ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เอ็มจีคาส์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Guylampang46 (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้า
(ไม่แตกต่าง)

รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:41, 15 กุมภาพันธ์ 2562

รถยนต์เอ็มจี รถยนต์อันดับต้น ๆ ของมอร์ริส การาจส์ (Morris Garages) เป็นยี่ห้อของวิศวกรรมยานยนต์จดทะเบียนโดยบริษัทเอ็มจี คาร์ คอมแพนี จำกัด ซึ่งปิดกิจการไปแล้ว ณ ปัจจุบัน ผู้ผลิตรถสปอร์ตอังกฤษเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ.1920 เป็นการขายที่เป็นงานพิเศษนอกเหนือจากการขายปลีก และการบริการที่เมืองอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford) ของดับเบิลยู.อาร์. มอร์ริส (W.R. Morris) โดยผู้จัดการธุรกิจ "ซีเซิล คิมเบอร์" (Cecil Kimber) ที่เป็นที่รู้จักกันจากรถยนต์เปิดประทุนสองที่นั่งของเขา บริษัทเอ็มจีก็ยังผลิตรถยนต์ซาลูน (Saloon) และคูเป้ (Coup?) อีกด้วย และคิมเบอร์ก็เป็นลูกจ้างของวิลเลียม มอร์ริส (William Morris)

ไฟล์:ตราmg.jpg
ตรายี่ห้อรถยนต์ MG

ธุรกิจเอ็มจีเป็นสิทธิครอบครองส่วนตัวของมอร์ริสจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ.1935 เมื่อเขาขายธุรกิจให้บริษัทมอร์ริส มอเตอร์ส จำกัด (Morris Motors Limited) ที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการถือครองใหม่ก่อนที่จะเผยแพร่มอร์ริส มอเตอร์ส ต่อสาธารณะในปี ค.ศ.1936 เอ็มจีได้ประสบพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงมากมายกับการเป็นเจ้าของ เริ่มตั้งแต่ที่มอร์ริสรวมเข้ากับออสติน (Austin) ในเดอะ บริทิช มอเตอร์ คอร์เปอเรชัน จำกัด (The British Motor Corporation Limited) ในปี ค.ศ.1952 เอ็มจีได้เปลี่ยนมาเป็นเดอะ เอ็มจี ดีวิชัน ออฟ บีเอ็มซี (The MG Division of BMC) ในปี ค.ศ.1967 และเป็นส่วนประกอบของการรวมบริษัทที่สร้างบริทิช เลย์แลนด์ มอเตอร์ คอร์เปอเรชัน (British Leyland Motor Corporation) เริ่มต้นด้วย 2000 MG เป็นส่วนหนึ่งของเอ็มจี โรเวอร์ กรุ๊ป (MG Rover Group) ที่เข้าร่วมการสั่งพิทักษ์ทรัพย์

ในปี ค.ศ.2005 สินทรัพย์และเอ็มจีได้ทำการซื้อโดยหนานจิง ออโตโมบายล์ กรุ๊ป (Nanjing Automobile Group) ที่เข้าร่วมกับเอสเอไอซี (SAIC) ในปีค.ศ.2008 เป็นจำนวนเงิน 53 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.1395 พันล้านบาท) การผลิตเริ่มต้นใหม่ในปีค.ศ.2007 ณ ประเทศจีน รถยนต์เอ็มจีรุ่นแรกใหม่ล่าสุดจากอังกฤษเป็นเวลา 16 ปี เอ็มจี 6 (MG 6) เผยโฉมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ.2011

คำอธิบาย

รถยนต์ยี่ห้อเอ็มจีแบบดั้งเดิมถูกใช้ต่อมา ยกเว้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเวลา 56 ปีหลังจากการก่อตั้งในปีค.ศ.1923 การผลิตรถสปอร์ตสองที่นั่งอย่างเหนือกว่านั้นทำให้ดึงดูดความสนใจไปที่โรงงานในแอบิงดอน (Abingdon) ห่างจากอ๊อกซ์ฟอร์ดไปทางทิศใต้ประมาณ 10 ไมล์ (16 กิโลเมตร) เดอะ บริทิช มอเตอร์ คอร์เปอเรชัน (BMC) ด้านการแข่งขันจะมีฐานอยู่ที่โรงงานในแอบิงดอน ผลิตรถแรลลี (Rally) และรถแข่ง จนกระทั่งโรงงานแอบิงดอนปิดตัวลง และการผลิตเอ็มจีบี (MGB) สิ้นสุดในฤดูใบไม้ผลิในปีค.ศ.1980

ระหว่างปีค.ศ.1982 และ 1991 ยี่ห้อเอ็มจีเคยให้วิศวกรออกแบบรถที่มีดีไซน์สปอร์ตกว่าเดิม คือ ออสติน โรเวอร์ส เมโทร (Austin Rover's Metro) แมสโทร (Maestro) และ มอนเทโก (Montego) แต่ยี่ห้อเอ็มจีก็ยังไม่กลับมามีชีวิตชีวากว่าเดิม จนกระทั่งปีค.ศ.1992 ด้วยรถเอ็มจี อาร์วี 8 (MG RV8) รุ่นใหม่ล่าสุดของรถเปิดประทุนเอ็มจีบี (MGB Roadster) ด้วยเครื่องยนต์โรเวอร์ วี 8 (Rover V8) ที่ได้เปิดให้ชมที่งานมอเตอร์โชว์ที่เบอร์มิงแฮม (Birmingham Motor Show) เมื่อปีค.ศ.1992 ด้วยการซื้อขายที่มากตั้งต้นในปี 1993

การฟื้นฟูครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อฤดูร้อนปีค.ศ.1995 เมื่อรถเอ็มจี เอ็ฟ (MG F) 2 ที่นั่งพร้อมเปิดประทุนได้เผยโฉมที่มีการซื้อขายมาก ยี่ห้อเอ็มจี มาพร้อมกับยี่ห้อโรเวอร์ เข้าร่วมในเดอะ เอ็มจี โรเวอร์ กรุ๊ป (The MG Rover Group) ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2000 เมื่อบีเอ็มดับเบิลยู (BMW) แตกกลุ่มจากเดอะ โรเวอร์ กรุ๊ป (The Rover Group) ซึ่งข้อตกลงก็ได้นำกลับมาสู่การผลิตรถยนต์เอ็มจีที่มีความสปอร์ตมากกว่าเดิม โดยมีฐานมาจากรถโรเวอร์ เช่น เอ็มจี แซดที (MG ZT) ในปีค.ศ.2001 พร้อมกับการปรับปรุงแก้ไขโมเดลเอ็มจี เอ็ฟ เป็นที่รู้จักกันในชื่อเอ็มจี ทีเอ็ฟ (MG TF) ในปีค.ศ.2002 อย่างไรก็ดี การผลิตทั้งหมดก็ยุติลงในเดือนเมษายน ปีค.ศ.2005 เมื่อเอ็มจี โรเวอร์ เข้าร่วมเป็นการบริหาร

สินทรัพย์ของเอ็มจี โรเวอร์ ถูกขายให้กับบริษัทผลิตรถของประเทศจีน "หนานจิง ออโตโมบายล์" ในเดือนกรกฎาคม ปีค.ศ.2005 และขายให้กับเอสเอไอซี (SAIC) ในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.2007 ตามลำดับ ที่ปัจจุบันมีสาขาในประเทศอังกฤษ "เอ็มจี มอเตอร์"

โมเดลรถยนต์

ไฟล์:รถmg.jpg
ตัวอย่างรถยนต์

โมเดลแรกสุดในปีค.ศ.1924 เอ็มจี 14/28 (MG 14/28) ประกอบด้วยหุ่นที่สปอร์ตเป็นโครงรถยนต์มอร์ริส อ็อกซ์ฟอร์ด (Morris Oxford Chassis) โมเดลรถมีหลากหลายรุ่นที่พัฒนา รถยนต์คันแรกที่สามารถบรรยายได้ว่าเป็นเอ็มจีโฉมใหม่ แทนที่มอร์ริสที่แปลงโฉมแล้ว คือ เอ็มจี 18/80 (MG 18/80) ในปีค.ศ.1928 ด้วยโครงสร้างรถที่เป็นไปตามจุดประสงค์ และด้วยรูปลักษณ์ที่ตะแกรงหน้ารถเป็นเส้นตรงแบบใหม่ของเอ็มจี รถยนต์คันเล็กนี้ได้ออกมาเมื่อปีค.ศ.1929 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของเอ็ม ไทป์ (M-Type) ตามโครงสร้างของมอร์ริส ไมเนอร์ (Morris Minor) เอ็มจีสร้างชื่อขึ้นให้มันในเวลาต่อมาไม่นานในการแข่งขันรถยนต์นานาชาติ (International Automobile Racing) เริ่มขึ้นก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น เอ็มจีได้ผลิตรถที-ซีรีส์ (T-Series) ขนาดเล็ก โดยก่อนที่จะเกิดสงครามก็ได้ส่งออกไปทั่วโลก ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย รวมถึงเอ็มจี ทีซี (MG TC) เอ็มจี ทีดี (MG TD) เอ็มจี ทีเอ็ฟ (MG TF) ทั้งหมดนี้มีฐานมาจากเอ็มจี ทีบี (MG TB) และพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เอ็มจีเดินทางจากวาย-ไทป์ ซาลูน (Y-Type Saloon) และดีไซน์ก่อนสงคราม และปล่อยเอ็มจีเอ (MGA)

ในปีค.ศ.1955 เอ็มจีบี (MGB) ปล่อยอกมาเมื่อปีค.ศ.1962 เพื่อตอบสนองความต้องการที่จะทำรถสปอร์ตให้มีความทันสมัยและสะดวกสบายมากขึ้น ในปีค.ศ.1965 มีรถคูเป้ (FHC) ได้แก่ เอ็มจีบี จีที (MGB GT) กับการพัฒนาที่ต่อเนื่อง ส่วนมากก็เพื่อทำตามความเข้มงวดของมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา เอ็มจีบีคันนี้ก็ได้ผลิตจนถึงปีค.ศ.1980 ระหว่างปีค.ศ.1967-1969 โมเดลเอ็มจีซี (MGC) ก็ถูกปล่อยออกมา ซึ่งก็มีฐานมาจากเอ็มจีบี แต่ใหญ่กว่า (และหนักกว่าด้วย) ด้วยเครื่องยนต์ 6 กระบอกสูบ และอะไรบางอย่างที่ทำให้การบังคับแย่ลง เอ็มจีก็ยังเริ่มผลิตรถยนต์คันเล็กในปีค.ศ.1961 ได้ออกแบบใหม่ให้กับรุ่นที่สอง "ออสติน เฮลี สไปรท์" (Austin Healey Sprite) เล็กน้อย ที่สร้างความตกอกตกใจนั่นก็คือ เอ็มจีบีในปีค.ศ.1974 นั้นเป็นโมเดลสุดท้ายที่กันชนสร้างจากโครเมียมเนื่องจากข้อบังคับของสหรัฐอเมริกา กลางปีค.ศ.1974 กันชนแผ่นยางหนาสีดำก็ได้มาประกอบอยู่บนตัวรถ ในปีค.ศ.1973 เอ็มจีบี จีที วี 8 (MGB GT V8) ถูกปล่อยออกมาโดยมีเครื่องยนต์บิวอิก โรเวอร์ วี 8 (Buick Rover V8 Engine) และผลิตขึ้นจนกระทั่งปีค.ศ.1976 จากรถเอ็มจีบีเป็นรถที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดจนกระทั่งโรงงานแอบิงดอนปิดตัวลงในเดือนตุลาคม ปีค.ศ.1980 หลังจากนั้นก็ยังประยุกต์ให้กับรุ่นของบีเอ็มซี ซาลูน (BMC Saloon) ประกอบไปด้วย บีเอ็มซี เอดีโอ 16 (BMC ADO16) ซึ่งก็มีในบริษัทไรลีย์ (Riley) แต่เอ็มจีก็จะเน้นย้ำไปที่ความสปอร์ตมากกว่า

ยี่ห้อนี้ก็มีมาเรื่อย ๆ หลังจากปีค.ศ.1980 และถูกใช้ในออสติน ซาลูน หลาย ๆ รุ่น ได้แก่ เมโทร (Metro) แมสโทร (Meastro) และมอนเทโก (Montego) ในนิวซีแลนด์ นอกจากนี้เอ็มจีก็ยังได้ปรากฏอยู่ในปลายปี 1980 ในทรัพย์สินของมอนเทโก เรียกว่าเอ็มจี 2.0 ไซ วากอน (MG 2.0 Si Wagon) แล้วก็ยังมีการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์ช่วงสั้น ๆ ของเครื่องยนต์กลาง รุ่น 6 กระบอกสูบของเมโทร การผลิตที่เสร็จสิ้นของเอ็มจี เมสโทรในปีค.ศ.1990 ซึ่งปล่อยออกมาในโมเดลของ โรเวอร์ (Rover-Only Model) เอ็มจีแมสโทร และเอ็มจีมอนเทโกอยู่ในการขายถึงปีค.ศ.1991 เมื่อโรเวอร์ตัดการผลิทำให้มีความทันสมัยมากขึ้นใน 200 ซีรีส์ (200 Series) และ 400 ซีรีส์ (400 Series) รถโรเวอร์แมสโทรที่มีประสิทธิภาพสูงโมเดล 200 และ 400 จีทีไอ (200 and 400 GTi) วางขายในปลายปีค.ศ.1989 และตลอดจนปีค.ศ.1990 โดยที่แมสโทรเอ็มจีได้ถูกยกเลิกไปในปีค.ศ.1990 และรุ่นแมสโทรและมอนเทโกถูกตัดออกปีค.ศ.1991 โรเวอร์กรุ๊ปได้นำรถยนต์สองที่นั่งมาใช้ใหม่เป็นรุ่นเอ็มจี อาร์วี 8 (MG RV8)

ในปีค.ศ.1992 และเอ็มจีเอ็ฟ (MGF) รุ่นใหม่ล่าสุดวางขายในปีค.ศ.1995 เป็นรุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นเอ็มจีของแท้ นับตั้งแต่การผลิตเอ็มจีบีในปีค.ศ.1980 หลังจากเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2000 การขายรถยนต์เอ็มจี และโรเวอร์ ประทับตราโดยหุ้นส่วน เดอะ ฟีนิกซ์ (The Phoenix Consortium) และสร้างเอ็มจี โรเวอร์ กรุ๊ป ขึ้นมาใหม่ เอ็มจีนั้นได้เผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวางในฤดูร้อน ค.ศ.2001 ด้วยการนำเสนอ 3 โมเดลสปอร์ตมีฐานมาจากรถยนต์โรเวอร์ที่ร่วมสมัย เอ็มจี แซดอาร์ (MG ZR) มีฐานมาจากโรเวอร์ 25 (Rover 25) เอ็มจี แซดเอส (MG ZS) จาก โรเวอร์ 45 (Rover 45) และเอ็มจี แซดที หรือแซดที-ที (MG ZT/MG ZT-T) มาจาก โรเวอร์ 75 (Rover 75) เอ็มจี โรเวอร์ กรุ๊ป ได้ซื้อรถยนต์เควล ที่ได้ควบคุมการพัฒนาของบริษัทเดอ โทแมโซ ไบกวา (The De Tomaso Bigua) รถยนต์คันนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเควล แมงกัสตา และได้รับการอนุมัติให้วางขายในสหรัฐอเมริกา เป็นรากฐานของเอ็มจี เอ็กซ์พาวเวอร์ เอสวี (MG XPower SV) ที่มีเครื่องยนต์วี 8 (V8 Engine) ที่แรงมาก ซึ่งได้เปิดเผยออกมาในปีค.ศ.2002 และวางขายในปีค.ศ.2004