัยลา เขียนโดย อบูยูซุฟ ตำรา อัล รอด อลา อะหลีมาดีนะฮ์ เขียนโดยมุฮัมมัด บิน อัลหะสัน อัชชัยบานีย์ ตำรา อัลกาฟีย์ เขียนโดยอบู อัลฟัคล์ เป็นต้น 2. มัซฮับมาลิกีย์ ผู้ให้กำเนิดสำนักคิดนี้ อิหม่ามมาลิก[10] ท่านเริ่มการศึกษาด้วยการท่องจำอัลกุรอาน หลังจากนั้นก็เริ่มท่องจำหะดีษ ท่านได้ให้ความสำคัญกับหะดีษและวิชากฎหมายอิสลาม มาลิกได้ศึกษากับอาจารย์รวมทั้งสิ้น 900 คน อาจารย์ที่อิหม่ามมาลิกได้ศึกษาอยู่กับท่านนานที่สุดคือ อับดุร เราะหฺมาน อิบนฺ หุรมุก อัลอะอฺรอจ ซึ่งอิหม่ามาลิกใช้เวลาในการศึกษานานถึง 7 ปี มาลิกได้ใช้ชีวิตที่นครมาดีนะฮฺเป็นเวลานานพอสมควรและได้ทำการสอนหนังสือที่ นั้น ดังนั้นเขาจึงมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก และศิษย์ของมาลิกที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดก็คืออัลชาฟีอียฺ มาลิกได้รับถูกทรมานอย่างหนักในสมัยของคอลีฟะฮอบูญะฟัร อัล-มันซูรแห่งราชวงค์อับบาสียะฮฺ สาเหตุที่ท่านถูกทรมานนั้นมีหลายบันทึกด้วยกัน บันทึกหนึ่งรายงานรว่ามาลิกได้บันทึกหะดีษที่ว่า “ผู้ถูกบังคับนั้นไม่ทำให้การกล่าวหาอย่าร้างภรรยาของเขามีผล” แต่ อบู ญะอฺฟัรอัลมันศูรไม่ต้องการให้หะดีษนั้นถูกบันทึกไว้เนื่องจากเกรงว่า ประชาชนจะไม่ให้การสนับสนุนคอลีฟะฮฺ หากประชาชนได้รับหะดีษบทนี้ เพราะหะดีษดังกล่าวจะเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการอ้างอิงอาจจะทำให้คอลีฟะฮมีผู้สนับสนุนน้อยลง มาลิกเป็นปราชญ์ที่ตรงไปตรงมา เขาไม่ยินยอมและยืนยันที่จะให้หะดีษนี้ถูกบันทึกไว้ ทำให้คอลีฟะฮฺไม่พอใจจึงต้องตัดสินลงโทษเขา ด้วยการเฆี่ยนตี มาลิกเสียชีวิตเมื่อปีค.ศ. 796 (ฮ.ศ .179) มีอายุได้ 83 ปี หลังการจากไปของเขาได้มีผู้สืบทอดสำนักคิดด้านกฎหมายที่เขาได้วางรากฐานไว้ จนก่อตัวเป็นสำนักใหญ่เรียกว่า มัซฮับ มาลิกีย์ สำนักคิดนี้ได้วางหลักเกณฑ์การวินิฉัยกฎหมายอิสลามโดยการพิจารณาแหล่งที่มาดังนี้ 1.อัลกุรอ่าน 2.วัจนะศาสดา 3.มตินักปราชญ์ 4.การเทียบเคียง 5.ข้อปฎิบัติชาวมดีนะห์ปฏิบัติชาวมดีนะห์ ผู้สืบทอดสำนักคิดของท่านสำคัญๆได้แก่ อับดุรรอมาน บิน อัลกอเส็ม อัลอะตีกีย์, อับดุลลอฮฺ บินวาฮับ บินมุสลิม , อัชฮับ บินอับดุลอาซิซ, อับดุลลอฮฺ บินอัลหะกัม และ มุฮัมมัด บินอับดุลลอฮฺ บินอัลหะกัม เป็นต้น ตำราอ้างอิงสำคัญๆในสำนักคิดนี้ได้แก่ อัลมุเดาวินะฮ์ อัลกุบรอ ของอิหม่ามมาลิก อัลมุนตะกอ ชัรฮ์ อัลมุวัฎเฎาะ โดยอิหม่ามอัลบาญี ชาวสเปน อัลมุก๊อดดีมาต โดยอิบนุรุชดี อัลกุรตูบีย์ บิดายะห์ อัลมุจตาฮิด ดดยอิหม่ามอิบนุรุชดี อัลฮาฟีด เป็นต้น 3. มัซฮับชาฟิอีย์ ผู้ให้กำเนิดสำนักคิดนี้ คืออิหม่ามชาฟิอีย์ ท่านเกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจนแต่ท่านเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงมากถึง แม้จะเติบโตในครอบครัวที่ยากจน ท่านต้องเป็นกำพร้านับตั้งแต่วัยเยาว์ เขาจึงได้เติบโตขึ้นท่ามกลางความแร้นแค้นแม้แต่ในวัยศึกษา เขาเป็นผู้มีความสามารถและมีมันสมองที่ดีเฉลียวฉลาด เขาสามารถท่องจำอัลกุรอ่านตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ยังได้ท่องจำหะดีษและจดบันทึกหะดีษไว้เป็นจำนวนมาก และมีความชำนาญด้านภาษาอาหรับ ต่อ มาก็มีผู้ชักชวนท่านให้ไปศึกษาวิชาการอิสลามโดยเฉพาะอย่างยิ่งทาง ด้านกฎหมายอิสลาม ท่านจึงได้เริ่มศึกษาด้านนี้ที่นครมักกะฮจนได้รับความรู้อย่างมากมาย จนกระทั่งมุสลิม อิบนฺ คอลิด มุฟตียฺ(ผู้พิพากษา)แห่งนครมักกะฮได้อนุญาตให้ท่านออกฟัตวา(ข้อชี้ขาดทางศาสนา)ได้แต่ท่านยังไม่พอใจในความรู้ของท่าน เขาจึงได้พยายามมุ่งมั่น ในการศึกษาค้นคว้าต่อไป และเขาได้เดินทางไปศึกษาจากอิหม่ามมาลิกที่นครมะดีนะฮฺ จนกระทั่งอิหม่ามมาลิกเสียชีวิตไป นอกจากนี้เขายังได้ศึกษาจากครูอาจารย์อีกจำนวนมาก ท่านมีลูกศิษย์มากมาย ศิษย์คนสำคัญของท่านที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ อิหม่ามอะหฺมัด อิบนฺ หันบัล ท่านสิ้นชีวิตในปี ค.ศ. 820 (ฮ.ศ . 204 ) รวมอายุได้ 54 ปี แนวคิดด้านกฎหมายอิสลามของท่านมีผู้ดำเนินตามเป็นจำนวนมาก จนก่อตัวเป็นสำนักกฎหมายสำคัญ เรียกว่า มัซฮับ ชาฟิอีย์ สำนักคิดนี้ได้วางหลักเกณฑ์การวินิฉัยกฎหมายอิสลามโดยการพิจารณาแหล่งที่มาดังนี้ 1.อัลกุรอ่าน 2.วัจนะศาสดา 3.มตินักปราชญ์ 4.การเทียบเคียง ผู้สืบทอดสำนักคิดของท่านสำคัญๆได้แก่ ยูซุฟ บิน ยะหยา อัลบุวัยตีย์, อิสมาอีล บิน ยะหหยา อัลมุซะนีย์ และ อัรรอเบียะ บินสุไลหมาน อัลมุรอดีย์ชฮับ เป็นต้น ตำราอ้างอิงสำคัญๆในสำนักคิดนี้นอกจาก อัลอุม และอัรริซาละห์ของอิหม่ามชาฟิอีย์ได้แก่ อัลมุฮัซซับ ของอิหม่ามอัชไชรอซีย์ มุฆนีย์ อัลมุหตาจ ของอัชชัรบีนีย์ อัลคอเตบ หนังสือ นีฮายาตุลมุหตาจ ของชัยค์รอมลี เป็นต้น 4. มัซฮับฮัมบาลีย์ ผู้ให้กำเนิดสำนักคิดนี้อิหม่ามชาฟิอีย์อิหม่าม อะหฺมัด อิบนุฮัมบัล[12] ท่าน เกิดในกรุงแบกแดด ในวันที่ 20 เดือนเราะบิอุล เอาวัล ฮ.ศ. 164 (ธันวาคม ค.ศ. 780) ชีวิตของท่าน ได้เติบโตขึ้นในแวดวงวิชาการ โดยท่องจำอัลกุรอานได้ทั้งเล่มตั้งแต่เยาว์วัย และศึกษากฎหมายอิสลาม หะดีษ และไวยากรณ์อาหรับในนครแบกแดด จากนั้นเข้าร่วมกลุ่มศึกษาของอบู ยูสุฟ สหายคนสำคัญของอบู หะนีฟะฮฺ ตั้งแต่อายุ 15 ปี เป็นต้นมา เขาได้อุทิศตัวให้กับการศึกษาหะดีษ ทำให้เขาต้องออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าอิหร่าน คอรอซาน หิญาซ เยเมน ซีเรีย อิรัก และแม้แต่มัฆริบ(โมร็อคโคปัจจุบัน) เพื่อเสาะหาความถูกต้องของหะดีษ และท่านยังได้ไปทำฮัจญ์ที่มักกะฮฺ 5 ครั้งด้วยกัน อาจารย์ของท่าน ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ อิหม่ามชาฟิอีย์ ซึ่งท่านได้ศึกษากับอิหม่ามซาฟีอีเป็นครั้งแรกที่นครมักกะฮฺ เมื่ออิบนฺ ฮัมบัล ไปบำเพ็ญฮัจญ์ที่นั้นซึ่งในขณะนั้นอิหม่ามซาฟีอีกำลังสอนอยู่ในมัสยิดฮะรอม และท่าน ยังได้ไปศึกษากับอิบรอฮีม อิบนฺ ซะอด์ ยะฮยา อัลก็อฏฏอน บทบาทสำคัญอันโดดเด่นของท่าน คือการยืนหยัดเพื่อสัจธรรมและการฟื้นฟูอิสลาม การยืนหยัดของท่านนำไปสู่การถูกทดสอบอย่างมากมาย โดยเฉพาะเมื่อท่านขัดแย้งกับเคาะลีฟะฮฺแห่งราชวงศ์อับบาซียะฮฺ ตั้งแต่สมัยของเคาะลีฟะฮฺมะมูนจนถึงสมัยเคาะลีฟะฮฺอัลวาษิก ท่านเป็นปราชญ์ผู้นำด้านกฎหมายอิสลามคนสำคัญอีกคนหนึ่ง สำหรับแนวกฎหมายอิสลามของท่านมีผู้ปฏิบัติตามน้อยกว่าสามสำนักใหญ่ แต่ก็มีผู้ปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่องมาตลอดประวัติศาสตร์ เรียกสำนักนิติศาสตร์ของเขาว่า มัซฮับ ฮัมบะลีย์ สำนักคิดนี้ได้วางหลักเกณฑ์การวินิฉัยกฎหมายอิสลามโดยการพิจารณา 5 แหล่งที่มาดังนี้คือ 1.นัศศ์ หมายถึงตัวบทของอัลกุรอ่านและวัจนะศาสดา 2.ฟัตวาของศอฮาบะฮ์ หมายถึงคำวินิจฉัยที่เกิดจากสหายของท่านศาสดา 3. หากศอฮาบะฮ์มีหลายทัศนะต่อปัญหาเดียว ท่านก็จะเลือกทัศนะที่ใกล้เคียงกับนัศศ์มากที่สุด 4. หะดิษมุรสัล หมายถึงวัจนะศาสดาที่ผู้รายงานมิใช่สหายของศาสดากล่าวคือ ผู้ที่อ้างว่าเป็นคำพูดของศาสดา แต่บุคคลผู้อ้างไม่ได้เป็นคนที่เห็นท่านศาสดานั้นเอง
 
<br />
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/ซุนนี"