ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นาซีเยอรมนี"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ล ย้อนการแก้ไขที่ 8197345 สร้างโดย BonTheFox13 (พูดคุย) ป้ายระบุ: ทำกลับ |
ล แทนที่ "เฟลนส์บูร์ก" → "เฟล็นส์บวร์ค" +แทนที่ "เฟลนซบูร์ก" → "เฟล็นส์บวร์ค" +แทนที่ "ลุทซ์ กรัฟ ชเวริน ฟอน โครซิจค์" → "ลุทซ์ กราฟ ชเวรีน ฟ็อน โครซิค" +แทนที่ "ฮิมม์เลอร์" → "ฮิมเลอร์" +แทนที่ "แฮร์มันน์ วิลเฮล์ม เกอริง" → "แฮร์มัน เกอริง" +แทนที่ "ชเวริน ฟอน โครซิกค" → "ชเวรีน ฟ็อน โครซิค" +แทนที่ "บูร์ก" → "บวร์ค" +แทนที่ "พอตสดัม" → "พ็อทซ์ดัม" +แทนที่ "ไรน์ลันด์" → "ไรน์ลันท์" +แทนที่ "บรันเดนบวร์ค" → "บรันเดินบวร์ค" +แทนที่ "โพเมอราเนีย" → "พอเมอเรเนีย" +แทนที่ "มาร์ทิน" → "มา... |
||
บรรทัด 77:
| deputy2 = [[โยเซฟ เกิบเบิลส์]]
| year_deputy2 = 1945
| deputy3 = [[ลุทซ์
| year_deputy3 = 1945
| stat_area1 = 470083
บรรทัด 131:
ชื่ออย่างเป็นทางการของรัฐ คือ ดอยท์เชิสไรช์ ("ไรช์เยอรมัน") ตั้งแต่ปี 1933 ถึง 1943 และโกรสดอยท์เชิสไรช์ ("ไรช์มหาเยอรมัน") ตั้งแต่ปี 1943 ถึง 1945 ในภาษาอังกฤษมักแปลคำว่าดอยท์เชิสไรช์เป็นจักรวรรดิเยอรมัน<ref name="van Wie 1999">{{cite book|last=van Wie|first=Paul D.|title=Image, History and Politics: The Coinage of Modern Europe| year = 1999| publisher = University Press of America "|location = Lanham, Md|isbn = 978-0-7618-1221-0 | page=37 }}</ref> ซึ่งคำว่า "ไรช์" นี้มีความหมายว่า "แผ่นดิน" อันหมายถึงอาณาจักรของ[[ไกเซอร์]]
ส่วนคำว่า "ไรช์ที่สาม" นั้น พวกนาซีรับมา ใช้ครั้งแรกในนวนิยายเมื่อปี 1923 โดยอาร์
== ประวัติศาสตร์ ==
บรรทัด 172:
เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1933 ฮิตเลอร์ประกาศว่าจะต้องสร้างเสริมอาวุธยุทธภัณฑ์ โดยทีแรกกระทำในทางลับ เนื่องจากการดังกล่าวเป็นการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย ปีต่อมาเขาบอกผู้นำทหารว่าปี 1942 เป็นวันที่เป้าหมายสำหรับการเข้าสู่สงครามในทางตะวันออก{{sfn|Evans|2005|pp=338–339}} เขาพาประเทศเยอรมนีออกจาก[[สันนิบาตชาติ]]ในปี 1933 โดยอ้างว่า ข้อกำหนดการลดกำลังรบขององค์การฯ ไม่ยุติธรรม เนื่องจากมีผลบังคับต่อเฉพาะประเทศเยอรมนี{{sfn|Evans|2005|p=618}} ซาร์ลันด์ซึ่งถูกกำหนดภายใต้การควบคุมดูแลของสันนิบาตชาติเป็นเวลา 15 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุด ออกเสียงลงคะแนนในเดือนมกราคม 1935 เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนี{{sfn|Evans|2005|p=623}} ในเดือนมีนาคม 1935 ฮิตเลอร์ประกาศว่าไรช์สเวร์จะเพิ่มกำลังเป็น 550,000 นายและเขาจะตั้งกองทัพอากาศ{{sfn|Kitchen|2006|p=271}} บริเตนเห็นชอบว่าชาวเยอรมนีควรได้รับอนุญาตให้สร้างกองทัพเรือโดยการลงนามความตกลงนาวีอังกฤษ-เยอรมันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1935{{sfn|Evans|2005|p=629}}
เมื่อการบุกครองเอธิโอเปียของอิตาลีนำสู่การประท้วงเพียงเล็กน้อยจากรัฐบาลบริเตนและฝรั่งเศส วันที่ 7 มีนาคม 1936 ฮิตเลอร์ใช้สนธิสัญญาความช่วยเหลือกันฝรั่งเศส-โซเวียตเป็นข้ออ้างในการสั่งกองทัพบกให้เคลื่อนกำลัง 3,000 นายเข้าสู่เขตปลอดทหารใน[[
ฮิตเลอร์ส่งหน่วยอากาศและยานเกราะสนับสนุนพลเอก [[ฟรานซิสโก ฟรังโก]] และกำลังชาตินิยมใน[[สงครามกลางเมืองสเปน]]ซึ่งปะทุในเดือนกรกฎาคม 1936 สหภาพโซเวียตส่งกำลังที่เล็กกว่าเข้าช่วยรัฐบาลสาธารณรัฐนิยม ฝ่ายชาตินิยมของฟรังโกชนะในปี 1939 และกลายเป็นพันธมิตรอย่างไม่เป็นทางการของนาซีเยอรมนี{{sfn|Steiner|2011|pp=181–251}}
บรรทัด 202:
เดอนิตช์พยายามที่จะติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อขอยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข<ref>William Shirer. ''The Rise and Fall of the Third Reich''. Fawcett Crest. New York. 1983. ISBN 0-449-21977-1</ref> เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1945 ได้มีการยอมจำนนอย่างเป็นทางการ<ref>Donnelly, Mark. ''Britain in the Second World War'', pg. xiv</ref> ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดการคงอยู่ของนาซีเยอรมนี<ref>''"...also based on the fact that after the debellatio of Germany, the Allied powers have been the local sovereigns in Germany.".'' United Nations War Crimes Commission. [http://books.google.co.uk/books?id=Z-xlVF_5Hu8C&pg=PA13&dq=debellatio+allies+germany&sig=ACfU3U0E77AgKBDsfN3L4u4_0OjN_qwZhw#v=onepage&q=debellatio&f=false Law reports of trials of war criminals]. William S. Hein & Co., Inc. p. 14</ref>
ในเดือนสิงหาคม ได้มีการจัด[[การประชุม
การแบ่งแยกปกครองเยอรมนีเริ่มต้นขึ้นภายใต้การจัดตั้ง[[สภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตร]] และแบ่งเยอรมนีและกรุงเบอร์ลินออกเป็น 4 ส่วน ให้อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต โดยส่วนที่ปกครองโดยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมตัวกันเป็น[[เยอรมนีตะวันตก]] และส่วนที่สหภาพโซเวียตปกครองกลายมาเป็น[[เยอรมนีตะวันออก]] เยอรมนีทั้งสองเป็นสนามรบของ[[สงครามเย็น]]ในทวีปยุโรป ก่อนที่จะมีการรวมประเทศอีกครั้งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20
บรรทัด 209:
เยอรมนีตั้งอยู่ในเขตที่ราบต่ำตอนกลางทวีปยุโรป<ref>M. Ali Khan, A.Sherieff, A.Balakishan. pp. 293.</ref> มีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่สามแห่ง ได้แก่ เขตที่ราบต่ำตอนเหนือ เขตภูเขาตอนกลาง และเขตที่ราบสูงและลุ่มแม่น้ำทางใต้ ดินทางตอนเหนือนั้นมีคุณค่าทางเศรษฐกิจมาก และมีป่าสนกินอาณาเขตกว้างขวางตามตีนเขาของเทือกเขาที่ลากผ่านตอนกลางของประเทศ<ref>M. Ali Khan, A.Sherieff, A.Balakishan. pp. 118-119.</ref>
ด้านการคมนาคม ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติ เยอรมนีมีทางน้ำในประเทศความยาวรวมกว่า 7,000 ไมล์ ซึ่งในจำนวนนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจถึง 4,830 ไมล์<ref name="Geo122">M. Ali Khan, A.Sherieff, A.Balakishan. pp. 122.</ref> มีเมืองท่าที่สำคัญ คือ
[[เกษตรกรรม]]ในประเทศประสบความสำเร็จอย่างมาก และสามารถปลูกพืชได้หลายชนิด ในปี 1936 ราว 61% ของพื้นที่ทั้งประเทศเป็นพื้นที่เพาะปลูก<ref name="Geo126">M. Ali Khan, A.Sherieff, A.Balakishan. pp. 126.</ref> โดยพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ [[ข้าวไรย์]] มันฝรั่ง ชูการ์บีต และไม้องุ่น<ref>M. Ali Khan, A.Sherieff, A.Balakishan. pp. 126-127.</ref> มีทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ [[ถ่านหิน]] ปิโตรเลียม<ref>M. Ali Khan, A.Sherieff, A.Balakishan. pp. 130.</ref> ทองแดง สังกะสี และดีเกลือ<ref>M. Ali Khan, A.Sherieff, A.Balakishan. pp. 132-133.</ref>
บรรทัด 227:
=== การเปลี่ยนแปลงหลังสงคราม ===
[[ไฟล์:Germanborders.svg|thumb|300px|ดินแดนที่เยอรมนีสูญเสียไปหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง]]
พรมแดนโดยพฤตินัยของนาซีเยอรมนีเปลี่ยนแปลงมานานก่อนการล่มสลายในเดือนพฤษภาคม 1945 เพราะกองทัพแดงคืบหน้ามาทางตะวันออก พร้อมกับที่ประชากรเยอรมันหลบหนีมายังแผ่นดินเยอรมนี และสัมพันธมิตรตะวันตกรุกคืบมาทางตะวันออกจากฝรั่งเศส เมื่อสงครามยุติ มีเพียงผืนดินเล็ก ๆ จากออสเตรียถึงโบฮีเมียและโมราเวีย และภูมิภาคที่ถูกโดดเดี่ยวอื่น ๆ เท่านั้นที่ยังไม่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครอง ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสถาปนาเขตยึดครอง ดินแดนเยอรมนีก่อนสงครามทางตะวันออกของแนวโอเดอร์-นีซเซ (อันประกอบด้วย [[ปรัสเซียตะวันออก]] [[ไซลีเซีย]] [[ปรัสเซียตะวันตก]] ราวสองในสามของ[[
การเปลี่ยนแปลงดินแดนดังกล่าวส่งผลกระทบให้ชาวเยอรมันราว 14 ล้านคน<ref name="expelled">de Zayas, Alfred-Maurice: ''A Terrible Revenge: The Ethnic Cleansing of the Eastern European Germans 1944-1950'', New York: St. Martin's Press, 1994</ref> ถูกขับออกจากดินแดนซึ่งอยู่นอกพรมแดนประเทศเยอรมนีใหม่ มีผู้เสียชีวิตระหว่างเหตุการณ์นี้ประมาณ 1-2 ล้านคน<ref name="expelled"/> เช่นเดียวกับเมืองใหญ่น้อยทั้งหลาย เช่น [[สเทททิน]], [[เคอนิกซเบิร์ก]], [[เบรสเลา]], [[เอลบิง]] และ[[ดันท์ซิช]] ที่ได้ขับชาวเยอรมันออกจากเมืองเช่นกัน
บรรทัด 236:
=== การแบ่งเขตการปกครองในไรช์ ===
[[ไฟล์:NS administrative Gliederung 1944.png|thumb|250px|การแบ่งเขตการปกครองในไรช์มหาเยอรมัน ค.ศ. 1944]]
เพื่อให้การควบคุมเยอรมนี
=== โครงสร้างรัฐบาลไรช์ ===
บรรทัด 248:
* '''คณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร'''
** [[คณะรัฐมนตรีฮิตเลอร์]]
** [[คณะรัฐมนตรี
* '''สำนักงานแห่งชาติ'''
** ทำเนียบฟือเรอร์และนายกรัฐมนตรี ([[ฟีลิพ โบอูแลร์]])
** สำนักงานที่ทำการพรรค ([[
** สำนักทำเนียบประธานาธิบดี ([[ออทโท ไมส์ซแนร์]])
** สำนัก[[ทำเนียบนายกรัฐมนตรีไรช์]] ([[ฮันส์ ลัมแมร์ส]])
** สภาคณะรัฐมนตรีลับ ([[
* '''กระทรวงไรช์'''
** กระทรวงมหาดไทยไรช์ ([[วิลเฮล์ม ฟริค]], [[ไฮน์ริช
** กระทรวงโฆษณาแถลงข่าวและโฆษณาชวนเชื่อไรช์ ([[โยเซฟ เกิบเบิลส์]])
** กระทรวงการบินไรช์ ([[
** กระทรวงการคลัง ([[ลุทซ์
** กระทรวงยุติธรรมไรช์ ([[ฟรันซ์ เกือร์ทแนร์]], [[ออทโท ไทรัค]])
** กระทรวงเศรษฐกิจไรช์ ([[อัลเฟรด ฮูเกนแบร์ก]], [[คุร์ท ชมิทท์]], [[ฮยัลมาร์ ชัคท์]], แฮร์มันน์ เกอริง, [[วัลเทอร์ ฟังค์]])
บรรทัด 268:
** กระทรวงการคมนาคมไรช์ ([[ยูลีอุส ดอร์พมึลเลอร์]])
** กระทรวงไปรษณีย์ไรช์ ([[วิลเฮล์ม โอเนซอร์เกอ]])
** กระทรวงอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และอาวุธยุทธภัณฑ์ ([[ฟริทซ์ ท็อดท์]], [[อัลแบร์ท
** กระทรวงดินแดนตะวันออกที่ถูกยึดครอง ([[อัลเฟรด โรเซินแบร์ก]])
** รัฐมนตรีไม่ประจำกระทรวง ([[
* '''สำนักงานไรช์'''
** สำนักงาน[[แผนการสี่ปี|แผนสี่ปี]] (แฮร์มันน์ เกอริง)
** สำนักงานผู้ตรวจการทางหลวง
** สำนักงานประธานธนาคารไรช์
** สำนักงานความมั่นคงหลักไรช์ ([[
** สำนักงานพนักงานป่าไม้ไรช์ (แฮร์มันน์ เกอริง)
** สำนักงานเยาวชนไรช์
บรรทัด 287:
** อัมท์ โรเซนแบร์ก
=== รัฐบาล
[[ไฟล์:News. V.E. Day BAnQ P48S1P12270.jpg|thumb|''Montreal Daily Star'': "Germany Quit", 8 พฤษภาคม 2488 (ค.ศ. 1945)]]
คณะรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีแห่ง[[รัฐบาล
* ประธานาธิบดี: จอมพลเรือ [[คาร์ล เดอนิทซ์]] (ควบตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดแห่ง[[แวร์มัคท์]])
* [[ลุทซ์
* [[ไฮน์ริช
* [[อัลเฟรด โรเซินแบร์ก]] (ถูกปลดเมื่อวันที่ [[6 พฤษภาคม]] 1945)
* ดร. [[วิลเฮล์ม สทุคอาร์ท]] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแทน
* [[อัลแบร์ท
* ดร. [[เฮอร์เบิร์ต บัคเคอ]] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหาร กระทรวงเกษตรกรรมและป่าไม้
* ดร. [[ฟรานซ์ เชลตท์]] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและกิจการสังคม
บรรทัด 340:
เช่นเดียวกับการผสานความเชื่อทางการเมืองของฟาสซิสต์ เศรษฐกิจสงครามของนาซีเป็นเศรษฐกิจแบบผสมระหว่าง[[ตลาดเสรี]]กับการวางแผนจากส่วนกลาง นักประวัติศาสตร์ ริชาร์ด โอเวรี รายงานว่า "เศรษฐกิจเยอรมนีอยู่ระหว่างม้านั่งสองตัว ไม่มีการบัญชาเศรษฐกิจเพียงพอจะทำอย่างที่ระบบโซเวียตทำได้ แต่ก็ไม่เป็น[[ทุนนิยม]]เพียงพอจะพึ่งพาการสรรหาวิสาหกิจเอกชนอย่างของอเมริกา"{{sfn|Overy|1995|p=205}}
ค.ศ. 1942 หลังการเสียชีวิตของฟริทซ์ ทอดท์ ฮิตเลอร์แต่งตั้งสถาปนิกคนโปรด [[อัลแบร์ท
ลำดับความสำคัญสูงสุดตกแก่การผลิตเครื่องบินรบ ซึ่งมีการประสานงานอย่างเลวและพึ่งพาแรงงานฝีมือที่ขาดแคลนมากเกินไป
[[ไฟล์:Lapanka zoliborz warszawa Polska 1941.jpg|thumb|230px|การล้อมจับพลเรือนแบบสุ่มเพื่อส่งไปใช้แรงงานเกณฑ์ในนาซีเยอรมนี]]
บรรทัด 355:
ในช่วงปลายสงคราม กองทัพสัมพันธมิตรได้รุกมาจากแนวรบตะวันตกและตะวันออกทำให้เยอรมนีต้องรับศึกอย่างหนักและปราชัยอย่างต่อเนื่อง ฮิตเลอร์ได้ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่มีนำไปใช้ในการป้องกันการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตรและทำการวิจัยเทคโนโลยีต่างๆ เช่น [[ทีเกอร์ 2|รถถังทีเกอร์ 2]], [[จรวดวี-2]] และอื่นรวมไปถึงการวิจัยในการสร้างระเบิดปรมาณูเพื่อหาทางให้ได้มาซึ่งชัยชนะแก่อาณาจักรไรซ์ที่สามที่เขาสร้างมากับมือแต่ทว่ากลับต้องประสบความล้มเหลวและทรัพยากรก็ถูกล้างผลาญไปจนเกือบหมด
เมื่อวิกฤตของไรซ์ที่สามได้มาถึง เมื่อกองทัพสัมพันธมิตรได้รุกเข้าสู่เยอรมนีและกรุงเบอร์ลินถูกล้อม ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งแก่อัลแบร์ท
== การทหาร ==
บรรทัด 383:
=== สวัสดิภาพสังคม ===
งานวิจัยล่าสุดโดยนักวิชาการเช่นเกิทซ์ อาลือ ได้เน้นบทบาทของโครงการสวัสดิภาพสังคมขนานใหญ่ของนาซีซึ่งมุ่งจัดหางานแก่พลเมืองเยอรมันและประกันมาตรฐานการครองชีพขั้นต่ำสุด ที่มุ่งเน้นอย่างหนัก คือ ความคิดชุมชนสัญชาติเยอรมันหรือ[[โฟลค์ซเกไมน์ชัฟท์]]{{sfn|Grunberger|1971|p=18}} เพื่อช่วยเพิ่มความรู้สึกของชุมชน ประสบการณ์กรรมกรและความบันเทิงของชาวเยอรมัน จากเทศกาล ถึงการเดินทางวันหยุดและโรงหนังกลางแปลง ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "[[ความแข็งแรงผ่านความรื่นเริง]]" (Kraft durch Freude, KdF) การนำบริการกรรมกรแห่งชาติ (National Labour Service) และองค์การ[[ยุวชนฮิตเลอร์]]ไปปฏิบัติโดยบังคับให้เป็นสมาชิกสำคัญต่อการสร้างความจงรักภักดีและมิตรภาพ นอกเหนือจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการสถาปัตยกรรมจำนวนหนึ่ง คาเดเอฟสร้างคาเดเอฟวาเกน ที่ภายหลังรู้จักกันในชื่อ [[
การรณรงค์[[บรรเทาฤดูหนาว]]ไม่เพียงเป็นการรวบรวมเงินบริจาคแก่ผู้อาภัพเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนพิธีกรรมเพื่อสร้างอารมณ์สาธารณะ{{sfn|Grunberger|1971|p=79}} ส่วนหนึ่งของการรวมศูนย์อำนาจนาซีเยอรมนี ใบปิดประกาศกระตุ้นให้ประชาชนบริจาคแทนที่จะให้ขอทานโดยตรง<ref name="conscience"/>
บรรทัด 397:
=== นโยบายเชื้อชาติ ===
เป็นที่ประจักษ์ว่าชุมชนยิวในเยอรมนีเป็นเป้าแห่งความเกลียดชังตั้งแต่การปราศรัยและงานเขียนแรก ๆ ของฮิตเลอร์ อุดมการณ์นาซีวางกฎเข้มงวดเกี่ยวกับว่าใครเป็นหรือไม่เป็นสายเลือด "อารยัน" บริสุทธิ์ มีการกำหนดการปฏิบัติเพื่อทำให้เชื้อชาติอารยันบริสุทธิ์ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นหนึ่งเดียวกับ[[เชื้อชาตินอร์ดิก]] ตามด้วยเชื้อชาติรองที่เล็กกว่าของเชื้อชาติอารยันเพื่อเป็นตัวแทนของเชื้อชาติปกครองที่เป็นอุดมคติและบริสุทธิ์ ผลของนโยบายสังคมนาซีในเยอรมนีแบ่งแยกระหว่างผู้ที่ถูกมองว่าเป็น "อารยัน" กับ "มิใช่อารยัน" ยิว หรือส่วนหนึ่งของกลุ่มชนกลุ่มน้อยอื่น สำหรับเชื้อชาติอารยัน การดำเนินโยบายสังคมจำนวนมากที่เอื้อประโยชน์ต่อคนกลุ่มนี้โดยระบอบนาซีเพิ่มขึ้นตามกาล รวมถึงการคัดค้านการสูบบุหรี่โดยรัฐ การล้างมลทินแก่เด็กอารยันที่เกิดแก่บิดามารดานอกสมรส เช่นเดียวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ครอบครัวเยอรมันอารยันที่ให้กำเนิดบุตร<ref name=Biddiscombe>Perry Biddiscombe "Dangerous Liaisons: The Anti-Fraternization Movement in the US Occupation Zones of Germany and Austria, 1945-1948", Journal of Social History 34.3 (2001) 611-647</ref> วันที่ 1 เมษายน 1933 ฮิตเลอร์ประกาศคว่ำบาตรสถานประกอบธุรกิจยิวทั้งประเทศ ครอบครัวยิวจำนวนมากเตรียมตัวออกนอกประเทศ แต่อีกหลายครอบครัวหวังว่าการดำรงชีพของพวกตนและทรัพย์สินจะปลอดภัย เพราะตนเป็นพลเมืองเยอรมัน
พรรคนาซีดำเนินนโยบายเชื้อชาติและสังคมผ่านการเบียดเบียนและการสังหารผู้ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ที่สังคมไม่พึงปรารถนาหรือ "ศัตรูแห่งไรช์" ที่ตกเป็นเป้าพิเศษ คือ ชนกลุ่มน้อยเช่น ยิว [[โรมานี]] (หรือยิปซี) ผู้นับถือพยานพระยะโฮวาห์<ref>[http://www.ushmm.org/wlc/article.php?lang=en&ModuleId=10005394 United States Holocaust Memorial Museum]{{cite web | url = http://www.ushmm.org/wlc/article.php?lang=en&ModuleId=10005394 | title = ushmm.org | accessdate = 2007-08-15 | publisher = }}</ref> ผู้ที่มีความพิการทางจิตหรือทางกาย และพวก[[รักร่วมเพศ]] ในคริสต์ทศวรรษ 1930 แผนเพื่อโดดเดี่ยวและกำจัดยิวอย่างสมบูรณ์ในเยอรมนีท้ายสุด เริ่มจากการก่อสร้าง{{ไม่ตัดคำ|[[เกตโตในทวีปยุโรปภายใต้การยึดครองของนาซี|เกตโต]]}} ค่ายกักกัน และค่ายใช้แรงงาน โดยมีการก่อสร้าง[[ค่ายกักกันดาเชา]]เป็นแห่งแรกในปี 1933 เมื่อไฮน์ริช
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 146-1970-083-42, Magdeburg, zerstörtes jüdisches Geschäft.jpg|thumb|230px|ร้านค้าที่ยิวเป็นเจ้าของกิจการถูกทำลายย่อยยับในเหตุการณ์คริสทัลล์นัคท์]]
เส้น 407 ⟶ 406:
นาซียังดำเนินโครงการที่พุ่งเป้าไม่ยังผู้ที่ "อ่อนแอ" หรือ "ไม่มีสมรรถภาพ" เช่น โครงการ[[อัคซีโยน เท4|การุณยฆาตเท4]] ซึ่งคร่าชีวิตผู้พิการและชางเยอรมันที่ป่วยหลายหมื่นคน ในความพยายามที่จะ "ธำรงความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติปกครองอารยัน" ({{lang-de|Herrenvolk}}) ดังที่นักโฆษณาของนาซีอธิบาย เทคนิคการสังหารจำนวนมากที่พัฒนาในความพยายามเหล่านี้ภายหลังถูกใช้ใน[[ฮอโลคอสต์]] ภายใต้กฎหมายที่ผ่านในปี 1933 ระบอบนาซีดำเนินการบังคับทำหมันปัจเจกบุคคล 400,00 คน ที่ถูกหมายว่ามีความบกพร่องทางพันธุกรรม ซึ่งมีตั้งแต่การป่วยทางจิตไปจนถึงติดแอลกอฮอล์
อีกส่วนประกอบของโครงการสร้างความบริสุทธิ์ทางเชื้อชาติของนาซี คือ [[
ในปี 1941 เยอรมนีตัดสินใจทำลายชาติโปแลนด์อย่างสมบูรณ์และผู้นำเยอรมันตัดสินใจว่าในอีก 10 ถึง 20 ปี ชาวโปแลนด์ในรัฐโปแลนด์ภายใต้การยึดครองของเยอรมนีจะถูกกวาดล้างอย่างสมบูรณ์ และให้ผู้อยู่ในนิคมชาวเยอรมันเข้าไปตั้งถิ่นฐานแทน<ref name="Germans and Poles 1871–1945"/> นาซีมองว่า ยิว ชาวโรมานี ชาวโปแลนด์อยู่ในกลุ่มเดียวกับชนสลาฟ เช่น [[ชาวรัสเซีย]] [[ชาวยูเครน]] [[ชาวเช็ก]] และอีกหลายเชื้อชาติที่มิใช่ "ชาวอารยัน" ตามศัพทวิทยาเชื้อชาตินาซีร่วมสมัยเป็น
[[แฮร์แบร์ท บาเคอ]]เป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลัง[[แผนความหิว]] (Hunger Plan) ซึ่งเป็นแผนให้ชนสลาฟหลายสิบล้านคนอดอยากเพื่อประกันเสบียงอาหารแก่ประชาชนและทหารเยอรมัน<ref name="destruction"/> ในระยะยาว นาซีต้องการกำจัดชนสลาฟราว 30–45 ล้านคน<ref name="google21"/> ตามข้อมูลของมิคาเอล ดอร์แลนด์ "ดังที่นักประวัติศาสตร์เยล ทีโมธี ซไนเดอร์เตือนเรา หากนาซีประสบความสำเร็จในสงครามกับรัสเซีย การนำอีกสองมิติของฮอโลคอสต์ไปปฏิบัติ แผนความหิวและเจเนรัลพลันโอสท์ จะนำไปสู่การกำจัดคนอีก 80 ล้านคนในเบลารุส รัสเซียเหนือและสหภาพโซเวียตผ่านความอดอยาก"<ref name="google22"/>
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-N0827-318, KZ Auschwitz, Ankunft ungarischer Juden.jpg|thumb|230px|ชาวยิวฮังการีที่จะถูกสังหารในห้องรมแก๊ส (พฤษภาคม 1944)]]
ต้นสงครามโลกครั้งที่สอง ทางการเยอรมนีในเจเนรัลกออูแวร์เนเมนท์ในโปแลนด์ที่ถูกยึดครองสั่งให้ยิวทุกคนถูกบังคับใช้แรงงาน และผู้ที่ด้อยสมรรถภาพทางกาย เช่น หญิงและเด็ก ถูกกักกันอยู่ในเกตโต{{sfn|Kershaw|2000|p=111}} สำหรับนาซีแล้ว มีหลายแนวคิดปรากฏขึ้นว่าจะตอบ "[[ปัญหาชาวยิว]]" อย่างไร วิธีหนึ่ง คือ การบังคับเนรเทศยิวขนานใหญ่ อดอล์ฟ ไอชมันน์เสนอให้ยิวถูกบังคับอพยพไปยัง[[ปาเลสไตน์]]{{sfn|Kershaw|2000|p=111}} ฟรันซ์ ราเดมาแคร์เสนอให้ยิวถูกเนรเทศไปยัง[[มาดากัสการ์]] ข้อเสนอนี้ได้รับการสนับสนุนโดย
=== บทบาทของสตรีและครอบครัว ===
เส้น 430 ⟶ 429:
แม้บทบาทของสตรีในสังคมเยอรมันจะลดลงไปมาก แต่สตรีบางคนก็ยังมีบทบาทสำคัญ จนการยกย่องสรรเสริญและประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น ฮันนา ไรท์ช นักบินประจำตัวฮิตเลอร์ และเลนี ไรเฟนสทาล ผู้กำกับภาพยนตร์และดารา
ในประเด็นกิจการทางเพศเกี่ยวกับสตรี บิดดิสคอมเบอแย้งว่า นาซีแตกต่างจากท่าทีจำกัดบทบาทของสตรีในสังคมอย่างมาก ระบอบนาซีสนับสนุนจรรยาบรรณเสรีนิยมที่คำนึงถึงประเด็นทางเพศ และเห็นใจสตรีที่เกิดลูกนอกสมรส<ref name="Biddiscombe2001"/> การล่มสลายของศีลธรรมคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในเยอรมนีถูกเร่งขึ้นระหว่างไรช์ที่สาม บางส่วนเป็นเพราะนาซี และส่วนใหญ่เนื่องมาจากผลของสงคราม การสำส่อนเพิ่มขึ้นมากเมื่อสงครามดำเนินไป ด้วยทหารที่ไม่แต่งงานมักสนิทสนมกับสตรีหลายคนพร้อมกัน สตรีที่สมรสแล้วมักข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับบุรุษหลายคนพร้อมกัน กับทั้งทหาร พลเรือนหรือผู้ใช้แรงงานทาส "หญิงดูแลไร่บางคนในเวือร์ทเทมแบร์กเริ่มใช้เพศสัมพันธ์เป็นโภคภัณฑ์แล้ว โดยจ่ายรสชาติเนื้อหนังมังสาเป็นวิธีการได้งานเต็มวันจากกรรมกรต่างด้าว"<ref name = "Biddiscombe2001"/> กระนั้น การโฆษณาชวนเชื่อนาซีคัดค้านการทำชู้และสนับสนุนความศักดิ์สิทธิ์ของการสมรสอย่างเปิดเผย<ref name="goddesses"/> ภาพยนตร์หลายเรื่องที่ถ่ายทำในสมัยนี้เปลี่ยนแปลงวัสดุที่มา ให้สตรีเผชิญความตายจากการละเมิดทางเพศแทนที่จะเป็นชาย สะท้อนให้เห็นว่าความผิดเป็นของใคร{{sfn|Grunberger|1971|p=382}} เมื่อมีความพยายามล้างมลทินแก่บุตรนอกกฎหมาย บ้าน
การสมรสหรือความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างบุคคลที่ถูกมองว่าเป็น "อารยัน" กับผู้ที่ไม่ถูกจัดเป็นรัสเนชันเดอถูกห้ามและมีบทลงโทษ อารยันที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดอาจถูกนำตัวไปกักขังในค่ายกักกัน ขณะที่ผู้ที่มิใช่อารยันอาจเผชิญโทษประหารชีวิต มีจุลสารสั่งให้สตรีเยอรมันทุกคนหลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์กับกรรมกรต่างด้าวทั้งหมดที่นำเข้ามาในประเทศเยอรมนีว่าเป็นอันตรายต่อเลือดของพวกเธอ{{sfn|Rupp|1978|pp=124–125}}
เส้น 442 ⟶ 441:
=== นโยบายการคุ้มครองสัตว์ ===
นาซีมีส่วนซึ่งสนับสนุนสิทธิสัตว์ สวนสัตว์และสัตว์ป่า<ref name="BHTFSN153"/> และดำเนินหลายมาตรการเพื่อประกันการคุ้มครองสัตว์<ref name="RA132"/> ในปี 1933 รัฐบาลตรากฎหมายคุ้มครองสัตว์ที่เข้มงวด<ref name="bmj"/><ref name="www_kaltio_fi5"/> ผู้นำพรรคนาซีหลายคน รวมทั้งฮิตเลอร์และเกอริง เป็นผู้สนับสนุนการคุ้มครองสัตว์ นาซีหลายคนเป็นนักสิ่งแวดล้อมนิยม (ที่โดดเด่น คือ [[รูดอล์ฟ เฮสส์]]) และการคุ้มครองสปีชีส์และสวัสดิภาพสัตว์เป็นประเด็นสำคัญในระบอบนาซี<ref name="NWC5"/>
แม้มีการตรากฎหมายหลายฉบับเพื่อการคุ้มครองสัตว์ แต่ก็ขาดการบังคับใช้ ตามข้อมูลของพฟูแกร์สอาร์คิฟเฟือร์ไดเกซัมเทฟีซิโอโลจี (กรุสรีรวิทยาทั้งหมดพฟูแกร์ส) วารสารวิทยาศาสตร์ในขณะนั้น มีการทดลองกับสัตว์หลายการทดลองระหว่างระบอบนาซี<ref name="SCGG90"/> ระบอบนาซียุบองค์การไม่เป็นทางการจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนสิ่งแวดล้อมนิยมและการคุ้มครองสัตว์ เช่น เฟรนด์สออฟเนเจอร์<ref name="Animals in the Third Reich: Pets, Scapegoats, and the Holocaust"/>
เส้น 453 ⟶ 452:
ระบอบนาซีมุ่งฟื้นฟูค่านิยมดั้งเดิมในวัฒนธรรมเยอรมัน ศิลปวัฒนธรรมที่นิยามสมัยสาธารณรัฐไวมาร์ถูกปราบปราม ทัศนศิลป์ถูกเฝ้าสังเกตอย่างเข้มงวดและเป็นแบบประเพณี เน้นยกตัวอย่างแก่นเยอรมัน ความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ แสนยนิยม คตินิยมวีรบุรุษ อำนาจ ความเข้มแข็งและความเชื่อฟัง ศิลปะนามธรรมสมัยใหม่และ[[อาวองการ์ด|ศิลปะอาวองการ์ด]]ถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ และถูกจัดแสดงเป็นพิเศษว่าเป็น "ศิลปะเสื่อม" ที่ซึ่งผลงานเหล่านี้จะถูกเยาะหยัน ในตัวอย่างที่โดดเด่นครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1937 ฝูงชนขนาดใหญ่ยืนเข้าแถวเพื่อชมการจัดแสดงพิเศษ "ศิลปะเสื่อม" ในมิวนิก รูปแบบศิลปะที่ถูกมองว่าเสื่อม มี[[คติดาด]] [[บาศกนิยม]] [[ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์]] [[คติโฟวิสต์]] [[ลัทธิประทับใจ]] [[ปรวิสัยใหม่]] และ[[ลัทธิเหนือจริง]] วรรณกรรมที่เขียนโดยชาวยิว ชนที่มิใช่อารยันอื่น พวกรักร่วมเพศหรือผู้ประพันธ์ที่คัดค้านนาซีจะถูกรัฐบาลทำลาย การทำลายวรรณกรรมที่ฉาวโฉ่ที่สุด คือ การเผาหนังสือโดยนักเรียนเยอรมันในปี 1933
แม้ความพยายามอย่างเป็นทางการในการสร้างวัฒนธรรมเยอรมันบริสุทธิ์ พื้นที่หลักหนึ่งของศิลปะและสถาปัตยกรรมภายใต้การชี้นำส่วนตัวของฮิตเลอร์เป็น[[ลัทธิคลาสสิกใหม่]] ซึ่งเป็นรูปแบที่อิงสถาปัตยกรรมโรมโบราณ รูปแบบนี้ขัดและค้านรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ใหม่กว่า เป็นเสรีนิยมกว่า และได้รับความนิยมกว่าในสมัยนั้นอย่าง[[อลังการศิลป์]] อาคารโรมันจำนวนมากได้รับการพิจารณาโดยสถาปนิกของรัฐ อัลแบร์ท
=== ภาพยนตร์และสื่อ ===
|