ผลต่างระหว่างรุ่นของ "90377 เซดนา"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 36:
| อื่น ๆ =
}}
'''90377 เซดนา''' ({{lang-en|Sedna}}) เป็น[[ดาวเคราะห์น้อย]]ขนาดใหญ่ใน[[เซดนอยด์|บริเวณส่วนนอกของระบบสุริยะ]]
วงโคจรส่วนใหญ่ของเซดนาอยู่ไกลออกจากดวงอาทิตย์ไปมากกว่าตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าตำแหน่งที่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุดจะอยู่ห่างออกไปถึง 937
เซดนามีวงโคจรที่ยาวและยืดเป็นพิเศษ ทำให้มันต้องใช้ระยะเวลากว่า 11,400 ปีถึงจะโคจรครบหนึ่งรอบ และที่ตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด คือ 76
[[ไมเคิล อี. บราวน์|ไมเคิล บราวน์]] นักดาราศาสตร์ผู้ค้นพบเซดนาและดาวเคราะห์แคระ[[อีริส]] [[เฮาเมอา]] และ[[มาคีมาคี]] คิดว่าเซดนาเป็นวัตถุพ้นดาวเนปจูนในปัจจุบันที่สำคัญที่สุดในทางวิทยาศาสตร์ เพราะว่าการทำความเข้าใจในวงโคจรที่ไม่เสถียรของมันเป็นไปได้ที่จะให้ข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับต้นกำเนิดและวิวัฒนาการของระบบสุริยะในช่วงแรก<ref name="fussman"/><ref>Chang, Kenneth, [https://www.nytimes.com/2016/01/21/science/space/ninth-planet-solar-system-beyond-pluto.html?emc=edit_au_20160120&nl=afternoonupdate&nlid=68634180&_r=0 ''Ninth Planet May Exist Beyond Pluto, Scientists Report''], New York Times, 21 January 2016, page A1</ref>
บรรทัด 46:
== ประวัติ ==
=== การค้นพบ ===
เซดนา (หรือในชื่อเก่า คือ '''2003 VB<sub>12</sub>''') ค้นพบโดย [[ไมเคิล อี. บราวน์]] ([[สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย]]) [[แชด ทรูจีโล]] ([[หอดูดาวเจมินี]]) และ [[เดวิด แรบิโนวิตซ์]] ([[มหาวิทยาลัยเยล]]) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 การค้นพบเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2544 ด้วย[[กล้องโทรทรรศน์ซามูเอลออสชิน]]ที่[[หอดูดาวพาโลมาร์]] ใกล้กับ[[แซนดีเอโก]] [[รัฐแคลิฟอร์เนีย]] ใช้กล้องความชัด 160 เมกะพิกเซลของมหาวิทยาลัยเยล ในวันนั้นวัตถุถูกตรวจพบว่าเคลื่อนที่ไปได้ 4.6 ลิปดา โดยใช้เวลา 3.1 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับดาวฤกษ์ ซึ่งทำให้ประมาณได้ว่าวัตถุนั้นอยู่ห่างออกไปประมาณ 100
=== การตั้งชื่อ ===
บรรทัด 53:
== วงโคจรและการโคจร ==
[[ไฟล์:Sedna solar system Jan1 2017.png|thumb|left|วงโคจรของเซดนาเมื่อเทียบกับวงโคจรของวัตถุระบบสุริยะชั้นนอก (ภาพจากด้านบนและด้านข้าง วงโคจรดาวพลูโตเป็นสีม่วงและวงโคจรดาวเนปจูนเป็นสีน้ำเงิน)|alt=The orbit of Sedna lies well beyond these objects, and extends many times their distances from the Sun]]
เซดนาเป็นวัตถุที่มีคาบการโคจรนานที่สุดในระบบสุริยะ<ref group=lower-alpha name=footnoteF /> ซึ่งคำนวณแล้วอยู่ที่ 11,400 ปี<ref name="barycenter" /><ref group=lower-alpha name=footnoteG /> วงโคจรของมันมีความเยื้องสูงมาก ด้วยจุดไกลที่สุดจากดวงอาทิตย์อยู่ที่ 937
2557 ได้ข้อมูลเป็นปี พ.ศ. 2619<ref name="jpldata" /> ถ้าใช้ตำแหน่งในปี พ.ศ. 2533 ได้ข้อมูลเป็น [http://www.boulder.swri.edu/~buie/kbo/astrom/90377.html 2479282.9591] [http://ssd.jpl.nasa.gov/tc.cgi (2075-12-11)] {{As of|2010}} หรือประมาณวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2619<ref name="Horizons2076" />|name=footnoteC|group=lower-alpha}} ดวงอาทิตย์ที่ปรากฏบนเซดนานั้นอาจมีขนาดเท่าปลายเข็มซึ่งสว่างกว่า[[ดวงจันทร์]]ตอนเต็มดวง 100 เท่า (เมื่อเทียบกับโลกแล้ว ดวงอาทิตย์ที่เห็นบนโลกสว่างกว่าตอนดวงจันทร์เต็มดวง 400,000 เท่า) และดวงอาทิตย์อยู่ไกลเกินกว่าที่จะเห็นเป็นรูปร่างได้<ref name="HubbleSite2004image" />
บรรทัด 80:
สมมติฐาน[[วัตถุพ้นดาวเนปจูน]]นั้นก้าวหน้าไปในหลากหลายรูปแบบโดยนักดาราศาสตร์จำนวนหนึ่ง รวมทั้ง รอดนีย์ โกเมส และปาทรึก ลือกาวกา สมมติฐานรูปแบบหนึ่งมีการรบกวนของวงโคจรเซดนาโดยวัตถุสมมติขนาดเท่าดาวเคราะห์ในเมฆฮิลล์เข้ามาเกี่ยวข้อง แบบจำลองล่าสุดแสดงให้เห็นว่าลักษณะการโคจรของเซดนาสามารถอธิบายได้ด้วยการรบกวนจากวัตถุมวลเท่าดาวเนปจูน ณ ตำแหน่ง 2,000 AU หรือน้อยกว่า วัตถุมวลเท่าดาวพฤหัสบดี ณ ตำแหน่ง 5,000 AU หรือแม้กระทั่งวัตถุมวลเท่าโลก ณ ตำแหน่ง 1,000 AU<ref name="PlanetarySociety"/><ref name="Gomez2006"/> แบบจำลองคอมพิวเตอร์โดยปาทรึก ลือกาวกา เสนอว่าวงโคจรของเซดนาอาจเป็นผลมาจากวัตถุขนาดประมาณโลกที่ถูกเหวี่ยงออกมาข้างนอกโดยดาวเนปจูนในช่วงเริ่มแรกของระบบสุริยะ และขณะนี้ก็อยู่ในวงโคจรที่ถูกยืดออกไปในช่วงระหว่าง 80 และ 170 AU จากดวงอาทิตย์<ref name="lykawka"/> การสำรวจท้องฟ้าหลายครั้งของไมก์ บราวน์ตรวจไม่พบวัตถุขนาดเท่าโลกใด ๆ ในช่วงระยะทางถึงประมาณ 100 AU เป็นไปได้ว่าวัตถุนั้นอาจหลุดออกไปนอกระบบสุริยะหลังจากการก่อตัวของเมฆออร์ตชั้นใน<ref name="sisters"/>
คอนสแตนติน บาตีกิน นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย และไมก์ บราวน์ตั้งสมมติฐานไว้เกี่ยวกับการมีตัวตนของดาวเคราะห์ยักษ์ในระบบสุริยะชั้นนอก พวกเขาให้ชื่อเล่นว่า [[ดาวเคราะห์เก้า]] ดาวเคราะห์ดวงนี้อาจมีมวลมากกว่าโลก 10 เท่า มีวงโคจรที่เยื้องมาก ๆ และมีระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ประมาณ 20 เท่าของดาวเนปจูน (ซึ่งโคจรที่ระยะทางเฉลี่ยที่ 30.1
มันถูกเสนอว่าวงโคจรของเซดนานั้นเป็นผลมาจากอิทธิพลของดาวคู่ขนาดใหญ่ของดวงอาทิตย์ อยู่ห่างออกไปหลายพันหน่วยดาราศาสตร์ ดาวคู่สมมติหนึ่ง คือ [[เนเมซิส (ดาวฤกษ์สมมติ)|เนเมซิส]] [[ระบบดาวคู่|ดาวคู่]]มืดของดวงอาทิตย์ที่ถูกเสนอว่ามีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้มีการพุ่งชนของดาวหางอันทำให้เกิด[[การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่]]บนโลก ร่องรอยการพุ่งชนบนดวงจันทร์ และองค์ประกอบวงโคจรที่คล้าย ๆ กันของดาวหางคาบยาวจำนวนมาก<ref name="Gomez2006"/><ref name="Cruttenden"/> ไม่มีหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับเนเมซิสเลย และหลักฐานหลายอย่าง เช่น จำนวนหลุมอุกกาบาต ทำให้การมีตัวตนของดาวดวงนั้นกลายเป็นข้อกังขา<ref name="Hills1984" /><ref name="Planck-NemesisMyth"/> [[จอห์น เจ. มัลทีส]] และ[[ดาเนียล พี. วิทไมร์]] ผู้ที่เสนอความเป็นไปได้ของดาวคู่ดวงอาทิตย์มาอย่างยาวนาน เสนอว่าวัตถุมวล 5 เท่าของดาวพฤหัสบดีที่อยู่ออกไปประมาณ 7,850 AU จากดวงอาทิตย์ อาจทำให้วัตถุหนึ่งมีวงโคจรแบบเซดนา<ref name="Matese2006"/>
บรรทัด 106:
== การสำรวจ ==
เซดนาจะอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดประมาณปี พ.ศ. 2618–2619 การเข้าใกล้ครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่จะสำรวจดาว ซึ่งจะไม่มีโอกาสอีกจนกว่า 12,000 ปีข้างหน้า ถึงแม้เซดนาจะมีรายชื่อในเว็บไซต์การสำรวจระบบสุริยะของนาซา<ref name="NASA1504" /> แต่ปัจจุบันยังไม่มีแผนการใดๆ เพื่อสำรวจเซดนา<ref name="NASADwarfMissions" /> มันถูกคำนวณออกมาว่าจะใช้เวลา 24.48 ปี ในการเดินทางจากโลกถึงเซดนา โดยใช้แรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีช่วยเหวี่ยง คาดว่าวันปล่อยยานอาจจะเป็น 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2576 หรือ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2589 เมื่อยานไปถึงเซดนาจะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 77.27 และ 76.43
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561 [[อีธาน ซีเกล]] นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ สนับสนุนยานอวกาศสำหรับศึกษาเซดนาที่ตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอย่างเปิดเผย ซีเกลกล่าวว่าเซดนาเป็นเป้าหมายที่น่าดึงดูด เนื่องจากสถานะที่เป็นไปได้ของการเป็นวัตถุเมฆออร์ตชั้นใน เนื่องจากเซดนาใช้ระยะเวลาในการโคจรนาน จึงอาจจะเป็นโอกาสเดียวในหลายสหัสวรรษที่จะได้ศึกษาเซดนา<ref>{{Cite news|url=https://www.forbes.com/sites/startswithabang/2018/05/22/is-humanity-ignoring-our-first-chance-for-a-mission-to-an-oort-cloud-object/#5c721c266953|title=Is Humanity Ignoring Our First Chance For A Mission To An Oort Cloud Object?|last=Siegel|first=Ethan|work=Forbes|access-date=2018-07-13|language=en}}</ref> ภารกิจเช่นนี้สามารถทำให้สะดวกขึ้นได้ด้วยเครื่องพ่นไอออน [[Dual-Stage 4-Grid]] ที่สามารถย่นเวลาการเดินทางได้อย่างมาก ถ้าให้พลังงานด้วยบางอย่าง เช่น เตาปฏิกรณ์<ref>{{Cite journal|date=2009-04-01|title=Very high delta-V missions to the edge of the solar system and beyond enabled by the dual-stage 4-grid ion thruster concept|url=https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0094576508003731|journal=Acta Astronautica|language=en|volume=64|issue=7–8|pages=735–744|doi=10.1016/j.actaastro.2008.11.013|issn=0094-5765|bibcode=2009AcAau..64..735B|last1=Bramanti|first1=C|last2=Izzo|first2=D|last3=Samaraee|first3=T|last4=Walker|first4=R|last5=Fearn|first5=D}}</ref>
|