ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ชีอะฮ์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 162:
การแบ่งหลักศรัทธาของเชคมูฟีดเช่นนี้ ได้กลายเป็นเรื่องที่แพร่หลายกันในหมู่อุละมาอ์ชีอะฮ์ และได้ถ่ายทอดกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน
 
ชีอะห์บางความเชื่อ
== ทัศนะที่วาฮาบีย์กล่าวหาชีอะฮ์ ==
ประวัติศาสตร์ได้ระบุว่าอิมามอะลีย์ บินอะบีฏอลิบได้ตระหนักถึงความเลวร้ายของแผนการณ์ของพวกสับปลับเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้จัดการอย่างเฉียบขาดกับพวกนี้ ด้วยการสั่งให้พวกเขากระโดดจากเชิงกำแพงลงไปในหลุมที่สุมไฟ เพื่อให้ตายทั้งเป็น และเพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง กระนั้นก็ตาม ก็ยังไม่สามารถที่จะลบล้างแผนร้ายของพวกโซโรอัสเตอร์ชาวเปอร์เซียและพวกอื่น ๆ อีกหลายสิบล้าน ที่ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรอิสลามที่กว้างใหญ่ไพศาล
ทัศนะที่วาฮาบีย์กล่าวหาชีอะฮ์ ผู้ยึดตามครอบครัวของท่านศาสดา(ศ.) กล่าวหาว่า ชีอะฮ์นั้นเป็นคนละศาสนา โดยมีเหตุผล 2 ประการใหญ่ๆ ดังนี้
แผนการณ์ร้ายด้วยการแอบอ้างว่าอิมามอะลีย์เป็นพระเจ้าในอดีตมีหลายสาย ล้วนแล้วแต่แอบอ้างว่าเป็นชีอะฮฺ รักอะฮฺลุลเบตทั้งสิ้น เช่น พวกฆุรอบียะฮฺ พวกบาซิฆียะฮฺ พวกยะอฺฟูรียะฮฺ เช่น พวกซัมมียะฮฺ พวกที่ยังคงหลงเหลือจนถึงปัจจุบันก็คือ พวกชีอะฮฺอะละวียะฮฺ
 
ความเชื่อของพวกฆุลาต
1. วาฮาบีย์กล่าวว่าชีอะฮ์ได้สาปแช่งบรรดาสหายผู้ร่วมฟันฝ่าอุปสรรคเมื่อครั้งท่านศาสดาอยู่เมื่อง มักกะห์ ว่าตกศาสนา
พวกฆุลาตแต่ละสายอาจจะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่มีความเชื่อที่เหมือนกันคือยกย่องอะลีย์ จนเกินเลยไป อีกทั้งยังตัดตอนเปลี่ยนแปลงกฏบัญญัติศาสนา
 
นุศ็อยรียะฮฺ
*ชีอะฮ์ตอบเหตุผลข้อที่ 1 ว่า พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธบรรดาสหายศาสดาทุกคน แต่พวกเขาเชื่อว่าบรรดาสาวกศาสดาที่ทรงธรรมเท่านั้นที่ควรได้รับการยกย่อง ไม่ไช่ทั้งหมด เพราะในประวัติศาสตร์ก็ได้มีการบันทึกว่า บรรดาสหายของท่านศาสดานั้น หลังจากท่านศาสดาเสียชีวิต ก็ได้มีการทำสงครามกันเอง
ลัทธินุศ็อยรียะฮฺ หรือที่เรียกว่าอะละวียะฮฺหลังจากที่ชามตกภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศษโดยอ้างว่าเป็นพรรคพวกของอะลีย์ บินอะบีฏอลิบ พวกนุศ็อยรียะฮฺเป็นพวกที่ตามนุศ็อยรฺ บินอับดิลลาฮฺ ลูกศิษย์ของอิมามฮาดี อิมามชีอะฮฺที่ 11 ทว่าหลักความเชื่อของพวกนี้มีความคล้ายคลึงกับพวกชีอะฮฺอิสมาอีลียะฮฺ จนดูเหมือนว่าได้แตกสาขาออกจากลัทธิอิสมาอีลียะฮฺ แล้วมาตั้งตนเป็นอิสระทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าลัทธินี้ได้รับอิทธิพลจากพวกชีอะฮฺอิสมาอีลียะฮฺ ซึ่งมีอิทธิพลในภูมิภาคนี้เป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามลัทธินี้ยังได้เก็บเอาความเชื่อของศาสนาอื่นในภูมิภาคนี้มาผสมผสาน
เช่นในสงครามญะมัล [http://www.balaghah.net/nahj-htm/thi/id/maqalat/sa/014.htm สงครามญะมัล : สงครามอูฐ]
ความเชื่อของพวกนุศ็อยรียะฮฺที่ขัดแย้งกับอิสลามอย่างรุนแรงมีเช่น
 
1. บทบัญญัติอิสลามแบ่งออกเป็นสองประเภทคือซอหิร (ภายนอก) และบาฏิน (ภายใน) ที่เป็นแก่นก็คือสิ่งที่อยู่ภายใน ด้วยเหตุนี้กฏบัญญัติภาคบังคับทั่วไป เช่น การนมาซ ถูกกำหนดให้แก่คนทั่วไป พวกนุศ็อยรียะฮฺไม่จำเป็นต้องนมาซเพราะถือว่าเป็นผู้ที่เข้าใจศาสนาอย่างถ่องแท้แล้ว และบริสุทธิ์แล้ว
ท่านอิมามอะลี (อ.) เขียนสารไปหาฏ็อลฮะฮฺและซุเบรกวามว่า
2. อะลีย์ บินอะบีฏอลิบคืออัลลอฮฺที่ได้ทรงอวตารลงมา (เลียนแบบฮินดู)
 
3. เชื่อในตรีเอกานุภาพ (Trinity) (เลียนแบบศาสนาคริสต์) ยกย่องบุคคลสามคน นั่นคือ อะลีย์ อัลมะอฺบูด (อะลีย์อันเป็นที่สักการะบูชา) มุหัมมัด อัลมะฮฺมูด (นบีมุหัมมัดอันเป็นที่สรรเสริญ) และ สัลมาน อัลฟาริสีย์ อัลบาบ (ซัลมาน แห่งเปอร์เซีย เป็นประตู) ทั้งสามคนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นอวตารของอัลลอฮฺ ทว่าอะลีย์เป็นอวตารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
فإن كنتما بايعتماني طائعين , فارجعا و تو با إلي الله من قريب...فارجعا أيها الشيخان عن رأيكما , فإن الآن أعظم أمر كما العار من فبل أن يتجمع العار و النار
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยเหตุผลทางการเมือง พวกนุศ็อยรียะฮฺจะยอมรับว่าพวกเขาเป็นชีอะฮฺอิมามียะฮฺอิษนาอะชะรีะฮฺ พวกนุศ็อยรียะฮฺรุ่นใหม่ได้เดินทางไปศึกษาศาสนาอิสลามที่กุม ทว่าในภาคปฏิบัติพวกเขาก็ยังซุกซ่อนความคิดบาฏินีย์(ความเชื่อภายใน)อยู่
 
ปัจจุบันมีประชากรชาวนุศ็อยรียะฮฺในซีเรีย 1.35 ล้าน ในเลบานอน 100,000 คน และในตุรกี 1 ล้านคน
“หากท่านทั้งสองให้สัตยาบันต่อฉันในฐานะของผู้ที่เชื่อฟังฉันละก็ จงกลับมา แล้วก็ขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ โดยพลัน โอ้ผู้เฒ่าทั้งสอง จงเปลี่ยนความคิดเสียเถิด เพราะตอนนี้ เรื่องของท่านทั้งสองมันช่างน่าอดสูยิ่งกว่าแต่ก่อน ก่อนที่ทั้งความอดสูและไฟนรกจะมารวมตัวกัน”
อ้างอิงจาก “นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮ์” สารที่ 54
 
ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวคำเทศนาแก่มวลมิตรสหายของท่านว่า
 
عبادالله, امضوا علي حقكو وصدقكم و قتال عدوكم , فإن معارية و عمرا و ابن أبي معيط و حبيبا و ابن أبي سرح و , الضحاك ليسوا بأصحاب دين ولا قرآن , أنا أعرف بهم منكم قد صحبتهم أطفالا ثم رجالا , فكانوا شر أطفال وشر رجال, ويحكم الكتاب , فإنهم قد عصوا الله فيما أمرهم , و نسوا عهده , ونبذوا كتابه
 
“โอ้ปวงบ่าวของอัลลอฮฺ พวกท่านจงให้การรับรองต่อสิทธิอันชอบธรรม ความสัตย์จริง และการต่อสู้กับศัตรูของของพวกท่าน เพราะแท้จริงแล้ว มุอาวิยะฮฺ,อิบนุอบีมุฮีฏ,ฮะบีบ,อิบนุออะบีซัรฮ์และฎุฮ์ฮาก หาใช่ พลพรรคของศาสนาและอัลกุรอานไม่ ฉันรู้จักพวกเขาดียิ่งกว่า พวกท่าน ฉันได้คลุกคลีอยู่กับพวกเขานับตั้งแต่เล็กจนกระทั่งโต พวกเขา (เมื่อเป็นเด็ก็) เป็นเด็กชั่ว และ (เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็) เป็นผู้ใหญ่ชั่ว อนิจจา ขอสาบานต่ออัลลอฮฺพวกเขาไม่ได้ชูอะไรขึ้นมา นอกจากมันเป็นเพียงการลวงล่อความอ่อนแอและแผนการร้าย...เพราะอันที่จริงแล้วฉันต่อสู้กับพวกเขาก็เพื่อให้พวกเขาเห็นพ้องกับการตัดสินความของคัมภีร์แล้วพวกเขาก็ฝ่าฝืนอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์มีพระบัญชาแก่พวกเขา พวกเขาลืมสัญญาของพระองค์ และขว้างคัมภีร์ของพระองค์ทิ้ง”
อ้างอิงจาก “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 3 หน้า 316-317 และ รายงานทำนองเดียวกันใน “อัลมุนตะชีอม” เล่ม 5 หน้า 121
 
ก่อที่การประจัญบานจะเริ่มขึ้น ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวกับซุเบรว่า
 
أنشدك الله , أسمعت رسول الله )ص( يقول : إنك تقاتلني و أنت ظالم لي
 
“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ท่านได้ยินที่ท่านเราะซูลกล่าวว่า ท่านจะต่อสู้กับฉัน และท่านนั้นคือผู้อธรรมต่อฉันหรือเปล่า ?”
 
เขากล่าวตอบว่า “เคยได้ยิน ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนนี้เอง” แล้วเขาก็ผละจากไป แต่ทว่าเขาก็ยังหวนกลับไปอีก หลังจากที่ลูกของเขา อับดุลลอฮฺได้ปลุกปั่นเขา จานั้นเขาก็ได้ปล่อยทาสของเขาไป อันเป็นการไถ่ถอนคำสาบาน แล้วก็จับอาวุธต่อสู้อีก
อ้างอิงจาก “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 5 หน้า 200 “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 3 หน้า 239 และ “ตะฮ์ซีบุตตารีดิมัชก์” เล่ม 5 หน้า 367-368
 
2. ฝ่ายวาฮาบีย์กล่าวว่าพวกชีอะฮ์ไม่ยอมรับว่า คัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ถูกต้องสมบูรณ์ เนื่องจากตอนที่อัลกุรอานถูกประทานลงมาในช่วงแรก ๆ เหล่าสาวกที่ชีอะฮ์บอกว่าเป็นคนตกศาสนา ที่เป็นคนบันทึกอัลกุรอานไว้ เนื่องจากท่านศาสดาไม่รู้หนังสือไม่สามารถเขียนหนังสือได้
 
*ชีอะฮ์ตอบเหตุผลข้อที่ 2 ว่าการใส่ร้ายนี้นั้นเลื่อนลอยทั้งที่กรุอานที่ชีอะห์ใช้ก็เป็นฉบับเดียวกับมุสลิมทั่วโลก
แต่วาฮาบีย์ต่างหากที่มีความเชื่อที่ผิดเพี้ยนเกี่ยวกับอัลกรุอาน
 
ชีอะฮ์ 6,236 อายัต
 
 
อิม่ามอาลี(อ) บอกชัดว่า อัลกุรอ่านมีทั้งหมด 6,236 อายัตเท่านั้น
 
 
Θ หลักฐานที่พบจากตัฟสีรซุนนี่
 
قال محمد بن عيسى : وجميع عدد آي القرآن في قول الكوفيين ستة آلاف آية ومائتا آية وثلاثون وست آيات
وهو العدد الذي رواه سليم والكسائي عن حمزة وأسنده الكسائي الى علي رضي الله عنه
 
มุฮัมมัด บินอีซากล่าวว่า : จำนวนอายัตกุรอ่านทั้งหมดตามทัศนะของชาวกูฟะฮ์คือ 6,236 อายัต
 
มันคือจำนวนที่ท่านสะลีมกับท่านอัลกะซาอีได้รายงานมันมาจากฮัมซะฮ์ และอัลกะซาอีได้อ้างอิงรายงานของเขาไปยังท่านอาลี (ร.ฎ.)
 
อ้างอิงจากตัฟสีรกุรตุบี เล่ม 1 หน้า 95
 
 
Θ หลักฐานที่พบจากตัฟสีรชีอะฮ์
 
رواه الطبرسي عن سعيد بن المسيب عن علي بن أبي طالب(عليه السلام) انّه قال: سألت النبيّ(صلى الله عليه وآله وسلم) عن ثواب القرآن فأخبرني بثواب سورة سورة على نحو ما نزلت من السماء إلى أن قال: ثمّ قال النبيّ(صلى الله عليه وآله وسلم): جميع سور القرآن مائة وأربع عشر سورة ، وجميع آيات القرآن ستّة آلاف آية ومائتا آية وست وثلاثون آية
تفسير مجمع البيان لعلامة الطبرسي ج 10 ص 189
 
ท่านต็อบร่อซีบันทึกว่า ท่านสะอีด บินมุสัยยับรายงานจากท่านอาลี บินอะลีตอลิบ(อ) แท้จริงเขาได้เล่าว่า
 
ฉันได้ถามท่านนะบี(ศ)ถึงผลบุญของ(การอ่าน)คัมภีร์กุรอ่าน แล้วท่านได้บอกกับฉันถึงผลบุญของ(การอ่านอัลกุรอ่าน)ทีละซูเราะฮ์ๆตามลำดับการประทานมันลงมาฟากฟ้า จนท่านได้กล่าวว่า...
 
จากนั้นท่านนะบี(ศ)ได้กล่าวว่า ซูเราะฮ์ทั้งหมดของอัลกุรอ่านมี 114 บทและ
อายะฮ์ของอัลกุรอ่านทั้งหมดมี 6,236 โองการ
 
อ้างอิงจากตัฟสีรมัจญ์มะอุลบะยาน โดยอัตต็อบร่อซี เล่ม 10 : 189
 
== อ้างอิง ==
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/ชีอะฮ์"