ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วันวาเลนไทน์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 41:
ในการตรวจชำระปฏิทินนักบุญโรมันคาทอลิก [[วันฉลอง]]นักบุญวาเลนไทน์ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถูกตัดออกจากปฏิทินโรมันทั่วไปและลดขั้นไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ (particular calendar, ท้องถิ่นหรือประจำชาติ) ด้วยเหตุผล "แม้ความทรงจำเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์จะเก่าแก่ แต่ชื่อของเขาก็ถูกลดไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ เพราะนอกเหนือไปจากชื่อของเขาแล้ว ไม่มีข้อมูลอื่นใดทราบกันเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์ เว้นแต่ว่า ศพเขาฝังที่เวียฟลามิเนียเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์"<ref>''Calendarium Romanum ex Decreto Sacrosancti Œcumenici Concilii Vaticani II Instauratum Auctoritate Pauli PP. VI Promulgatum'' (Typis Polyglottis Vaticanis, MCMLXIX), p. 117.</ref> วันฉลองนี้ยังมีการเฉลิมฉลองอยู่ใน[[บัลซาน]] ([[ประเทศมอลตา]]) ที่ซึ่งมีการอ้างว่าพบเรลิกของนักบุญวาเลนไทน์ที่นั่น และมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยผู้นับถือนิกายคาทอลิกดั้งเดิมที่ถือตามปฏิทินที่เก่ากว่าก่อนหน้าของสภา[[สังคายนาวาติกันครั้งที่สอง]]นี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ยังมีการเฉลิมฉลองเป็นวันวาเลนไทน์ใน[[นิกายของศาสนาคริสต์|นิกายอื่นของศาสนาคริสต์]] ตัวอย่างเช่น วันวาเลนไทน์มีระดับระดับ "พิธีฉลอง" (commemoration) ในปฏิทินของ[[คริสตจักรแห่งอังกฤษ]] และส่วนอื่นของ[[แองกลิคันคอมมิวเนียน]]<ref>{{cite web |url=http://www.churchofengland.org/prayer-worship/worship/texts/the-calendar/holydays.aspx |title=Holy Days |publisher=The Church of England |accessdate=2012-02-14}}</ref>
 
=== ตำนานของวันวาเลนไทน์ ===
ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือที่ 6 ผลงานชื่อ ''Passio Marii et Marthae'' ได้กุเรื่องราวการพลีชีพเพื่อศาสนาแก่นักบุญวาเลนไทน์แห่งโรม ซึ่งปรากฏว่ามิได้มีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ใด ๆ เลย<ref name="ansgar49">Ansgar, 1986, pp. 49-50</ref> ผลงานนี้อ้างว่า นักบุญวาเลนไทน์ถูกเบียดเบียนเพราะนับถือศาสนาคริสต์ และถูกสอบสวนโดย[[จักรพรรดิคลอเดียส กอธิคัส]] เป็นการส่วนตัว วาเลนไทน์จักรพรรดิคลอเดียสประทับใจและได้สนทนากับเขา โดยพยายามให้เขาเปลี่ยนไปนับถือลัทธิเพเกินโรมันเพื่อรักษาชีวิตของเขา วาเลนไทน์ปฏิเสธและพยายามโน้มน้าวให้จักรพรรดิคลอเดียสหันมานับถือศาสนาคริสต์แทน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกประหารชีวิต ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตนั้น มีรายงานวาเขาได้แสดงปาฏิหาริย์โดยรักษาลูกสาวตาบอดของผู้คุมของเขา แอสเตอเรียส (Asterius) ''Passio'' สมัยหลังย้ำตำนานนี้ โดยเสริมเรื่องกุว่า[[สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 1]] ได้ทรงสร้างโบสถ์ครอบสุสานของเขา (เป็นความเข้าใจผิดกับผู้พิทักษ์ประชากร [tribune] ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ชื่อ วาเลนติโน ซึ่งบริจาคที่ดินเพื่อสร้างโบสถ์ในขณะที่จูเลียสเป็นพระสันตะปาปา)<ref name="ansgar49"/> ตำนานได้หยิบยกขึ้นเป็นข้อเท็จจริงโดยบันทึกมรณสักขีในภายหลัง เริ่มจากบันทึกมรณสักขีของบีดในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และมีย้ำในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใน ''[[ตำนานทอง]]''<ref>[http://www.catholic-forum.com/saints/golden169.htm ''Legenda Aurea'', "Saint Valentine"], catholic-forum.com.</ref> หนังสือนี้อธิบายคร่าว ๆ ถึงกิจการของนักบุญ (''Acta Sanctorum'') [[ต้นสมัยกลาง]]ว่ามีนักบุญวาเลนไทน์หลายคน และตำนานนี้จัดเข้ากับวาเลนไทน์ใต้วันที่ 14 กุมภาพันธ์