ผลต่างระหว่างรุ่นของ "90377 เซดนา"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Boom1221 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Boom1221 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 38:
'''90377 เซดนา''' ({{lang-en|Sedna}}) เป็น[[ดาวเคราะห์น้อย]]ขนาดใหญ่ใน[[เซดนอยด์|บริเวณส่วนนอกของระบบสุริยะ]]ซึ่งในปี พ.ศ. 2558 อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 86 [[หน่วยดาราศาสตร์]] (AU) หรือ 1.29 × 10<sup>10</sup> กิโลเมตร อยู่ห่างออกไปมากกว่า[[ดาวเนปจูน]]เกือบสามเท่า กระบวนการ[[สเปกโทรสโกปี]]เปิดเผยว่าพื้นผิวของเซดนามีองค์ประกอบคล้ายกับ[[วัตถุพ้นดาวเนปจูน]]อื่น ๆ บางชิ้น โดยเป็นส่วนผสมของ[[น้ำ]] [[มีเทน]] และ[[ไนโตรเจน]][[สารระเหย|แข็ง]]กับ[[โทลีน]]จำนวนมาก ผิวของเซดนาเป็นหนึ่งในผิวดาวที่มี[[วัตถุพ้นดาวเนปจูน|สีแดงมากที่สุด]]ท่ามกลางวัตถุอื่นในระบบสุริยะ เซดนา[[รายชื่อวัตถุที่อาจเป็นดาวเคราะห์แคระ|อาจเป็นดาวเคราะห์แคระ]] ในบรรดาวัตถุพ้นดาวเนปจูนทั้งแปดที่ใหญ่ที่สุด เซดนาเป็นวัตถุเดียวที่ไม่พบดาวบริวาร<ref name="PorterTwitter"/><ref name = "Lakdawalla2016a"/>
 
วงโคจรส่วนใหญ่ของเซดนาอยู่ไกลออกจากดวงอาทิตย์ไปมากกว่าตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าตำแหน่งที่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุดจะอยู่ห่างออกไปถึง 937 AU<ref name="barycenter"/> (31 เท่าของระยะของดาวเนปจูน) ทำให้มันเซดนาเป็นวัตถุหนึ่งที่ไกลที่สุดใน[[ระบบสุริยะ]] นอกเหนือจาก[[ดาวหางคาบยาว]]{{refn|1={{As of|2014}} เซดนาอยู่ที่ประมาณ 86.3&nbsp;AU จากดวงอาทิตย์<ref name="AstDys" /> อีริส ดาวเคราะห์แคระที่มีมวลมากที่สุด และ {{mpl-|225088|2007 OR|10}} วัตถุที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะที่ไม่มีชื่อ ขณะนี้อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าเซดนาที่ 96.4&nbsp;AU และ 87.0&nbsp;AU ตามลำดับ<ref name="AstDys-Eris" /> อีริสอยู่ใกล้กับจุดที่ไกลที่สุด (อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด) ขณะที่เซดนากำลังเข้าใกล้[[จุดปลายระยะทางวงโคจร|จุดที่ใกล้ที่สุด]]ในปี 2619 (อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด)<ref name="Horizons2076" /> เซดนาจะแซงอีริส กลายเป็นวัตถุที่ไกลที่สุดในระบบสุริยะในปี 2657 แต่วัตถุที่[[รายชื่อวัตถุที่อาจเป็นดาวเคราะห์แคระ|อาจเป็นดาวเคราะห์แคระ]]อย่าง {{mpl-|225088|2007 OR|10}} แซงเซดนาไปได้ไม่นาน และจะแซงอีริสในปี 2588<ref name="Horizons2076" />|group=lower-alpha}}<ref group=lower-alpha name=footnoteF>ดาวเคราะห์แคระที่เป็นไปได้อย่าง [[2014 FE72]] มีคาบการโคจรอยู่ที่ ~90,000 ปี และ[[วัตถุระบบสุริยะขนาดเล็ก]] เช่น {{mpl|(308933) 2006 SQ|372}}, {{mpl|2005 VX|3}}, {{mpl|(87269) 2000 OO|67}}, {{mpl|2002 RN|109}}, {{mpl|2007 TG|422}} และดาวหางหลายดวง (เช่น [[ดาวหางใหญ่แห่งปี พ.ศ. 2120]]) มีวงโคจรที่ใหญ่กว่าเช่นกัน สำหรับประเภทหลัง เฉพาะ {{mp|(308933) 2006 SQ|372}}, {{mp|(87269) 2000 OO|67}}, และ {{mp|2007 TG|422}} มีจุดใกล้ที่สุดอยู่ไกลกว่าวงโคจรดาวพฤหัสบดี ดังนั้นมันจึงกลายเป็นข้อถกเถียงกันว่าวัตถุเหล่านี้อาจเป็นดาวหางที่ถูกจัดผิดหมวดหมู่</ref>
 
เซดนามีวงโคจรที่ยาวและยืดเป็นพิเศษ ทำให้มันต้องโดยใช้เวลาโคจรหนึ่งรอบเป็นระยะเวลากว่า 11,400 ปีถึงจะโคจรครบหนึ่งรอบ และที่ตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด คือ 76 AU สิ่งนี้นำมาสู่ความคิดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเซดนา [[ศูนย์ดาวเคราะห์น้อย]]จัดเซดนาให้อยู่ใน[[แถบหินกระจาย]] ซึ่งเป็นกลุ่มของวัตถุที่มีวงโคจรยืดยาวออกไปไกลเนื่องด้วยแรงโน้มถ่วงจากดาวเนปจูน ถึงกระนั้น การจัดให้เซดนาอยู่ในแถบหินกระจายก็ยังเป็นข้อถกเถียง เพราะตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดของเซดนายังคงอยู่ห่างจากดาวเนปจูนออกไปมากเกินกว่าที่จะมีผลกระทบต่อกันได้ ทำให้นักดาราศาสตร์บางคนเชื่อว่าเซดนาเป็นวัตถุหนึ่งใน[[เมฆออร์ต]]ชั้นใน แต่บางคนก็เชื่อว่าเซดนามีวงโคจรที่ยืดยาวแบบนี้เนื่องด้วยดาวฤกษ์ที่เฉียดผ่านเข้ามาใกล้ โดยอาจเป็นหนึ่งในดาวของกระจุกดาวของดวงอาทิตย์ตอนเกิด ([[กระจุกดาวเปิด]]) หรือมันอาจถูกจับยึดโดยระบบดาวเคราะห์อื่น สมมติฐานอีกอย่างหนึ่งเสนอว่าวงโคจรของมันเซดนาได้รับผลกระทบจาก[[ดาวเคราะห์พ้นดาวเนปจูน|ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงหนึ่งที่พ้นวงโคจรดาวเนปจูน]]<ref name="Mike"/>
 
[[ไมเคิล อี. บราวน์|ไมเคิล บราวน์]] นักดาราศาสตร์ผู้ค้นพบเซดนาและดาวเคราะห์แคระ[[อีริส]] [[เฮาเมอา]] และ[[มาคีมาคี]] คิดว่าเซดนาเป็นวัตถุพ้นดาวเนปจูนในปัจจุบันที่สำคัญที่สุดในทางวิทยาศาสตร์ เพราะว่าการทำความเข้าใจในวงโคจรที่ไม่เสถียรของมันนี้เป็นไปได้ที่จะให้ข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับต้นกำเนิดและวิวัฒนาการของระบบสุริยะในช่วงแรก<ref name="fussman"/><ref>Chang, Kenneth, [https://www.nytimes.com/2016/01/21/science/space/ninth-planet-solar-system-beyond-pluto.html?emc=edit_au_20160120&nl=afternoonupdate&nlid=68634180&_r=0 ''Ninth Planet May Exist Beyond Pluto, Scientists Report''], New York Times, 21 January 2016, page A1</ref>
 
== ประวัติ ==
บรรทัด 49:
 
=== การตั้งชื่อ ===
ในระยะแรก ไมก์ บราวน์ ตั้งชื่อเล่นให้กับเซดนาว่า "[[ฟลายอิงดัตช์แมน|เดอะฟลายอิงดัตช์แมน]]" หรือแค่ "ดัตช์" ตามชื่อเรือผีสิงในตำนาน เนื่องด้วยการเคลื่อนที่ที่ช้าที่ทำให้ทีมงานรู้ถึงการว่าดาวนั้นมีตัวตนของมันอยู่<ref>{{cite book |title=How I Killed Pluto And Why It Had It Coming |author=[[Michael E. Brown]] |publisher=Spiegel & Grau |year=2012 |location=New York |isbn=978-0-385-53110-8 |page=96}}</ref> สำหรับชื่ออย่างเป็นทางการ ไมก์ บราวน์ เลือกชื่อเซดนา ชื่อจากเทพปกรณัมอินุต ซึ่งบราวน์เลือกด้วยเหตุผลส่วนหนึ่งว่าอินุตเป็นกลุ่มชนขั้วโลกที่อยู่ใกล้บ้านของเขาที่สุดที่ปาซาเดนา และเหตุผลอีกส่วนหนึ่งว่าชื่อนั้นสะกดง่าย ไม่เหมือนกับ[[ควาอัวร์]]<ref>{{cite book |title=How I Killed Pluto And Why It Had It Coming |author=[[Michael E. Brown]] |publisher=Spiegel & Grau |year=2012 |location=New York |isbn=978-0-385-53110-8 |page=103}}</ref> บนเว็บไซต์ของเขา เขาเขียนว่า {{cquote|วัตถุที่ค้นพบใหม่ของเรานั้นหนาวที่สุด อยู่ไกลที่สุดในระบบสุริยะ ดังนั้นเราจึงรู้สึกว่ามันเหมาะสมที่จะตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่[[เซดนา (เทพปกรณัม)|เซดนา]] [[เทพปกรณัมอินุต|เทพีอินุต]]แห่งท้องทะเล ผู้ซึ่งเชื่อกันว่าอาศัยอยู่ ณ ก้นของ[[มหาสมุทรอาร์กติก]]อันเยือกเย็น<ref name="mikebrown"/>}} ไมเคิล บราวน์ยังเสนอต่อศูนย์ดาวเคราะห์น้อยของ[[สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล]]ว่าวัตถุใด ๆ ที่จะค้นพบในอนาคต ถ้าอยู่ในบริเวณเดียวกับเซดนา ควรตั้งชื่อตามสิ่งที่อยู่ในเทพปกรณัมอาร์กติก<ref name="mikebrown" /> ทีมผู้ค้นพบตีพิมพ์ชื่อ "เซดนา" ก่อนการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ<ref name="mpc" /> [[ไบรอัน มาร์สเดน]] ผู้อำนวยการศูนย์ดาวเคราะห์น้อย กล่าวว่าการทำเช่นนี้เป็นการละเมิดพิธีสารและอาจมีนักดาราศาสตร์ของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลโต้แย้งได้<ref name="Walker" /> ถึงกระนั้น ไม่มีข้อคัดค้านใด ๆ ต่อชื่อนี้เลย และไม่มีชื่ออื่นใดเสนอเข้ามา การประชุมของคณะกรรมการร่างชื่อวัตถุขนาดเล็กจึงยอมรับชื่อ "เซดนา" ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2547<ref name="MPC_20040928" /> และอนุญาตให้มีการตั้งชื่อก่อนที่จะได้รับชื่ออย่างเป็นทางการ สำหรับกรณีที่น่าสนใจเป็นพิเศษที่คล้ายกัน<ref name="mpc" />
 
== วงโคจรและการโคจร ==
[[ไฟล์:Sedna solar system Jan1 2017.png|thumb|left|วงโคจรของเซดนาเมื่อเทียบกับวงโคจรของวัตถุระบบสุริยะชั้นนอก (ภาพจากด้านบนและด้านข้าง วงโคจรดาวพลูโตเป็นสีม่วงและวงโคจรดาวเนปจูนเป็นสีน้ำเงิน)|alt=The orbit of Sedna lies well beyond these objects, and extends many times their distances from the Sun]]
เซดนาเป็นวัตถุที่มีคาบการโคจรนานที่สุดในเป็นลำดับที่สองของระบบสุริยะ<ref group=lower-alpha name=footnoteF /> ซึ่งคำนวณแล้วอยู่ที่ 11,400 ปี<ref name="barycenter" /><ref group=lower-alpha name=footnoteG /> วงโคจรของมันเซดนามีความเยื้องสูงมาก ด้วยจุดไกลที่สุดจากดวงอาทิตย์อยู่ที่ 937 AU<ref name="barycenter" /> และจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ที่ 76 AU โดยตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดของเซดนาอยู่ไกลกว่าของวัตถุอื่น ๆ ในระบบสุริยะจนกระทั่งค้นพบ [[2012 VP113|2012 VP<sub>113</sub>]]<ref name="Trujillo2007" /><ref name="Trujillo2014" /> ณ จุดไกลที่สุดนั้น เซดนาโคจรด้วยความเร็วเพียงแค่ 1.3% ของความเร็วที่โลกโคจร เมื่อมีการค้นพบเซดนาที่ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ 89.6 AU<ref name="AstDys2003"/> ขณะเคลื่อนที่เข้าใกล้จุดใกล้ที่สุด เซดนากลายเป็นวัตถุที่ไกลที่สุดในระบบสุริยะ ภายหลัง[[อีริส]]แซงเซดนาเมื่ออีริสถูกตรวจพบโดยวิธีเดียวกันที่ระยะห่าง 97 AU จากดวงอาทิตย์ มีเพียงดาวหางคาบยาวบางดวงเท่านั้นที่มีคาบโคจรมากกว่าคาบของเซดนา ดาวหางเหล่านี้จางเกินไปที่จะถูกค้นพบ เว้นแต่มันจะผ่านเข้ามาในระบบสุริยะชั้นใน ถึงแม้ว่าเซดนาจะอยู่ ณ จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในช่วงกลางปี พ.ศ. 2619<ref name="Horizons2076" />{{refn|1=โปรแกรมที่ระบบการทำงานแตกต่างกัน ก็อาจทำให้ได้ข้อมูลที่แตกต่างกันด้วย โดยใช้ตำแหน่งในปี พ.ศ
2557 ได้ข้อมูลเป็นปี พ.ศ. 2619<ref name="jpldata" /> ถ้าใช้ตำแหน่งในปี พ.ศ. 2533 ได้ข้อมูลเป็น [http://www.boulder.swri.edu/~buie/kbo/astrom/90377.html 2479282.9591] [http://ssd.jpl.nasa.gov/tc.cgi (2075-12-11)] {{As of|2010}} หรือประมาณวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2619<ref name="Horizons2076" />|name=footnoteC|group=lower-alpha}} ดวงอาทิตย์ที่ปรากฏบนเซดนานั้นอาจมีขนาดเท่าปลายเข็มซึ่งสว่างกว่า[[ดวงจันทร์]]ตอนเต็มดวง 100 เท่า (เมื่อเทียบกับโลกแล้ว ดวงอาทิตย์ที่เห็นบนโลกสว่างกว่าตอนดวงจันทร์เต็มดวง 400,000 เท่า) และดวงอาทิตย์อยู่ไกลเกินกว่าที่จะเห็นเป็นรูปร่างได้<ref name="HubbleSite2004image" />
 
เมื่อค้นพบครั้งแรกนั้น คาดว่าเซดนามีคาบหมุนรอบตัวเองที่นานมาก ๆ (20 ถึง 50 วัน)<ref name="HubbleSite2004image" /> ตอนระยะแรกเชื่อกันว่าการหมุนรอบตัวเองของเซดนาที่ช้าเป็นผลมาจากแรงโน้มถ่วงจากดาวบริวารขนาดใหญ่ คล้ายกับ[[แครอน]] ดาวบริวารของ[[ดาวพลูโต]]<ref name="mikebrown" /> การค้นหาดาวบริวารดวงนั้นด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2547 ไม่พบอะไรเลย<ref name="HubbleSite2004" />{{refn|1=การสำรวจของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลพบว่าไม่มีดาวดวงใดที่มัวน้อยกว่า 500 เท่าของเซดนาเลย (บราวน์และซูเอร์ 2007).<ref name="largest" />|group=lower-alpha}} และจากผลการคำนวณจากกล้องโทรทรรศน์เอ็มเอ็มในเวลาต่อมาพบว่าเซดนาหมุนโดยใช้ระยะเวลาสั้นกว่าที่คาดไว้มาก ประมาณ 10 ชั่วโมง ซึ่งค่อนข้างปกติสำหรับดาวขนาดอย่างเซดนา<ref name="Gaudi2005" />
 
{{TNO-distance}}
 
== ลักษณะทางกายภาพ ==
เซดนามี[[ความส่องสว่างสัมบูรณ์]]อยู่ที่ประมาณ 1.8 และ[[อัตราส่วนสะท้อน]]อยู่ที่ประมาณ 0.32 จึงประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางไว้ที่ 1,000 กิโลเมตร<ref name=herschel/> ณ เวลาที่มันเซดนาถูกค้นพบนั้น เซดนาถูกจัดให้เป็นวัตถุที่ส่องสว่างภายในมากที่สุดในระบบสุริยะตั้งแต่ค้นพบ[[ดาวพลูโต]]ในปี พ.ศ. 2473 ในปี พ.ศ. 2547 เหล่าผู้ค้นพบวางค่าสูงสุดของเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 1,800 กิโลเมตร<ref name="Grundy2005"/> แต่ในปี พ.ศ. 2550 ก็ลดลงมาต่ำกว่า 1,600 กิโลเมตร หลังจากที่สังเกตผ่าน[[กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์]]<ref name="spitzer"/> ในปี พ.ศ. 2555 การคำนวณจากหอดูดาวอวกาศเฮอร์เชลเสนอว่าเซดนามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 995 ± 80 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้มันมีขนาดเล็กกว่า[[แครอน (ดาวบริวาร)|แครอน]] ดาวบริวารของดาวพลูโต<ref name=herschel>{{Cite journal | last1 = Pál | first1 = A. | last2 = Kiss | first2 = C. | last3 = Müller | first3 = T. G. | last4 = Santos-Sanz | first4 = P. | last5 = Vilenius | first5 = E. | last6 = Szalai | first6 = N. | last7 = Mommert | first7 = M. | last8 = Lellouch | first8 = E. | last9 = Rengel | first9 = M. | last10 = Hartogh | first10 = P. | last11 = Protopapa | first11 = S. | last12 = Stansberry | first12 = J. | last13 = Ortiz | first13 = J. -L. | last14 = Duffard | first14 = R. | last15 = Thirouin | first15 = A. | last16 = Henry | first16 = F. | last17 = Delsanti | first17 = A. | title = "TNOs are Cool": A survey of the trans-Neptunian region. VII. Size and surface characteristics of (90377) Sedna and {{mp|2010 EK|139}}| doi = 10.1051/0004-6361/201218874 | journal = Astronomy & Astrophysics | volume = 541 | pages = L6 | year = 2012 | pmid = | pmc = | bibcode = 2012A&A...541L...6P | arxiv = 1204.0899}}</ref> เนื่องจากเซดนาไม่มีดาวบริวาร การหามวลโดยไม่ส่งยานอวกาศไปจึงเป็นไปไม่ได้และเซดนาก็เป็นวัตถุพ้นดาวเนปจูนที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่มีดาวบริวารในปัจจุบัน<ref name = "Lakdawalla2016a" /> มีความพยายามในการหาดาวบริวารนั้นเพียงครั้งเดียว<ref name="HubbleProposal" /><ref name="Mystery" /> และคาดการณ์กันว่ามีโอกาสที่ไม่พบดาวบริวารนั้นอยู่ 25%<ref name="PorterTwitter" /><ref name="BannisterTwitter" />
 
การสังเกตจากกล้องโทรทรรศน์ SMARTS แสดงให้เห็นว่าในระยะแสงที่มองเห็นได้ เซดนาเป็นหนึ่งในวัตถุที่สีแดงที่สุดในระบบสุริยะ เกือบมีสีแดงเท่า[[ดาวอังคาร]]<ref name="mikebrown"/> แชด ทรูจีโลและเพื่อนร่วมงานของเขาเสนอว่าสีแดงเข้มของเซดนานั้นเกิดจากผิวของดาวนั้นปกคลุมไปด้วยตะกอน[[ไฮโดรคาร์บอน]] หรือ[[โทลีน]] ซึ่งเกิดจากสารประกอบอินทรีย์ที่เล็กกว่าที่สัมผัสกับรังสี[[อัลตราไวโอเล็ต]]ยาวนาน<ref name="Trujillo2005"/> ผิวของเซดนาเหมือนกันทั้งสีและสเปกตรัมทั่วทั้งดาว ซึ่งอาจเกิดจากการที่เซดนาไม่ค่อยปะทะกับวัตถุอื่นใด ไม่เหมือนกับวัตถุอื่น ๆ ที่ใกล้ดวงอาทิตย์กว่า ที่มักจะปะทะกับวัตถุอื่น ซึ่งแสดงให้เห็นแถบน้ำแข็งสว่างที่มีเหมือนกับบน [[8405 แอสโบลัส]]<ref name="Trujillo2005"/> เซดนาและวัตถุที่อยู่ไกลมากสองชิ้น ได้แก่ {{mpl|2006 SQ|372}} และ {{mpl|(87269) 2000 OO|67}} มีสีเดียวกันกับวัตถุดั้งเดิมในแถบไคเปอร์ชั้นนอกและ[[เซนทอร์ (ดาวเคราะห์น้อย)|เซนทอร์]] [[5145 โฟบัส]] วัตถุเหล่านี้อาจมีต้นกำเนิดในบริเวณเดียวกัน<ref name="Sheppard2010"/>
บรรทัด 74:
ถ้าเซดนากำเนิดขึ้นในตำแหน่งปัจจุบัน [[จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด]]ดั้งเดิมของดวงอาทิตย์ต้องแผ่ออกไปไกลถึง 75 หน่วยดาราศาสตร์ (AU) ในอวกาศ<ref name="SternAJ2005"/> วงโคจรดั้งเดิมของเซดนาก็ต้องเกือบเป็นวงกลมเช่นกัน มิเช่นนั้น การกำเนิดโดยการชนกันจากวัตถุขนาดเล็กกว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า[[ความเร็วสัมพัทธ์]]ที่มากระหว่างชิ้นส่วนเล็ก ๆ จะถูกรบกวนเกินไป ดังนั้น เซดนาจะต้องถูกเหวี่ยงมายังวงโคจรปัจจุบันด้วยแรงโน้มถ่วงของวัตถุบางอย่าง<ref name="scattered"/> ในรายงานแรกของพวกเขานั้น บราวน์ ราบิโนวิตซ์ และเพื่อนร่วมงาน เสนอว่ามีสามตัวเลือกที่เป็นไปได้ที่จะเป็นวัตถุที่มารบกวนนี้ ได้แก่ ดาวเคราะห์ที่ยังไม่ค้นพบที่อยู่ถัดออกไปจากแถบไคเปอร์ ดาวฤกษ์ที่โคจรผ่านมา หรือหนึ่งในดาวฤกษ์แรกเกิดที่ตรึกอยู่กับดวงอาทิตย์ในกระจุกดาวฤกษ์ครั้งที่ดวงอาทิตย์กำเนิดมา<ref name="Mike"/>
 
ไมก์ บราวน์ และทีมงานของเขาสนับสนุนสมมติฐานที่ว่าเซดนาถูกเหวี่ยงมาให้อยู่ในวงโคจรปัจจุบันด้วยดาวฤกษ์จาก[[กระจุกดาวเปิด]]ของดวงอาทิตย์ ให้เหตุผลด้วยว่าจุดที่ไกลที่สุดของเซดนาที่ประมาณ 1,000 AU ซึ่งใกล้มากเมื่อเทียบกับจุดที่ไกลที่สุดของดาวหางคาบยาวทั้งหลาย ไม่ไกลเพียงพอที่จะได้รับผลกระทบจากดาวฤกษ์ที่โคจรผ่านมา ณ ตำแหน่งปัจจุบันจากดวงอาทิตย์ พวกเขาเสนอว่าวงโคจรของเซดนาสามารถถูกอธิบายได้ดีที่สุดด้วยการที่ดวงอาทิตย์กำเนิดในกระจุกดาวเปิดของดาวฤกษ์จำนวนมากที่ค่อย ๆ แยกจากกันไปตามเวลา<ref name="Mike"/><ref name="Brown2004AAS205"/><ref name="PlanetarySociety"/> สมมติฐานนั้นยังถูกทำให้ก้าวหน้าต่อโดยทั้ง[[อาเลสซานโดร มอร์บีเดลลี]] และ [[สกอตต์ เจย์ เคนยอน]]<ref name="Morbidelli2004"/><ref name="Kenyon2004"/> แบบจำลองคอมพิวเตอร์โดย[[ฮูลิโอ เอ. เฟร์นันเดซ]]และเอเดรียน บรูนีนี เสนอว่าการโคจรผ่านของดาวฤกษ์แรกเกิดหลายครั้งในกระจุกดาวเปิดแบบนั้นอาจทำให้วัตถุต่าง ๆ ถูกดึงจนมีวงโคจรแบบเซดนา<ref name="Mike"/> การศึกษาของมอร์บีเดลลีและ[[ฮาโรลด์ เอฟ. เลวิสัน|เลวิสัน]]เสนอว่าคำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดเกี่ยวกับวงโคจรของเซดนา คือ มันต้องเคยถูกรบกวนจากดาวฤกษ์อีกดวงหนึ่งในระยะใกล้ (ประมาณ 800 AU) ใน 100 ร้อยล้านปีแรกหรือมากกว่านั้นจากตอนที่ระบบสุริยะกำเนิดขึ้น<ref name="Morbidelli2004"/><ref name="challenge"/>
 
{{TNO imagemap}}
บรรทัด 80:
สมมติฐาน[[วัตถุพ้นดาวเนปจูน]]นั้นก้าวหน้าไปในหลากหลายรูปแบบโดยนักดาราศาสตร์จำนวนหนึ่ง รวมทั้ง รอดนีย์ โกเมส และปาทรึก ลือกาวกา สมมติฐานรูปแบบหนึ่งมีการรบกวนของวงโคจรเซดนาโดยวัตถุสมมติขนาดเท่าดาวเคราะห์ในเมฆฮิลล์เข้ามาเกี่ยวข้อง แบบจำลองล่าสุดแสดงให้เห็นว่าลักษณะการโคจรของเซดนาสามารถอธิบายได้ด้วยการรบกวนจากวัตถุมวลเท่าดาวเนปจูน ณ ตำแหน่ง 2,000 AU หรือน้อยกว่า วัตถุมวลเท่าดาวพฤหัสบดี ณ ตำแหน่ง 5,000 AU หรือแม้กระทั่งวัตถุมวลเท่าโลก ณ ตำแหน่ง 1,000 AU<ref name="PlanetarySociety"/><ref name="Gomez2006"/> แบบจำลองคอมพิวเตอร์โดยปาทรึก ลือกาวกา เสนอว่าวงโคจรของเซดนาอาจเป็นผลมาจากวัตถุขนาดประมาณโลกที่ถูกเหวี่ยงออกมาข้างนอกโดยดาวเนปจูนในช่วงเริ่มแรกของระบบสุริยะ และขณะนี้ก็อยู่ในวงโคจรที่ถูกยืดออกไปในช่วงระหว่าง 80 และ 170 AU จากดวงอาทิตย์<ref name="lykawka"/> การสำรวจท้องฟ้าหลายครั้งของไมก์ บราวน์ตรวจไม่พบวัตถุขนาดเท่าโลกใด ๆ ในช่วงระยะทางถึงประมาณ 100 AU เป็นไปได้ว่าวัตถุนั้นอาจหลุดออกไปนอกระบบสุริยะหลังจากการก่อตัวของเมฆออร์ตชั้นใน<ref name="sisters"/>
 
คอนสแตนติน บาตีกิน นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย และไมก์ บราวน์ตั้งสมมติฐานไว้เกี่ยวกับการมีตัวตนของดาวเคราะห์ยักษ์ในระบบสุริยะชั้นนอก พวกเขาให้ชื่อเล่นว่า [[ดาวเคราะห์เก้า]] ดาวเคราะห์ดวงนี้อาจมีมวลมากกว่าโลก 10 เท่า มีวงโคจรที่เยื้องมาก ๆ และมีระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ประมาณ 20 เท่าของดาวเนปจูน (ซึ่งโคจรที่ระยะทางเฉลี่ยที่ 30.1 AU (4.50 × 10<sup>9</sup> กิโลเมตร)) คาบการโคจรอาจอยู่ที่ 10,000 ถึง 20,000 ปี การมีตัวตนของดาวเคราะห์ดวงนี้ถูกสมมติขึ้นโดยจากแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และแบบจำลองคอมพิวเตอร์ แต่มันยังไม่ถูกเคยสังเกตได้โดยตรง มันดาวเคราะห์ดวงนี้อาจอธิบายลักษณะวงโคจรของกลุ่มของวัตถุที่รวมไปถึงเซดนา<ref>{{cite journal|last1=Batygin|first1=Konstantin|last2=Brown|first2=Michael E.|title=Evidence for a Distant Giant Planet in the Solar System|journal=The Astronomical Journal|date=2016|volume=151|issue=2|page=22|doi=10.3847/0004-6256/151/2/22|arxiv=1601.05438|bibcode=2016AJ....151...22B}}</ref><ref>{{cite web|last=Fesenmaier|first=Kimm|title=Caltech Researchers Find Evidence of a Real Ninth Planet|url=http://www.caltech.edu/news/caltech-researchers-find-evidence-real-ninth-planet-49523|accessdate=13 September 2017}}</ref>
 
มีการเสนอว่าวงโคจรของเซดนานั้นเป็นผลมาจากอิทธิพลของดาวคู่ขนาดใหญ่ของดวงอาทิตย์ อยู่ห่างออกไปหลายพันหน่วยดาราศาสตร์ ดาวคู่สมมติหนึ่ง คือ [[เนเมซิส (ดาวฤกษ์สมมติ)|เนเมซิส]] [[ระบบดาวคู่|ดาวคู่]]มืดของดวงอาทิตย์ที่ถูกเสนอว่ามีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้มีการพุ่งชนของดาวหางอันทำให้เกิด[[การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่]]บนโลก ร่องรอยการพุ่งชนบนดวงจันทร์ และองค์ประกอบวงโคจรที่คล้าย ๆ กันของดาวหางคาบยาวจำนวนมาก<ref name="Gomez2006"/><ref name="Cruttenden"/> ไม่มีหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับเนเมซิสเลย และหลักฐานหลายอย่าง เช่น จำนวนหลุมอุกกาบาต ทำให้การมีตัวตนของดาวดวงนั้นกลายเป็นข้อกังขา<ref name="Hills1984" /><ref name="Planck-NemesisMyth"/> [[จอห์น เจ. มัลทีส]] และ[[ดาเนียล พี. วิทไมร์]] ผู้ที่เสนอความเป็นไปได้ของดาวคู่ดวงอาทิตย์มาอย่างยาวนาน เสนอว่าวัตถุมวล 5 เท่าของดาวพฤหัสบดีที่อยู่ออกไปประมาณ 7,850 AU จากดวงอาทิตย์ อาจทำให้วัตถุหนึ่งมีวงโคจรแบบเซดนา<ref name="Matese2006"/>
บรรทัด 90:
[[ไฟล์:Artist's concept of the Solar System as viewed from Sedna.jpg|thumb|แนวคิดเกี่ยวกับผิวดาวเซดนาของศิลปิน มี[[ทางช้างเผือก]] [[แอนทาเรส]] ดวงอาทิตย์ และ[[สไปกา]]อยู่ด้านบน]]
 
วงโคจรที่เยื้องอย่างมากของเซดนาหมายความว่า มีโอกาสที่จะตรวจพบมันเพียงแค่ 1 ใน 80 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาจมีวัตถุขนาดเท่าเซดนา 40–120 ชิ้นอยู่ในบริเวณเดียวกัน [[การอนุมานแบบเบย์|เว้นเสียแต่ว่าการค้นพบเซดนาเป็นเรื่องบังเอิญ]]<ref name="Mike" /><ref name="largest" /> {{mpl|2000 CR|105}} วัตถุอีกชิ้นหนึ่งมีวงโคจรที่คล้ายกันกับเซดนาแต่เยื้องน้อยกว่า โดยมีจุดที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ 44.3 AU จุดไกลที่สุดอยู่ที่ 394 AU และมีระยะเวลาการโคจรอยู่ที่ 3,240 ปี ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบในแบบเดียวกันกับเซดนา<ref name="Morbidelli2004" />
 
แต่ละกลไกที่เสนอมาสำหรับวงโคจรสุดขั้วของเซดนานี้อาจทิ้งร่องรอยที่แตกต่างกันบนโครงสร้างและพลวัตของกลุ่มประชากรใด ๆ ที่กว้างกว่า ถ้าวัตถุพ้นดาวเนปจูนมีส่วนเกี่ยวข้อง วัตถุเหล่านี้ควรมีจุดที่ใกล้ที่สุดในบริเวณเดียวกัน (ประมาณ 80 AU) ถ้าเซดนาถูกจับจากระบบดาวเคราะห์อื่นที่หมุนรอบในทิศทางเดียวกันกับระบบสุริยะ ประชากรทั้งหมดก็จะต้องมีวงโคจรที่เอียงน้อย และมี[[กึ่งแกนเอก]]อยู่ในช่วง 100–500 AU ถ้ามันดาวหมุนรอบในทิศทางตรงข้าม ประชากรสองกลุ่มจะเกิดขึ้น ได้แก่กลุ่มที่วงโคจรเอียงน้อยและเอียงมาก การรบกวนจากดาวฤกษ์ที่โคจรผ่านมาอาจทำให้เกิดความหลากหลายในทั้งจุดที่ใกล้ที่สุดและความเอียงของวงโคจร ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งและมุมที่ดาวดวงนั้นเข้ามา<ref name="sisters"/>
 
การได้รับตัวอย่างที่ใหญ่กว่าของวัตถุเหล่านี้อาจช่วยให้ตัดสินใจว่าสถานการณ์แบบใดที่เป็นไปได้มากที่สุด<ref name="Schwamb"/> "ผมเรียกเซดนาว่าเป็นฟอสซิลแห่งระบบสุริยะยุคแรกเริ่ม" กล่าวโดยบราวน์ในปี 2549 "ในที่สุด เมื่อฟอสซิลอื่น ๆ ถูกค้นพบ เซดนาจะช่วยบอกกับพวกเราถึงวิธีการเกิดของดวงอาทิตย์และจำนวนดาวที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ครั้งตอนเกิด"<ref name="fussman"/> การสำรวจโดยบราวน์ ราบิโนวิตซ์ และเมแกน ชวามบ์ ในปี 2550–2551 พยายามที่จะระบุตำแหน่งของวัตถุกลุ่มสมมติของเซดนาชิ้นอื่น ๆ แม้ว่าการสำรวจนั้นจะจับได้ถึงการเคลื่อนที่ที่ห่างออกไปถึง 1,000 AU และค้นพบดาวเคราะห์แคระที่เป็นไปได้อย่าง {{mpl|2007 OR|10}} แต่ก็ไม่พบวัตถุเซดนอยด์ใหม่เลย<ref name="Schwamb" /> แบบจำลองต่อมาที่รวบรวมข้อมูลใหม่ ๆ เข้าด้วยแล้วเสนอว่าอาจมีวัตถุขนาดเท่าเซดนาอยู่ประมาณ 40 ชิ้นในบริเวณนั้น โดยวัตถุที่มีความส่องสว่างที่สุดอาจประมาณความส่องสว่างของอีริส (–1.0)<ref name="Schwamb"/>
 
ในปี พ.ศ. 2557 นักดาราศาสตร์ประกาศการค้นพบ {{mpl|2012 VP|113}}<ref name="Trujillo2014"/> วัตถุขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของเซดนาในวงโคจรกว่า 4,200 ปีคล้ายกับวงโคจรของเซดนา และมีจุดที่ใกล้ที่สุดอยู่ภายในระยะของเซดนาที่ประมาณ 80 AU<ref name="jpldata 2012 VP113"/> ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์ว่ามันวัตถุนี้อาจจะเป็นหลักฐานของดาวเคราะห์พ้นดาวเนปจูน<ref name="Physorg"/>
 
== การจัดระบบ ==
บรรทัด 103:
[[ศูนย์ดาวเคราะห์น้อย]]ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดระบบวัตถุต่าง ๆ ในระบบสุริยะ จัดให้เซดนาเป็นวัตถุแถบหินกระจาย<ref name="MPC" /> การจัดนี้เป็นข้อสงสัยอย่างมาก โดยนักดาราศาสตร์จำนวนมากเสนอว่าเซดนาควรจัดอยู่ในหมวดหมู่ใหม่ของวัตถุไกลโพ้นที่เรียกว่า ''วัตถุแถบหินกระจายขยาย'' (Extended scattered disc objects)<ref name="Gladman" /> ''[[วัตถุแยกออก]]''<ref name="Jewitt2006"/> ''วัตถุแยกออกระยะไกล''<ref name="Gomez2006" /> หรือ ''วัตถุกระจาย–ขยาย'' ในการจัดระบบอย่างเป็นทางการโดย ''[[Deep Ecliptic Survey]]''<ref name="DES_Elliot2006"/>
 
การค้นพบเซดนานั้นรื้อฟื้นคำถามที่ว่าเทห์ฟ้าใดควรหรือไม่ควรเป็นดาวเคราะห์ ในวันที่ 15 มีนาคม 2547 บทความเกี่ยวกับเซดนาของสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงรายงานว่าดาวเคราะห์ดวงที่สิบถูกค้นพบแล้ว คำถามนี้ถูกตอบโดย[[นิยามดาวเคราะห์ของไอเอยู|นิยามดาวเคราะห์]]ของ[[สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล]]ที่นำมาใช้ในวันที่ 24 สิงหาคม 2549 ซึ่งบอกว่าดาวเคราะห์ต้อง[[ไร้ซึ่งเทห์ฟ้าโดยรอบ|ไม่มีเทห์ฟ้าอื่น ๆ โคจร]]ในบริเวณเดียวกัน เซดนามีค่าสเติร์น–เลวิสันต่ำกว่า 1 โดยประมาณ{{refn|1=ค่าสเติร์น–เลวิสัน (''Λ'') นิยามขึ้นโดย[[แอลัน สเติร์น]]และ[[แฮโรลด์ เอฟ. เลวิสัน]]ในปี 2545 ใช้ตัดสินว่าวัตถุใดมีวงโคจรที่โล่งจากวัตถุขนาดเล็กโดยรอบอื่น ๆ มันถูกนิยามโดยอัตราส่วนของมวลดวงอาทิตย์ (คือมวลของวัตถุหารด้วยมวลของดวงอาทิตย์) ยกกำลังสอง หารด้วยกับกึ่งแกนเอกของมันวัตถุนั้นยกกำลัง 3/2 คูณด้วยค่าคงตัว 1.7{{e|16}}.<ref name="stern" /><sup>(see equation 4)</sup> ถ้าวัตถุนั้นมีค่า Λ มากกว่า 1, แสดงว่าวัตถุนั้นมีวงโคจรที่โล่งจากวัตถุอื่น และอาจถูกพิจารณาถึงความเป็นดาวเคราะห์ โดยใช้มวลโดยประมาณที่สูงเกินจริงของเซดนาที่ 2{{e|21}} กก. ค่า Λ ของเซดนา คือ (2{{e|21}}/[[ดวงอาทิตย์|1.9891{{e|30}}]])<sup>2</sup> / 519<sup>3/2</sup> × 1.7{{e|16}} = 1.44{{e|-6}}. ซึ่งน้อยกว่า 1 มาก ดังนั้นเซดนาไม่ใช่ดาวเคราะห์ตามนิยามนี้|group=lower-alpha}} ดังนั้นจึงไม่จัดว่าเซดนาไร้ซึ่งเทห์ฟ้าโดยรอบ แม้ว่ายังไม่ค้นพบวัตถุอื่นในบริเวณเดียวกัน แต่คาดกันว่าเซดนาน่าจะเป็นดาวเคราะห์แคระ โดยเซดนาต้องอยู่ใน[[สภาวะสมดุลอุทกสถิต]] เนื่องจากมันมีความสว่างพอ มันดังนั้นดาวจึงมีขนาดใหญ่พอที่จะรักษาความเป็นทรงกลมได้<ref name="Brown" /> และนักดาราศาสตร์หลายคนก็เรียกเซดนาว่าเป็นดาวเคราะห์แคระแล้ว<ref>{{cite journal | last1 = Barucci | first1 = M. | year = 2010 | title = (90377) Sedna: Investigation of surface compositional variation | url = http://iopscience.iop.org/1538-3881/140/6/2095/ | journal = The Astronomical Journal | volume = 140 | issue = 6| page = 6 | bibcode = 2010AJ....140.2095B | doi = 10.1088/0004-6256/140/6/2095 | last2 = Morea Dalle Ore| first2 = C. | last3 = Alvarez-Candal | first3 = A. | last4 = De Bergh | first4 = C. | last5 = Merlin | first5 = F. | last6 = Dumas | first6 = C. | last7 = Cruikshank | first7 = D. }}</ref><ref>Rabinowitz, Schaefer, Tourtellotte, 2011. [http://adsabs.harvard.edu/abs/2011AAS...21820401R "SMARTS Studies of the Composition and Structure of Dwarf Planets".] ''Bulletin of the American Astronomical Society,'' Vol. 43</ref><ref>Malhotra, 2010. [http://adsabs.harvard.edu/abs/2009AAS...21423704M "On the Importance of a Few Dwarf Planets".] ''Bulletin of the American Astronomical Society'', Vol. 41</ref><ref name="Tancredi2008"/><ref name="Brown-dplist" />
 
== การสำรวจ ==
เซดนาจะอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดประมาณปี พ.ศ. 2618–2619 การเข้าใกล้ครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการสำรวจดาว ซึ่งจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกจนกระทั่ง 12,000 ปีข้างหน้า ถึงแม้เซดนาจะมีรายชื่อในเว็บไซต์การสำรวจระบบสุริยะของนาซา<ref name="NASA1504" /> แต่ปัจจุบันยังไม่มีแผนการใด ๆ เพื่อสำรวจเซดนา<ref name="NASADwarfMissions" /> มีการคำนวณออกมาว่าจะใช้เวลา 24.48 ปี ในการเดินทางจากโลกถึงเซดนา โดยใช้แรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีช่วยเหวี่ยง คาดว่าวันปล่อยยานอาจจะเป็น 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2576 หรือ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2589 เมื่อยานไปถึงแล้วเซดนาจะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 77.27 และ 76.43 AU ตามลำดับ<ref name=McGranaghan />
 
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561 [[อีธาน ซีเกล]] นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ สนับสนุนยานอวกาศสำหรับศึกษาเซดนาที่ตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอย่างเปิดเผย ซีเกลกล่าวว่าเซดนาเป็นเป้าหมายที่น่าดึงดูด เนื่องจากความเป็นไปได้ที่มันอาจเซดนาจะเป็นวัตถุเมฆออร์ตชั้นใน เนื่องจากเซดนาใช้ระยะเวลาในและด้วยคาบการโคจรอันยาวนาน จึงของเซดนาซึ่งอาจจะเป็นเพียงโอกาสเดียวในหลายสหัสวรรษที่จะได้ศึกษาเซดนาดนาที่ระยะใกล้จากดวงอาทิตย์ขนาดนั้น<ref>{{Cite news|url=https://www.forbes.com/sites/startswithabang/2018/05/22/is-humanity-ignoring-our-first-chance-for-a-mission-to-an-oort-cloud-object/#5c721c266953|title=Is Humanity Ignoring Our First Chance For A Mission To An Oort Cloud Object?|last=Siegel|first=Ethan|work=Forbes|access-date=2018-07-13|language=en}}</ref> ภารกิจเช่นนี้สามารถทำให้สะดวกขึ้นได้ด้วยเครื่องพ่นไอออน [[Dual-Stage 4-Grid]] ที่สามารถย่นเวลาการเดินทางได้อย่างมาก ถ้าให้พลังงานด้วยบางอย่าง เช่น เตาปฏิกรณ์<ref>{{Cite journal|date=2009-04-01|title=Very high delta-V missions to the edge of the solar system and beyond enabled by the dual-stage 4-grid ion thruster concept|url=https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0094576508003731|journal=Acta Astronautica|language=en|volume=64|issue=7–8|pages=735–744|doi=10.1016/j.actaastro.2008.11.013|issn=0094-5765|bibcode=2009AcAau..64..735B|last1=Bramanti|first1=C|last2=Izzo|first2=D|last3=Samaraee|first3=T|last4=Walker|first4=R|last5=Fearn|first5=D}}</ref>
 
== เชิงอรรถ ==