ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โอมาร์ แบรดลีย์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Matable (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Matable (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 44:
เขาเกิดในแรนดอล์ฟคันทรี, [[รัฐมิสซูรี]] แบรดลีย์ทำงานเป็นช่างหม้อต้มน้ำ(boilemaker) ก่อนจะเข้าไปเรียนที่สถานศึกษาวิชาทหารสหรัฐที่เวสต์พอยต์ เขาจบการศึกษาจากสถานศึกษาในปี ค.ศ. 1915 พร้อมกับ[[ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์]] ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของ"ระดับชั้นดาวที่ตกลงมา"(the class the stars fell on) ในช่วง[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] แบรดลีย์ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องเหมืองแร่ทองแดงใน[[รัฐมอนแทนา]] หลังสงคราม แบรดลีย์ได้สอนหนังสือที่เวสต์พอยต์และทำหน้าที่ในบทบาทอื่นๆก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งใน[[กระทรวงการสงครามสหรัฐ|กระทรวงการสงคราม]]ภายใต้การนำโดยนายพล[[จอร์จ มาร์แชลล์]] ในปี ค.ศ. 1941 แบรดลีย์ได้กลายเป็นผู้บัญชาการแห่งโรงเรียนทหารราบกองทัพบกสหรัฐ
 
ภายหลังจากสหรัฐเข้าร่วมสู่[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] แบรดลียได้จับตาดูการเปลี่ยนแปลงของกองพลทหารราบที่ 82 มาเป็นกองพลส่งอากาศอเมริกันหน่วยแรก เขาได้รับคำสั่งในแนวหน้าที่เป็นครั้งแรกของเขาใน[[ปฏิบัติการคบเพลิง]] ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยนายพล [[จอร์จ เอส. แพตตัน]] ใน[[แอฟริกาเหนือ]] ภายหลังจากแพตตันได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ แบรดลีย์ได้บัญชาการแก่กองทัพสนามที่สองใน[[การทัพตูนิเซีย]]และ[[การบุกครองเกาะซิซิลีของฝ่ายสัมพันธมิตร|ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกครองเกาะซิซิลี]] เขาได้บัญชาการแก่กองทัพสหรัฐที่หนึ่งใช่วง[[การบุกครองนอร์ม็องดี]] ภายหลังจากบุกทะลวงจากนอร์ม็องดีแล้ว เขาได้รับหน้าที่บัญชาการแก่กลุ่มกองทัพสหรัฐที่สิบสอง ซึ่งท้ายที่สุดจะประกอบไปด้วยกองพลทั้งสี่สิบสาม และจำนวนทหาร 1.3 ล้านนาย เป็นจำนวนขนาดใหญ่ของทหารอเมริกันที่เคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาจากผู้บัญชาการภาคสนามเพียงคนเดียว
 
ภายหลังสงคราม แบรดลีย์ได้เป็นผู้นำของกองอำนวยการทหารผ่านศึก เขาได้กลายเป็นหัวหน้าเสนาธิการแห่งกองทัพบกสหรัฐในปี ค.ศ. 1948 และเป็นประธานคณะเสนาธิการร่วมในปี ค.ศ. 1950 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งยศคือจอมพล ซึ่งกลายเป็นคนสุดท้ายจากเพียงเก้าคนที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งยศระดับห้าดาวในกองทัพสหรัฐ เขาเป็นผู้บัญชาการทหารระดับชั้นอาวุโสในช่วงเริ่มต้นของสงครามเกาหลี และได้สนับสนุนนโยบายการยับยั้งในช่วงสงครามของประธานาธิบดี [[แฮร์รี เอส. ทรูแมน]] เขาได้มีส่วนช่วยในการโน้มน้าวให้ทรูแมนสั่งปลดนายพล [[ดักลาส แมกอาเธอร์]] ในปี ค.ศ. 1951 หลังจากแมกอาเธอร์ได้ต่อต้านอำนาจฝ่ายบริหารในความพยายามที่จะปรับลดขนาดของสงครามของเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ แบรดลีย์ได้ลาออกจากกองทัพในปี ค.ศ. 1953 (แม้ว่าจะยังคงอยู่ในสถานะ"ปลดเกษียณจาการปฏิบัติหน้าที่"สำหรับ 27 ปีต่อมา) จากนั้นก็ยังคงทำหน้าที่ในบทบาทสาธารณะและธุรกิจ จนกระทั่งเขาถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1981<ref name="MilRank1685" />