ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จักรพรรดิโชวะ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ย้อนการแก้ไขของ 27.130.168.15 (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย พุทธามาตย์
ป้ายระบุ: ย้อนรวดเดียว
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 4:
| succession = [[จักรพรรดิญี่ปุ่น]]
| coronation = 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471
| coronation_place = [[พระราชวังหลวงเคียวโตะ]]4
| reign = 25 ธันวาคม พ.ศ. 2469 - 7 มกราคม พ.ศ. 2532
| predecessor = [[จักรพรรดิไทโช]]
บรรทัด 17:
| mother = [[สมเด็จพระจักรพรรดินีเทเม]]
| spouse = [[สมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง]]<br> อภิเษกเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2467
| issue = [[ชิเงะโกะ ฮิงะชิกุนิ|เจ้าหญิงชิเงะโกะ เจ้าเทะรุ]]<br />• [[เจ้าหญิงซะชิโกะ เจ้าฮิซะ]]<br />• [[คะซุโกะ ทะกะสึกะซะ|เจ้าหญิงคะซุโกะ เจ้าทะกะ]]<br />• [[อะสึโกะ อิเกะดะ|เจ้าหญิงอะสึโกะ เจ้าโยะริ]]<br /> • [[สมเด็จพระจักรพรรดิอะอากิฮิโตะ|จักรพรรดิอะอากิฮิโตะ]]<br />• [[เจ้าชายมะซะฮิโตะ เจ้าฮิตะชิ]]<br />• [[ทะกะโกะ ชิมะสึ|เจ้าหญิงทะมะโกะ เจ้าซุงะ]]
| dynasty = [[ราชวงศ์ญี่ปุ่น]]
| era dates = [[โชวะ]] (2469 - 2532)
บรรทัด 26:
}}
 
'''สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ''' ({{ญี่ปุ่น|裕仁天皇|''ฮิโระฮิโตะ เท็นโน''}}) หรือพระนามตามชื่อรัชสมัย คือ '''จักรพรรดิโชวะ''' ({{ญี่ปุ่น|昭和天皇|''โชวะ เท็นโน''}}) (29 เมษายน พ.ศ. 2444 - 7 มกราคม พ.ศ. 2532) (裕仁) เป็น[[จักรพรรดิญี่ปุ่น]]พระองค์ที่ 124 ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2469 - พ.ศ. 2532 (63 ปี)
 
ในตอนต้นรัชสมัยของพระองค์ [[จักรวรรดิญี่ปุ่น]]ในขณะนั้น ได้กลายเป็นชาติมหาอำนาจของโลกแล้ว ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก จักรพรรดิฮิโระฮิโตะทรงดำรงตำแหน่ง[[ประมุขแห่งรัฐ]]ของจักรวรรดิญี่ปุ่นภายใต้[[รัฐธรรมนูญแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น]] ในรัชสมัยของพระองค์ ญี่ปุ่นได้เข้าร่วม[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] ซึ่งทำให้ในห้วงเวลานั้น จักรวรรดิญี่ปุ่นแผ่อำนาจและดินแดนไปทั่ว[[เอเชียตะวันออก|เอเชียบูรพา]]โดยที่ไม่มีชาติใด ๆ จะสามารถต้านทาน ภายหลังสงครามสิ้นสุดลงบนความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น พระองค์ไม่ได้ถูกดำเนินคดีในข้อหา[[อาชญากรสงคราม]]ดังเช่นผู้นำคนอื่น ๆ ของชาติ[[ฝ่ายอักษะ]] และภายหลังสงคราม พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์ของรัฐใหม่ในการกอบกู้ประเทศชาติที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม ในตอนปลายรัชกาล ประเทศญี่ปุ่นก็สามารถกลับมายืนหยัดในฐานะชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก