ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ราชวงศ์โก้นบอง"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ย้อนการแก้ไขที่ 8344080 สร้างโดย 2403:6200:88A0:5061:5103:64A6:5D56:9D90 (พูดคุย)
ป้ายระบุ: ทำกลับ
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 69:
ราชวงศ์อลองพญานั้นได้รับการสถาปนาขึ้นโดยการเสวยราชสมบัติของ[[พระเจ้าอลองพญา]]ในปี พ.ศ. 2295 พระองค์ขับไล่ชาวมอญและยึดครองอาณาจักรมอญได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2302 ภายหลังการล่มสลายของ[[ราชวงศ์ตองอู]] ทั้งยังสามารถกลับเข้ายึดครองเมือง[[มณีปุระ]]ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน ทรงสถาปนาเมือง[[ชเวโบ]]ขึ้นเป็นราชธานี ก่อนจะย้ายไปที่[[อังวะ]]และทรงพัฒนาเมือง[[ย่างกุ้ง]] หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ขึ้นเป็นเมืองท่าสำคัญ
 
ต่อมาพระเจ้าอลองพญาได้ทรงนำทัพบุก[[อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา]] เนื่องจากทางอยุธยาได้ให้การสนับสนุนมอญที่ลี้ภัยสงครามเข้ามาพึ่งกษัตริย์ไทย ซึ่งตรงกับรัชสมัย[[สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ]]และไม่พอใจที่อยุธยายึดเรือสินค้าที่จะเดินทางมาค้าขายกับพม่าที่เมือง[[มะริด]] โดยเดินทัพเข้ามาทาง[[ด่านสิงขร]] [[จังหวัดประจวบคีรีขันธ์]] แต่ไม่ประสบความสำเร็จและสิ้นพระชนม์หลังจากการทำสงครามครั้งนั้น [[พระเจ้ามังระ]]ผู้เป็นพระราชโอรสของพระองค์ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดาต่อ โดยได้ส่งทัพใหญ่มา 2 ทางล้อมกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2307 ทางหนึ่งให้[[เนเมียวสีหบดี]]นำพลเข้ามาทางเหนือด้วยการตี[[ล้านนา]] [[ล้านช้าง]]และหัวเมืองเหนือก่อน และอีกทางหนึ่งให้มังมหานรธานำกองทัพเข้ามาทางใต้ ทั้ง 2 ทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้นานถึง 1 ปีครึ่งแม้ผ่านฤดูน้ำหลากก็ไม่ยกทัพกลับ ภายหลังแม่ทัพฝ่ายใต้ คือ มังมหานรธา เสียชีวิตลงก็ส่งแม่ทัพคนใหม่จากเมือง[[เมาะตะมะ]]ชื่อ เมงเยเมงละอูสะนา เข้ามาทำหน้าที่แทนจนในที่สุดก็สามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้ในปี พ.ศ. 2310 แต่กองทัพพม่าก็อยู่ได้ไม่นานเนื่องจาก[[พระเจ้ามังระ]]ทรงให้เร่งทำการและรีบกลับเพื่อทำ[[สงครามจีน-พม่า|สงครามกับจีน]]ในรัชสมัยของ[[จักรพรรดิเฉียนหลง]]
 
ถึงแม้อาณาจักรอยุธยาจะถูกทำลายแต่[[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]]ก็ทรงสถาปนาศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาใหม่ที่[[กรุงธนบุรี]] พระเจ้ามังระจึงทรงส่งแม่ทัพคนใหม่มา คือ [[อะแซหวุ่นกี้]] นำทัพใหญ่เข้ามาปราบปรามฝ่ายธนบุรีในปี พ.ศ. 2318 อะแซหวุ่นกี้สามารถตีหัวเมือง[[พิษณุโลก]]แตกและกำลังจะยกทัพตามลงมาตาม[[แม่น้ำเจ้าพระยา]] แต่ก็ต้องยกทัพกลับเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้ามังระในปี พ.ศ. 2319 จากนั้นก็เกิดการแย่งชิงราชสมบัติราว 4–5 ปี ก่อนที่จะกลับมามีความมั่นคงขึ้นอีกครั้งในรัชสมัยของ[[พระเจ้าปดุง]] พระองค์ทรงยกทัพเข้าตีดินแดน[[ยะไข่]]ได้สำเร็จ ซึ่งไม่เคยมีกษัตริย์พม่าพระองค์ใดทำได้มาก่อน ทำให้พระองค์เกิดความฮึกเหิม ยกกองทัพใหญ่มา 9 ทัพ 5 เส้นทาง ที่เรียกว่า [[สงครามเก้าทัพ]] ในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]] แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
 
ในรัชสมัย[[พระเจ้าจักกายแมง]] พม่าได้ยึดครอง[[แคว้นอัสสัม]]ของ[[อินเดีย]]ได้สำเร็จ ทำให้พม่าต้องเผชิญหน้ากับ[[จักรวรรดิอังกฤษ]]ซึ่งกำลังล่าอาณานิคมอยู่ในขณะนั้น ก่อให้เกิดเป็นสงครามที่เรียกว่า "[[สงครามอังกฤษ-พม่า-อังกฤษครั้งที่หนึ่ง]]" กินระยะเวลา 2 ปี คือ พ.ศ. 2367–2369 สงครามจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า มหาบัณฑุละ แม่ทัพพม่าที่เลื่องชื่อก็เสียชีวิตลง ทำให้ต้องลงนามในสนธิสัญญาชื่อ [[สนธิสัญญารานตะโบ]] พม่าจำต้องยกเมืองที่สำคัญให้แก่อังกฤษ เช่น [[มณีปุระ]] [[ยะไข่]] [[ตะนาวศรี]]
 
ต่อมาได้มีการละเมิดสนธิสัญญาฉบับนี้ทำให้เกิด[[สงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สอง]]และจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษ ในรัชสมัยของ[[พระเจ้ามินดง]]พระองค์พยายามที่จะฟื้นฟูความเข้มแข็งของอาณาจักรขึ้นมาอีกครั้ง โดยสถาปนา[[มัณฑะเลย์]]ขึ้นเป็นราชธานีมีการสร้างพระราชวังอย่างใหญ่โต แต่ในรัชสมัยของพระโอรสของพระองค์ คือ [[พระเจ้าธีบอ]] พระองค์ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งในและนอกประเทศไว้ได้ทำให้นำไปสู่การทำสงครามกับอังกฤษอีกครั้ง และครั้งนี้อังกฤษสามารถครอบครองพม่าไว้ได้หมดทั้งประเทศในปี พ.ศ. 2428 ทำให้พระเจ้าธีบอถูกบังคับให้สละราชสมบัติและเนรเทศไปอยู่ที่อินเดียหลังสิ้น[[สงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สาม]] ทรงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าและเป็นการสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ในพม่าที่มีมายาวนาน
บรรทัด 97:
| นายบ้านมุกโชโบ
| 1752–1760
| ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญา ผู้ทรงนำทัพเข้าตีอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาใน ค.ศ. 1760 (พ.ศ. 2303)
|-
|2
บรรทัด 115:
| พระอนุชา<br />(พระราชโอรสพระองค์ที่ 2 ในพระเจ้าอลองพญา)
| 1763–1776
| พิชิตกรุงศรีอยุธยา ค.ศ. 1767 (พ.ศ. 2310), ขยายอิทธิพลสู่ล้านนา ล้านช้าง และ[[มณีปุระ]], ประสบความสำเร็จในการต่อต้านการรุกรานจากจีน 4 ครั้ง
|-
|4
บรรทัด 121:
| '''[[พระเจ้าจิงกูจา]]'''
| {{lang|my|စဉ့်ကူးမင်း}}<br />{{small|''สิ่นกู้มี่น''}}
| พระเจ้าสิ่นกู้<ref>พงศาวดารฝ่ายไทยออกพระนามว่าพระเจ้าจิงกูจา เหตุที่เรียกดังนี้เพราะพระองค์เคยปกครองเมืองสิ่นกู้[[สิ่นกู้]]ในสมัยก่อนเสวยราชสมบัติ</ref>
| พระราชโอรส
| 1776–1781
บรรทัด 139:
| '''[[พระเจ้าปดุง]]'''
| {{lang|my|ဗဒုံမင်း}}<br />{{small|''บะโดนมี่น''}},<br />{{lang|my|ဘိုးတော်ဘုရား}}<br />{{small|''โบ้ดอพะย่า''}},<br />{{lang|my|ဆင်ဖြူများရှင်}}<br />{{small|''ซีน-พยู-มย่าชีน''}}
| พระเจ้าบะโดน,<br />พระบรมอัยกาธิราช,<br />พระเจ้าช้างเผือก<ref>คำว่า "พระเจ้าบะโดน" (พระเจ้าปดุง) เรียกตามนามเมืองบะโดน[[บะโดน]]ซึ่งพระองค์เคยปกครองในสมัยก่อนเสวยราชสมบัติ, คำว่า ''โบ้ดอพะย่า'' (ไทยมักสะกดว่า "โบดอพญา") ซึ่งแปลว่าพระบรมอัยกาธิราช หมายความว่าเป็นพระอัยกา (ปู่) ในพระเจ้าจักกายแมงและพระเจ้าแสรกแมง, คำว่า "พระเจ้าช้างเผือก" เป็นพระนามเฉลิมพระเกียรติของพระเจ้าปดุงซึ่งทรงมีช้างเผือกในครองครองตามราชประเพณี</ref>
| พระปิตุลา<br />(พระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระเจ้าอลองพญา)
| 1782–1819
บรรทัด 151:
| พระราชนัดดา<br />(หลานปู่)
| 1819–1837
| ร่วมรบกับพระเจ้าปดุงในสงครามกับกรุงรัตนโกสินทร์, ยกทัพตีมณีปุระและรัฐอัสสัมของอินเดีย, พ่ายแพ้[[สงครามอังกฤษ-พม่า-อังกฤษครั้งที่หนึ่ง]]
|-
|8
บรรทัด 160:
| พระอนุชา
| 1837–1846
| ร่วมรบในสงครามอังกฤษ-พม่า-อังกฤษครั้งที่หนึ่ง ในฐานะเจ้าเมืองสารวดี
|-
|9
บรรทัด 184:
| '''[[พระเจ้าธีบอ]]'''
| {{lang|my|သီပေါမင်း}}<br />{{small|''ตีบอมี่น''}}
| พระเจ้าสี่ป้อ<ref>เรียกตามนามเมือง[[สี่ป้อ]]ซึ่งพระเจ้าธีบอเคยปกครองในสมัยก่อนเสวยราชสมบัติ เมือง[[สี่ป้อ]]นี้เป็นเมืองของ[[ชาวไทใหญ่]] (ปัจจุบันอยู่ใน[[รัฐชานฉาน]] ประเทศพม่า) ชื่อดังกล่าวนี้เป็นการเรียกตาม[[ภาษาไทใหญ่]] (ภาษาพม่าออกเสียงเป็น ''ตีบอ'') พระราชมารดาของพระเจ้าธีบอเป็นพระราชธิดาของเจ้าฟ้าไทใหญ่เมืองนี้</ref>
| พระราชโอรส
| 1878–1885