ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 33:
พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระบรมเชษฐาหลายประการ อาทิ ทรงจะตรวจข้อราชการจากเสนาบดีกรม กองต่างๆก็ที่จะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมานก่อนทุกครั้ง
 
ในรัชกาลที่ 1 ย้อนไปสมัยพระเจ้าปดุงทรงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระชรามาก และ[[สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท]]เสด็จสวรรคตแล้ว จึงคิดจะขยายอำนาจเข้ามาเขตสยามประเทศ พระเจ้าปดุงจึงให้อะเติงหวุ่นเป็นแม่ทัพลงมาเกณฑ์พลที่เมืองเมาะตะมะเตรียมตีไทยเป็นการใหญ่ การเตรียมไม่ได้ผลสมคาดจึงได้ระงับการมาตีไทยไว้ก่อนกอปรกับกรุงรัตนโกสินทร์ผลัดแผ่นดิน จากนั้นพม่าจึงคิดมาตีหัวเมืองชายทะเลอีกครั้ง การมาตีสยามครั้งนี้อะเติงหวุ่นไม่ได้มาเองเพียงแต่จัดทัพให้ทัพบกเข้าตีเมืองชุมพรและเมืองไชยา ทัพเรือตีเมืองตะกั่วป่าและเมืองตะกั่วทุ่งแล้วเข้าล้อมเมืองถลาง 27 วัน จึงเข้าตีเมืองถลางได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นแม่ทัพยกไปทางกาญจนบุรีเพื่อสกัดทัพพม่า แต่การข่าวการศึกแจ้งมาภายหลังว่าทัพพม่ามิได้เข้ามาทางกาญจนบุรี กรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงยกทัพลงไปบัญชาศึกที่ทางใต้แทนจนทัพกรุงรัตนโกสินทร์ตีทัพพม่าแตกพ่ายกลับไปหมด ผลของการสงครามคือกรุงรัตนโกสินทร์ได้เมืองถลางคืนมา แต่ยับเยินเพราะถูกพม่าเผา นับเป็นการสงครามระหว่างไทยและพม่าครั้งสุดท้ายในสมัยพระเจ้าปดุง
 
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงจัดการกับหัวเมืองทางใต้ใหม่คือเมือง พังงา เมื่อ พ.ศ. 2352 ต่อมาใน พ.ศ. 2357 ทรงเป็นแม่กองตั้งเมืองใหม่เป็นเมืองด่านหน้าทางทะเล พระราชทานชื่อว่า '''[[นครเขื่อนขันธ์]]''' นอกจากนั้นยังทรงปฏิสังขรณ์วัดเก่า 2 วัด คือ วัดลิงขบ พระราชทานชื่อว่า[[วัดบวรมงคล]] และวัดเสาประโคนพระราชทานชื่อว่า[[วัดดุสิดารามวรวิหาร]] และทรงสร้างวัดใหม่ชื่อว่า[[วัดทรงธรรม]]