นักปรัชญาตะวันตกคนแรกที่พยายามจำแนกและนิยามแนวคิดเรื่องสัต คือ[[พาร์เมนิดีส]] (Parmenides) ผู้กล่าวว่า "whatever is is, and what is not cannot be." ("สิ่งใดที่ ''เป็นขึ้น'' ย่อม ''เป็น'' ส่วนสิ่งใดที่มิเป็นขึ้นย่อม ''มิอาจเป็น'' ได้") โดยพาร์เมนิดีสเชื่อว่า ทุกสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่แล้ว (ὅπως ἐστίν) ย่อมมีสภาวะเป็นอมตะนิรันดร์ ไร้กาลเวลาและไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้สิ่งใดที่''เป็นขึ้น'' ย่อมเป็นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์มาตั้งแต่ต้น ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นนั้นเป็นสิ่งลวง เพราะความ "กลายเป็น" (becoming) ก็เป็นเช่นเดียวกับ "ความไม่เป็น" นั่นเอง
[[มาร์ตินมาร์ทีน ไฮเดกเด็กเกอร์]] นักปรัชญาชาวเยอรมัน เป็นผู้นำแนวคิดทางภววิทยาเรื่อง "ภววิทยาเรื่องสัต" กลับมาศึกษาใหม่โดยละเอียด และใช้คำเยอรมันว่า ''Dasein'' เพื่อพัฒนาทฤษฎีของตนเกี่ยวกับสัต<ref name="dasein1">Heidegger, the day ''[[Being and Time|Sein und Zeit]]'', p. 27: "this entity which each of us is himself ... we shall denote by the term 'Dasein'."</ref> จนนำไปสู่การตีพิมพ์ผลงานเล่มสำคัญเมื่อ ปี ค.ศ. 1927 เรื่อง ''Sein und Zeit'' หรือ Being and Time (ภาวะกับกาล). ไฮเดกเด็กเกอร์เชื่อว่าความคิดเกี่ยวกับ "สัต" เป็นมโนทัศน์ที่ลึกที่สุดของปรัชญาตะวันตก ที่ไม่ได้รับความเอาใจใส่จากวงการปรัชญา มาตั้งแต่สมัยหลังอริสโตเติล ไฮเดกเด็กเกอร์มีอิทธิพลกว้างขวางมากต่อวงการปรัชญาสมัยใหม่ในภาคพื้นทวีปยุโรป ทำให้มีการหยิบยืมหลักการทางภววิทยาของไฮเดกเด็กเกอร์มาใช้เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์อย่างกว้างขวาง ทั้งด้านจิตวิทยามนุษย์ และความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสื่อและเทคโนโลยี