ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระแสงขรรค์ชัยศรี"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
แก้ไขบางส่วน |
||
บรรทัด 2:
[[ไฟล์:Bkkryregaliasv0609.jpg|thumb|250px|ซุ้มเฉลิมพระเกียรติใน[[งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พุทธศักราช 2549]] แสดงภาพจำลองพระแสงขรรค์ชัยศรี]]
'''พระแสงขรรค์ชัยศรี''' เป็นพระแสงศาสตราวุธประจำองค์[[พระมหากษัตริย์]] และเป็นหนึ่งในห้าของ[[เบญจราชกกุธภัณฑ์]] [[พระขรรค์]]หมายถึง พระสติปัญญาความรอบรู้ในการปกครองบ้านเมือง พระแสงองค์นี้มีประวัติอันเก่าแก่ พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นราชสมบัติจากเขมรเมืองพระนครตั้งแต่ยุคนครวัดถึงยุคนครธม มีหลักฐานสำคัญอยู่ใน[[
เมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึง[[กรุงเทพมหานคร]] ได้เกิดฟ้าผ่าในพระนครถึง ๗ แห่ง เช่นที่[[ประตูวิเศษไชยศรี]]ในพระราชฐานชั้นนอก [[ประตูพิมานไชยศรี]]ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้เข้าไปในพระบรมมหาราชวัง
พระแสงขรรค์ชัยศรีเป็นพระแสงศาสตราวุธที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีที่สำคัญ ได้แก่ [[พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา]]และ[[
== ขนาด ==
ทั้งด้ามและฝักมีความยาว ๑๑๕ ซม. ฝักกว้าง ๕.๕ ซม. ใบพระขรรค์ทำด้วยเหล็กมีคมทั้งสองด้าน ส่วนด้ามทำด้วยแก้วผลึกรูป ๘ เหลี่ยม มีทองคาดตามแนวปลายด้ามทำเป็นหัวเม็ดรูป ๖ เหลี่ยมประดับ[[พลอย]] ตัวฝักทำด้วยทองคำประดับด้วยลายรักร้อย ขอบฝักทำเป็นลาย[[กระหนก]] ประดับ[[อัญมณี]]สี
▲ทั้งด้ามและฝักมีความยาว ๑๑๕ ซม. ฝักกว้าง ๕.๕ ซม. ใบพระขรรค์ทำด้วยเหล็กมีคมทั้งสองด้าน ส่วนด้ามทำด้วยแก้วผลึกรูป ๘ เหลี่ยม มีทองคาดตามแนวปลายด้ามทำเป็นหัวเม็ดรูป ๖ เหลี่ยมประดับ[[พลอย]] ตัวฝักทำด้วยทองคำประดับด้วยลายรักร้อย ขอบฝักทำเป็นลาย[[กระหนก]] ประดับ[[อัญมณี]]สีต่างๆ
== วัสดุที่ใช้ทำ ==
สมัยโบราณกาล การจัดสร้างพระแสงนั้น ผู้สร้างจะเลือกโลหะหรือแร่ต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพื่อสร้างเป็นพระแสงที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เกรงขามของศัตรู โดย [[ช่างตีดาบหลวง]] จะนำเนื้อโลหะต่างชนิดนำมาถลุงหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวเพื่อตีขึ้นรูปดาบ จึงเกิดเป็นสูตรของโลหะ ๓ ประเภท๖ คือ เบญจโลหะ คือ เนื้อโลหะที่หลอมรวมจากเหล็ก ๑ ปรอท ๑ ทองแดง ๑ เงิน ๑ และทองคำ ๑
[[สัตโลหะ]] คือ เนื้อโลหะที่หลอมรวมจากเหล็ก ๑ ปรอท ๑ ทองแดง ๑ เงิน ๑ ทองคำ ๑ เจ้าน้ำเงิน ๑ (ปกติเรียก “เจ้า” เป็นแร่ชนิดหนึ่งสีเขียวเหลือบน้ำเงิน) และสังกะสี ๑
[[นวโลหะ]] คือ เนื้อโลหะถึง ๙ ชนิด คือ เหล็ก ๑ ปรอท ๑ ทองแดง ๑ เงิน ๑ ทองคำ ๑ เจ้าน้ำเงิน ๑ สังกะสี ๑ ชิน ๑ (โลหะผสมระหว่างดีบุกกับตะกั่ว มีสีเงาวาวมาก และมีน้ำหนักมากเช่นกัน) และทองแดงบริสุทธิ์ ๑
ต่อมามีการค้นพบโลหะอีกประเภทหลังจากได้มีการคิดค้นสูตรโลหะทั้ง ๓ แล้ว กล่าวกันว่าเป็นโลหะที่ดีมีคุณสมบัติสำหรับการทำอาวุธที่สุด คือ “[[เหล็กน้ำพี้]]” เพราะ [[เหล็กน้ำพี้]] เป็นโลหะที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม เมื่อนำมาหลอมตีเป็นดาบจะมีสีเขียวเหลือบดังปีกแมลงทับ มีความคมและยืดหยุ่นได้ในตัวเอง เมื่อนำมาฟันกระทบกับของแข็ง ทำให้ไม่บิ่น ไม่งอ ไม่ทำปฏิกิริยากับอากาศ และไม่ก่อให้เกิดสนิม และเสื่อมคม แหล่งที่มาของแร่โลหะนี้ คือ [[บ่อน้ำพี้]]
“
นอกจากการเลือกโลหะสำหรับนำมาทำดาบแล้ว กรรมวิธีในการตีดาบยังเป็นเรื่องที่คนสมัยโบราณให้ความสำคัญ หากเป็นดาบเพื่อใช้ในการศึกสงครามแล้วจะใช้พิธีทางไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับพระแสงดาบของ[[พระมหากษัตริย์]] จะมีการตกแต่งประดับประดาพระแสงดาบด้วยโลหะ อัญมณีที่มีค่า การสร้างลวดลายต่าง ๆ และการลงสีให้มีความวิจิตรงดงาม เพื่อการใช้เป็นเครื่องประกอบยศ และพระราชทานให้แก่[[พระบรมวงศานุวงศ์]] ขุนนาง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
กล่าวได้ว่า ในอดีต [[พระแสงดาบ]]มีความสำคัญในฐานะที่เป็นราชศัสตราวุธคู่กายของ[[พระมหากษัตริย์]] และเป็นอาวุธที่ใช้ในยามศึกสงคราม ต่อมาได้มีการพัฒนาอาวุธที่มีความทันสมัยขึ้น ทำให้พระแสงดาบจึงค่อย ๆ ลดบทบาทลง ในปัจจุบันพระแสงดาบจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์และเครื่องหมายของ[[พระมหากษัตริย์]] ที่ใช้ประกอบยศและใช้ประกอบใน [[พระราชพิธี]]สำคัญ ๆ
|