ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Cacaotica (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Cacaotica (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 50:
==การพบ==
 
[[กรมพระยาดำรงราชานุภาพ]]ทรงเขียนใน ''[[ประชุมพงศาวดาร|ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 1]]'' (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2457) ว่า ได้ต้นฉบับพงศาวดารนี้มาเมื่อ พ.ศ. 2450<ref name = ":9">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. (17).</ref> และทรงเล่ารายละเอียดไว้ใน ''[[นิทานโบราณคดี]]'' เรื่องที่ 9 หนังสือหอหลวง (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2487) ว่า [[พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์)|หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ (แพ ตาละลักษมณ์)]] พบหญิงชราผู้หนึ่งกำลังรวบรวม[[สมุดไทยดำ]]ใส่กระชุอยู่ที่บ้านแห่งหนึ่ง หญิงนั้นบอกว่า จะเอาสมุดเหล่านี้ไปเผาไฟทำเป็น[[สมุก]]ไว้ใช้[[ลงรัก]] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ขอดู พบสมุดต้นฉบับพงศาวดารนี้อยู่ในบรรดาสมุดที่จะเอาไปเผา จึงออกปากว่า อยากได้ หญิงชราก็ยกให้ไม่หวงแหน หลวงประเสริฐอักษรนิติ์นำสมุดนั้นมาให้หอพระสมุดวชิรญาณ กรรมการหอพระสมุดตรวจดูแล้วเห็นเป็นพงศาวดารเก่าแก่ ศักราชแม่นยำกว่าฉบับอื่น จึงตั้งชื่อว่า "ฉบับหลวงประเสริฐ" ให้เป็นเกียรติแก่หลวงประเสริฐอักษรนิติ์<ref name = ":11">[[#ดร|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2503]], น. 170–171.</ref>
 
เกี่ยวกับสถานที่พบสมุดนั้น กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเขียนใน ''นิทานโบราณคดี'' ว่า "หลวงประเสริฐอักษรนิติไปเห็นยายแก่กำลังเอาสมุดดำรวมใส่กระชุที่บ้านแห่งหนึ่ง"<ref>[[#ดร|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2503]], น. 170.</ref> และทรงเขียนใน ''ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 1'' ว่า "หลวงประเสริฐอักษรนิติไปพบต้นฉบับที่บ้านราษฎรแห่ง 1"<ref name = ":0"/> ส่วน[[นิธิ เอียวศรีวงศ์]] ให้ข้อมูลในการแสดงปาฐกถาที่[[มหาวิทยาลัยเชียงใหม่]]เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 ว่า หลวงประเสริฐอักษรนิติ์พบสมุดนี้ที่เมืองเพชรบุรี<ref>[[#นอ|นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2521]], น. 179.</ref> และนาฏวิภา ชลิตานนท์ ก็เขียนใน ''ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย'' (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2524) ว่า "หลวงประเสริฐอักษรนิติ์...ได้ต้นฉบับมาจากราษฎรคนหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี"<ref>[[#นช|นาฎวิภา ชลิตานนท์, 2524]], น. 222–223.</ref>
 
กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเขียนใน ''ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 1'' ว่า หลวงประเสริฐอักษรนิติ์นำสมุดมามอบให้หอพระสมุดวชิรญาณเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2450<ref name = ":0"/> แต่ทะเบียนของหอสมุดแห่งชาติระบุว่า เป็นวันที่ "19/3/2450" (19 มีนาคม พ.ศ. 2450)<ref name = ":1"/>
บรรทัด 96:
กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่า พงศาวดารฉบับนี้น่าเชื่อถือกว่าฉบับอื่น ๆ<ref name = ":7">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. 210: "พระราชพงษาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ แม้ความที่กล่าวเปนอย่างย่อ ๆ มีเนื้อเรื่องที่ไม่ปรากฎในพระราชพงษาวดารฉบับอื่นออกไปอิกมาก แลที่สำคัญนั้น ศักราชในฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติแม่นยำ กระบวนศักราชเชื่อได้แน่กว่าพระราชพงษาวดารฉบับอื่น ๆ หนังสือพระราชพงษาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ จึงเปนหลักแก่การสอบหนังสือพงษาวดารได้เรื่องหนึ่ง".</ref> ทั้งเนื้อหาก็ตรงกับเอกสารต่างประเทศ<ref name = ":14">[[#ปพ|''ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1'', 2542]], น. (17): "หนังสือพระราชพงษาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ นี้ ทั้งเนื้อเรื่องแลศักราชผิดกับพระราชพงษาวดาร ฉบับพิมพ์ 2 เล่ม แลฉบับพระราชหัดถเลขา อยู่หลายแห่ง ข้าพเจ้าได้สอบสวนกับหนังสือพงษาวดารประเทศอื่น เห็นเนื้อความแลศักราชที่ลงไว้ในฉบับหลวงประเสริฐแม่นยำมาก ข้าพเจ้าเชื่อว่า ศักราชที่ลงไว้ในฉบับหลวงประเสริฐเปนถูกต้องตามจริง".</ref> สอดคล้องกับที่[[กรมศิลปากร]]ระบุว่า พงศาวดารฉบับนี้ "ได้รับความเชื่อถือว่า แม่นยำ ทั้งในเชิงเนื้อหาและศักราช"<ref name = ":10"/> และพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ว่า "สาระโดยทั่วไปของหนังสือพงศาวดารเล่มนี้จึงได้รับการเชื่อถือมากที่สุด"<ref name = ":6">[[#พจ|พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, 2546]], น. (8).</ref> ในขณะที่พงศาวดารฉบับอื่น ๆ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยหลัง คือ สมัยรัตนโกสินทร์นั้น ลงวันเวลาไว้คลาดเคลื่อนไปราว 4–20 ปี<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 8.</ref><ref>[[#นช|นาฎวิภา ชลิตานนท์, 2524]], น. 230.</ref> และเพราะสับสนวันเวลา พงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์จึงลงเหตุการณ์ไว้สับสนตามไปด้วย เช่น ระบุว่า [[สมเด็จพระราเมศวร]]ขึ้นครองราชย์แล้วทรงยกทัพไปล้อมเชียงใหม่ เอาปืนใหญ่ถล่มกำแพงเมือง ซึ่งกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตั้งข้อสงสัย เพราะปืนใหญ่เพิ่งมีใช้ในยุโรปราวเก้าปีก่อนเหตุการณ์นั้น<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 210.</ref> และ[[ศานติ ภักดีคำ]] เห็นว่า เป็นการนำเหตุการณ์ของพระราเมศวรอีกพระองค์ คือ [[สมเด็จพระเอกาทศรถ]] มาลงไว้ที่พระราเมศวรพระองค์นี้<ref>[[#พนร|สมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว), 2558]], น. 14.</ref>
 
พงศาวดารฉบับนี้ยังให้ข้อมูลซึ่งไม่ปรากฏในพงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์<ref name = ":7"/> เช่น กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตั้งข้อสังเกตว่า พงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์ระบุว่า พระมหากษัตริย์พม่าที่ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาสองครั้งในสมัย[[สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ]] คือ "พระเจ้าลิ้นดำ" ([[พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้]]) พระองค์เดียว แต่พงศาวดารฉบับนี้ระบุชัดเจนว่า เป็นพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กับ[[พระเจ้าบุเรงนอง]] ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารพม่า<ref name = ":8">[[#ดร2|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2515]], น. 442.</ref> หรือกรณีที่พงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์ระบุว่า [[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]]เสวยราชย์ที่กรุงศรีอยุธยาแล้วทรงสร้างวัดจุฬามณี ทำให้เชื่อกันมาแต่เดิมว่า วัดนี้อยู่ที่อยุธยา ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]เคยพากันตามหาวัดนี้ที่อยุธยาก็ไม่พบ กระทั่งมาได้พงศาวดารฉบับนี้ที่ระบุว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงย้ายขึ้นไปครองราชย์ที่พิษณุโลกแล้วทรงสร้างวัดจุฬามณี จึงรู้ว่า เป็น[[วัดจุฬามณี (พิษณุโลก)|วัดจุฬามณี]]ที่พิษณุโลก<ref>[[#ดร2|ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2515]], น. 441.</ref><ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 229.</ref>
 
พงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์ยังให้ข้อมูลขัดแย้งกันเอง เช่น บางฉบับว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคต พระราชโอรส คือ [[สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3|พระบรมราชา]] ครองราชย์ต่อเป็น[[สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2]] และบางฉบับว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคต พระราชโอรส คือ [[สมเด็จพระอินทราชาที่ 2|พระอินทราชา]] จึงครองราชย์ต่อจนสวรรคต แล้วพระราชโอรสของพระอินทราชาครองราชย์ต่อเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 235.</ref> มาได้ความกระจ่างในพงศาวดารฉบับนี้ ดังที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเขียนว่า "เนื้อความที่มัวมนสนเท่ห์ในตอนแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ความแจ่มแจ้งชัดเจนใน ''พระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ'' สามารถจะตัดสินได้ว่า เรื่องจริงเป็นอย่างไร"<ref>[[#พห|''พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1'', 2534]], น. 236.</ref>