ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มาร์โกส โรโฆ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
บริการเปลี่ยนหมวดหมู่อัตโนมัติด้วยบอต
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 21:
{{MedalCompetition|[[ฟุตบอลโลก]]}}
{{Medal|RU|[[ฟุตบอลโลก 2014|บราซิล 2014]]|}}
{{MedalCompetition|[[โคโกปาอเมริกาอาเมริกา]]}}
{{Medal|RU|[[โคโกปาอเมริกาอาเมริกา 2015|ชิลี 2015]]|}}
{{Medal|RU|[[โคโกปาอเมริกาอาเมริกา เซนเตนาริโอ|สหรัฐอเมริกา 2016]]|}}
}}
 
บรรทัด 33:
โรโฆโชว์ผลงานโดดเด่นที่สุดตลอดช่วงเวลาสามปีกับ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ใน[[พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016–17|ฤดูกาล 2016/2017]] ก่อนที่อาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าฉีกขาดจะทำให้เขาต้องปิดเทอม ตำแหน่งปราการหลังตัวกลางเป็นจุดที่เปิดโอกาสให้ทุกคนตอนซีซั่นเริ่มต้นขึ้น และเขาก็คว้าเอาไว้ได้ โดยเป็นกำลังสำคัญในแผงแบ็คโฟร์ที่เหนียวแน่นที่สุดของลีก ทั้งความโหดเหี้ยมในจังหวะเข้าสกัดและความแข็งแกร่งในลูกกลางอากาศ โรโฆกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมโดยพาต้นสังกัดคว้าแชมป์[[อีเอฟแอลคัพ|ลีก คัพ]]และ[[ยูฟ่ายูโรปาลีก|ยูโรปาลีก]]มาครอง
 
ฤดูกาลที่ประเดิมสนามกับ[[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]]ของเขาต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บ รวมทั้งอาการไหล่หลุดในศึก[[แมนเชสเตอร์ดาร์บี]] โรโฆลงเล่นไปแค่ 26 นัด จากทุกรายการ แต่ก็ยิงประตูได้ในการแข่งขัน[[เอฟเอคัพ]] ที่เอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลเคมบริดจ์ ยูไนเต็ด|เคมบริดจ์ยูไนเต็ด]] 3-0 ปราการหลังสารพัดประโยชน์ของยูไนเต็ด ปิดฉาก[[พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16|ฤดูกาล 2015/2016]] ด้วยการรับใช้ทีมชาติในการแข่งขัน[[โคโกปาอเมริกาอาเมริกา]]จัดขึ้นที่[[สหรัฐ|สหรัฐอเมริกา]] แต่ต้องพบกับความผิดหวังในรอบชิงชนะเลิศเพราะ[[ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา|ทีมชาติอาร์เจนตินา]]พ่ายการดวลจุดโทษให้กับ[[ฟุตบอลทีมชาติชิลี|ทีมชาติชิลี]] ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในรอบชิงดำ ปี 2015
 
อาการบาดเจ็บบริเวณหัวไหล่ที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วและอาการบาดเจ็บในส่วนอื่นทำให้ฤดูกาลที่สองของโรโฆกับปีศาจแดงต้องหยุดชะงัก แต่เขาได้ลงสนามมากขึ้นเป็น 28 นัด และคว้าเหรียญรางวัลแรกจากชัยชนะในศึกเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศเหนือ[[สโมสรฟุตบอลคริสตัลพาเลซ|คริสตัลพาเลซ]]ที่[[สนามกีฬาเวมบลีย์|สนามเวมบลีย์]]
บรรทัด 39:
โรโฆได้รับความสนใจจากยูไนเต็ดตอนโชว์ฟอร์มโดดเด่นในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งเขามีส่วนร่วมรับใช้ชาติ 6 จาก 7 นัด พลาดไปเพียงเกมเดียวในรอบก่อนรองชนะเลิศที่พบ[[ฟุตบอลทีมชาติเบลเยียม|ทีมชาติเบลเยียม]]เนื่องจากติดโทษแบน กองหลังรายนี้ยังสามารถยิงประตูแรกให้กับอาร์เจนตินาระหว่างการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มที่เอาชนะ[[ฟุตบอลทีมชาติไนจีเรีย|ทีมชาติไนจีเรีย]] 3-2 โดยนักวิเคราะห์ของ [[Castrol performance index|Castrol Index]] ยังได้เลือกให้เขาติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ด้วยผลงานเฉลี่ย 9.5 เต็ม 10 คะแนนอีกด้วย
 
อาเลคันโดร ซาเบลา กุนซือ[[ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา]] ณ เวลานั้น เคยร่วมงานกับโรโฆสมัยอยู่ด้วยกันที่เอสตูเดียนเตส โดยเถลิงแชมป์[[โกปาลิเบร์ตาโดเรส]]ในปี 2009 และรับใช้ตอร์เนโออาเปร์ตูราหนึ่งปีหลังจากนั้น ถัดมาเขาได้ย้ายมาค้าแข้งที่ยุโรปกับสปาร์ตัคมอสโก แต่ก็ไม่สามารถปรับตัวกับการใช้ชีวิตในรัสเซียให้อดีตต้นสังกัดของ[[เนมันยา วีดิช]] อย่างไรก็แล้วแต่ โอกาสในการติดทีมชาติอาร์เจนตินายังไม่หายไป และเขาก็ได้มีส่วนร่วมลงแข่งขันโคโกปาอเมริกาอาเมริกา ซึ่งก็ยังสามารถพิสูจน์คุณค่าในเวทีระดับสูงสุด
 
การย้ายไปค้าแข้งให้กับ[[สปอร์ติง ลิสบอน|สปอร์ติง]]เกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์ ปี 2012 ด้วยค่าตัวประมาณ 3.5 ล้านปอนด์ และหลังจากที่ปรับตัวเข้ากับชีวิตในลีกโปรตุเกส เขาสามารถโชว์ผลงานที่โดดเด่นตลอดฤดูกาล 2013/14 ช่วยให้ทีมจบในตำแหน่งรองแชมป์ตามหลัง[[สปอร์ลิชบัวอีไบฟีกา|ไบฟีกา]] แม้ว่าจะลงประจำการในตำแหน่งแบ็กซ้ายให้กับอาร์เจนตินาเป็นส่วนใหญ่ แต่โรโฆมักถูกจับมายืนเป็นกองหลังตัวกลางในแนวรับของสปอร์ติงซึ่งถือว่าเหมาะสมกับแผงหลังสามคน ส่งผลประโยชน์ต่อมายังระบบการเล่น 3-5-2 ของ[[ลูวี ฟัน คาล]] ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จึงได้ดึงเข้าร่วมทีม