ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เหมียว เฉียวเหว่ย์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Calearm77 (คุย | ส่วนร่วม)
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
Calearm77 (คุย | ส่วนร่วม)
→‎ประวัติ: ระบุ พ.ศ. ในแต่ละช่วงให้ชัดเจน
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 26:
 
==ประวัติ==
===ชีวิตช่วงแรก (พ.ศ. 2501-2521)===
เหมียวฉียวเหว่ย เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2501 เขามีชื่อเล่นว่า '''อาเหมียว''' (A Miao) และชื่อภาษาอังกฤษว่า ไมเคิล เหมียว (Michael Miu) เขาเกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง ที่ท่าเรือ[[โจวซาน]](舟山港)ซึ่งเป็นท่าเรือที่ตั้งอยู่ในเมือง[[หนิงโป]] [[มณฑลเจ้อเจียง]] [[ประเทศจีน]] และเป็นลูกคนสุดท้องในครอบครัว พ่อของเขาทำงานเป็น [[กะลาสี|นักเดินเรือ]] ของ บริษัท [[กรมเจ้าท่า|ขนส่งทางทะเล]]ของฮ่องกง ซึ่งต้องเดินทางในทะลนานหลายเดือนไปมาระหว่างจีนและฮ่องกง ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ห้าขวบแม่ได้พาเขาย้ายไปอยู่[[ฮ่องกง]] โดยอาศัยอยู่กับปู่และย่า ด้วยอาชีพนักเดินเรือที่เป็นอยู่ทำให้พ่อของเขาไม่มีโอกาสดูแลและอยู่กับเขานาน ๆ ได้เลย จึงทำให้เขาเติบโตมากับคุณแม่เป็นหลัก
 
แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผันเมื่อ เหมียวเฉาเหว่ย อายุ 17 ปีพ่อของเขาป่วยเป็นมะเร็งและสูญเสียความสามารถจนต้องออกจากงานที่ทำอยู่ เป็นผลให้ครอบครัวประสบปัญหาทางการเงิน ต่อมาเขาได้ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนมัธยมศึกษา [[เซียงต้าว]] (香島中學) ในระดับชั้นม.4 และออกไปหางานทำเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเขา โดยไปสมัครงานที่ร้าน[[เฟอร์นิเจอร์]]โบราณแห่งหนึ่ง หลังจากฝึกหัดแบบงานไม้เฟอร์นิเจอร์ จนชำนาญก็ได้ทำงานที่นั้นเป็นระยะเวลาสามปี<ref>[http://www.ihktv.com/ricky-wong-michael-miu-intention-to-switch.html เหมียวเฉียวเหว่ย]</ref><ref>{{cite web|url= http://www.chinapress.com.my/20141006/%E8%87%A5%E5%BA%95%E6%AE%BA%E5%87%BA%E8%B2%A1%E8%B7%AF/?variant=zh-hant/amp/ | title=เรื่องราว เหมียวเฉียวเหว่ย}}</ref><ref>{{cite web|url= https://baike.baidu.com/item/%E8%8B%97%E4%BE%A8%E4%BC%9F| title=ประวัติของเหมียวเฉียวเหว่ย}}</ref>
 
===เข้าสู่วงการบันเทิง (พ.ศ. 2522-2525)===
ต่อมาในปีพ.ศ. 2522 เขาเกิดมีปัญหาขัดแย้งกับหัวหน้างานขึ้นมาเลยขอลาพักงานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ซึ่งประจวบเหมาะพอดีกับที่ทาง[[สถานีโทรทัศน์ทีวีบี]] กำลังเปิดรับสมัครนักเรียนการแสดงใหม่ในรุ่นที่ 9 เพราะความอยากรู้อยากลองเขาจึงกรอกแบบฟอร์มการลงทะเบียนและยื่นใบสมัคร<ref>[http://www.ihktv.com/ricky-wong-michael-miu-intention-to-switch.html เหมียวเฉียวเหว่ย]</ref><ref>{{cite web|url= http://www.chinapress.com.my/20141006/%E8%87%A5%E5%BA%95%E6%AE%BA%E5%87%BA%E8%B2%A1%E8%B7%AF/?variant=zh-hant/amp/ | title=เรื่องราว เหมียวเฉียวเหว่ย}}</ref><ref>{{cite web|url= https://baike.baidu.com/item/%E8%8B%97%E4%BE%A8%E4%BC%9F| title=ประวัติของเหมียวเฉียวเหว่ย}}</ref>
ต่อมาในปีพ.ศ. 2522 เขาเกิดมีปัญหาขัดแย้งกับหัวหน้างานขึ้นมาเลยขอลาพักงานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ซึ่งประจวบเหมาะพอดีกับที่ทาง[[สถานีโทรทัศน์ทีวีบี]] กำลังเปิดรับสมัครนักเรียนการแสดงใหม่ในรุ่นที่ 9 เพราะความอยากรู้อยากลองเขาจึงกรอกแบบฟอร์มการลงทะเบียนและยื่นใบสมัคร เมื่อผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนการแสดง เขาได้ตัดสินใจลาออกจากงานร้านเฟอร์นิเจอร์ทันที เพื่อเข้ารับการอบรมกับ[[สถานีโทรทัศน์ทีวีบี]]และต้องใช้เวลาเรียนการแสดงประมาณ 1 ปี โดยในรุ่นที่ 9 มีเพื่อนนักเรียนการแสดงร่วมรุ่นที่ต่อมากลายเป็นดาราดัง ได้แก่ [[หวงเย่อหัว]] ในห้องเรียนเขากับหวงเย่อหัว ทั้งสองสนิทกันมากและกลายมาเป็นเพื่อนซี้จนถึงปัจจุบันนี้ หลังเรียนการแสดงจบในปีพ.ศ. 2523 เขาได้เริ่มอาชีพนักแสดงอย่างเต็มตัวทันที เหมียวเฉียวเหว่ยก็เหมือนกับนักแสดงหน้าใหม่คนอื่น ๆ ที่ทางช่องปลุกปั้นโดยให้รับบทเล็ก ๆ ไปก่อน เมื่อเห็นแววรุ่งแล้วจึงจะให้รับบทนำ โดยละครเรื่องแรกในชีวิตของเขาเป็นตัวประกอบในละครดังอย่าง [[เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้]] ภาค1-3 โดยในเรื่องรับบทตัวประกอบเป็นนักศึกษากับหวงเย่อหัว ต่อมาเขาก็ได้แสดงเป็นตัวประกอบในละครดังเรื่องอื่น ๆ อีกได้แก่ ละครสุดฮิตเรื่อง [[คมเฉือนคม]] ภาค1 และ [[ฝันสลาย]] ถึงแม้เริ่มแรกเขาจะเป็นแค่ตัวประกอบแต่ด้วยหน้าตาและรูปร่างที่สูงทำให้เขาถูกจับตามองในฐานะดาวรุ่งมาแรงคนหนึ่ง จากนั้นก็ขยับจากตัวประกอบมาเป็นนักแสดงสมทบในละครเรื่อง [[รักพยาบาท]] ซึ่งบทบาทการแสดงเป็นตัวละครสมทบในละครเรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมและถูกจับตามองเป็นอย่างมากทำให้ถัดมาในปีพ.ศ. 2524 เขาได้ถูกคัดเลือกจากฝ่ายผลิตละครโทรทัศน์ของค่ายทีวีบี ให้แสดงนำครั้งแรกเป็นตัวร้ายกับบท "'''โอวหยังกัง'''" ร่วมกับดาราร่วมรุ่นเพื่อนสนิท อย่าง "หวงเย่อหัว" ที่ได้แสดงเป็นพระเอกในบท "'''หลี่ถัง'''" ในละครเรื่อง [[เหยี่ยวถลาลม]] โดยมีดาราสาวรุ่นพี่ชื่อดังในขณะนั้นอย่าง [[เจิ้งอวี้หลิง]]เป็นนางเอก ซึ่งถือได้ว่าเขาใช้เวลาในการไต่เต้าจากตัวประกอบมารับบทนำในระยะเวลาอันรวดเร็ว หลังจากละครเรื่องนี้ได้ออนแอร์ออกอากาศ ทั้งเหมียวเฉียวเหว่ยและหวงเย่อหัว ต่างก็แจ้งเกิดในทันที และละครเรื่อง เหยี่ยวถลาลม ก็ได้รับความนิยมทั้งในฮ่องกงและประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียเป็นอย่างมาก ส่วนผลงานละครเด่นเรื่องอื่น ๆ ที่เขาได้ร่วมแสดงในปีเดียวกัน ได้แก่ "[[เพชรตัดเพชร]]" (火鳳凰 1981), [[จอมทรนง]] (The Fate 1981), [[มรสุ่มสายรุ่ง]] (風雨晴 1981), [[นางพญาปาฎิหาริย์]] (无双谱 1981), "[[ประกาศิตเหยี่ยวพญายม]]" (飛鷹 1981) และ "[[วีรบุรุษเส้าหลิน]]" (The Young Heroes of Shaolin 1981)
 
===เข้าสู่วงการบันเทิง===
เมื่อผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนการแสดง เขาได้ตัดสินใจลาออกจากงานร้านเฟอร์นิเจอร์ทันที เพื่อเข้ารับการอบรมกับ[[สถานีโทรทัศน์ทีวีบี]]และต้องใช้เวลาเรียนการแสดงประมาณ 1 ปี โดยในรุ่นที่ 9 มีเพื่อนนักเรียนการแสดงร่วมรุ่นที่ต่อมากลายเป็นดาราดัง ได้แก่ [[หวงเย่อหัว]] ในห้องเรียนเขากับหวงเย่อหัว ทั้งสองสนิทกันมากและกลายมาเป็นเพื่อนซี้จนถึงปัจจุบันนี้ หลังเรียนการแสดงจบในปีพ.ศ. 2523 เขาได้เริ่มอาชีพนักแสดงอย่างเต็มตัวทันที เหมียวเฉียวเหว่ยก็เหมือนกับนักแสดงหน้าใหม่คนอื่น ๆ ที่ทางช่องปลุกปั้นโดยให้รับบทเล็ก ๆ ไปก่อน เมื่อเห็นแววรุ่งแล้วจึงจะให้รับบทนำ โดยละครเรื่องแรกในชีวิตของเขาเป็นตัวประกอบในละครดังอย่าง [[เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้]] ภาค1-3 โดยในเรื่องรับบทตัวประกอบเป็นนักศึกษากับหวงเย่อหัว ต่อมาเขาก็ได้แสดงเป็นตัวประกอบในละครดังเรื่องอื่น ๆ อีกได้แก่ ละครสุดฮิตเรื่อง [[คมเฉือนคม]] ภาค1 และ [[ฝันสลาย]] ถึงแม้เริ่มแรกเขาจะเป็นแค่ตัวประกอบแต่ด้วยหน้าตาและรูปร่างที่สูงทำให้เขาถูกจับตามองในฐานะดาวรุ่งมาแรงคนหนึ่ง จากนั้นก็ขยับจากตัวประกอบมาเป็นนักแสดงสมทบในละครเรื่อง [[รักพยาบาท]] ซึ่งบทบาทการแสดงเป็นตัวละครสมทบในละครเรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมและถูกจับตามองเป็นอย่างมากทำให้ถัดมาในปีพ.ศ. 2524 เขาได้ถูกคัดเลือกจากฝ่ายผลิตละครโทรทัศน์ของค่ายทีวีบี ให้แสดงนำครั้งแรกเป็นตัวร้ายกับบท "'''โอวหยังกัง'''" ร่วมกับดาราร่วมรุ่นเพื่อนสนิท อย่าง "หวงเย่อหัว" ที่ได้แสดงเป็นพระเอกในบท "'''หลี่ถัง'''" ในละครเรื่อง [[เหยี่ยวถลาลม]] โดยมีดาราสาวรุ่นพี่ชื่อดังในขณะนั้นอย่าง [[เจิ้งอวี้หลิง]]เป็นนางเอก ซึ่งถือได้ว่าเขาใช้เวลาในการไต่เต้าจากตัวประกอบมารับบทนำในระยะเวลาอันรวดเร็ว หลังจากละครเรื่องนี้ได้ออนแอร์ออกอากาศ ทั้งเหมียวเฉียวเหว่ยและหวงเย่อหัว ต่างก็แจ้งเกิดในทันที และละครเรื่อง เหยี่ยวถลาลม ก็ได้รับความนิยมทั้งในฮ่องกงและประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียเป็นอย่างมาก ส่วนผลงานละครเด่นเรื่องอื่น ๆ ที่เขาได้ร่วมแสดงในปีเดียวกัน ได้แก่ "[[เพชรตัดเพชร]]" (火鳳凰 1981), [[จอมทรนง]] (The Fate 1981), [[มรสุ่มสายรุ่ง]] (風雨晴 1981), [[นางพญาปาฎิหาริย์]] (无双谱 1981), "[[ประกาศิตเหยี่ยวพญายม]]" (飛鷹 1981) และ "[[วีรบุรุษเส้าหลิน]]" (The Young Heroes of Shaolin 1981)
 
ในปีพ.ศ. 2525 หลังจากแจ้งเกิดในบทตัวร้ายจากละครเรื่อง "เหยี่ยวถลาลม" แล้ว ตั้งแต่นั้นทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ก็ได้ผลักดันส่งเสริมเขาเป็นอย่างมากเคียงข้าง หวงเย่อหัว เพื่อนดาราร่วมรุ่นอีกคน โดยให้เขารับบทนำและบางเรื่องก็ได้เป็นพระเอกเต็มตัว เช่นละคร[[ซิทคอม]]เรื่อง [[ฮ่องกง82]] (Hong Kong 82), [[รักลอยฟ้า]] (Ladies of the House), [[ไอ้หนุ่มตะลุย 10 ทิศ]] (A Kid Troupe), [[ยาจกซูไอ้หนุ่มหมัดเมา]] (The Legend of Master So Ma) และ
เรื่อง "[[เขย่าเหลี่ยมเซียน]]" (You only live twice 1982) ซึ่งเรื่องหลังนี้เขาได้เล่นเป็นพระเอกเต็มตัวประกบกับดาราสาวดาวรุ่งดวงใหม่ อย่าง [[ชี เหม่ยเจิน|ชีเหม่ยเจิน]] และทำให้เขาได้พบรักกลางกองถ่ายกับเธอซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องนี้อีกด้วย จนทั้งคู่ได้เป็นแฟนกันในเวลาต่อมา และในช่วงเวลานี้เองที่ทางฝ่ายการผลิตของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ได้คัดเลือกเขาให้รับบทนำเป็น[[เอี้ยคัง]] คู่กับ[[หยาง พ่านพ่าน]] ในบท [[มกเนี่ยมชื้อ]] โดยได้หวงเย่อหัว มารับบท[[ก๊วยเจ๋ง]] คู่กับดาราสาวดาวรุ่งมาแรง [[องเหม่ยหลิง]] ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้ามารับบทนำเป็น [[อึ้งย้ง]] กับผลงานละครกำลังภายในฟอร์มใหญ่ที่กำลังจะสร้างเรื่อง [[มังกรหยก]] เมื่อมีการประกาศรายชื่อนักแสดงที่จะเข้ามาสวมบทบาทต่าง ๆ ให้ผู้คนได้รับทราบ ซึ่งสร้างความฮือฮาในตอนนั้น เป็นอย่างมาก
 
===เข้าสู่ยุคทองเป็นคู่ขวัญ[[องเหม่ยหลิง]]และมีปัญหากับทางค่ายทีวีบี (พ.ศ.2526-2528)===
ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2526 ถือเป็นการเริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของเขาเลยก็ว่าได้ เมื่อผลงานละครกำลังภายในฟอร์มใหญ่เรื่อง [[มังกรหยก (ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2526)|มังกรหยก ภาค1]] ได้ออนแอร์ลงสู่หน้าจอทีวี โดยมีเรตติ้งคนดูสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ 99% <ref>{{cite web|url=https://zhidao.baidu.com/question/430106538.html|title="มังกรหยก 1983 เรตติ้งสูงสุด"|first=|last=|date=ตุลาคม 13, 2560|author=|publisher=โดย [[Baidu]]|accessdate=มกราคม 20, 2562}}</ref><ref>{{cite web|url=https://read01.com/0N2B6o.html#.W0in5csRXqA|title="เรตติ้งสูงสุด" ของเวอร์ชันมังกรหยก |first=|last=|date=กุมภาพันธ์ 27, 2559|publisher=โดย [[Read01]]|accessdate=มกราคม 20, 2562}}</ref>ทำให้นักแสดงนำทั้ง 4 คนคือ หวงเย่อหัว, องเหม่ยหลิง หยางพ่านพ่าน และเขา ดังเปรี้ยงปร้างสุดกู่ทันที ซึ่ง เหมียวเฉียวเหว่ย เองก็ได้รับคำชื่นชมจากสื่อต่าง ๆ ว่า เขาสามารถสวมบทบาท "เอี้ยคัง" ออกมาได้สมบาทบาทจริง ๆ และจากความโด่งดังในบทนี้ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงจอแก้วยอดนิยมแถวหน้าคนหนึ่งของทางค่ายทีวีบี พอใกล้สิ้นปีทาง สถานีโทรทัศน์ทีวีบี ก็ได้ก่อตั้งกลุ่ม [[5 พยัคฆ์ทีวีบี]] ขึ้นมาโดยมี 5 นักแสดงชายดาวรุ่งพุ่งแรง ของทางค่ายทีวีบี 5 คนมารวมตัวกัน ซึ่งประกอบไปด้วย เหมียวเฉียวเหว่ย, [[หลิวเต๋อหัว]], [[ทัง เจิ้นเยี่ย]], [[เหลียงเฉาเหว่ย]] และ[[หวงเย่อหัว]] ส่วนผลงานละครเด่นเรื่องอื่น ๆ ในปีเดียวกัน ได้แก่ ละครแนวสากลเรื่อง "[[เทพบุตรเสียงทอง]]" (The Radio Tycoon) ที่มี[[โจวเหวินฟะ]] และ[[จ้าวหย่าจือ]] แสดงนำ ตามด้วยผลงานละครแนวตำนานรักอภินิหารที่มีเขาเป็นพระเอก เรื่อง [[พยากรณ์ประกาศิต ภาค1]] (The Fortune Teller) และ [[พยากรณ์ประกาศิต ภาค 2]] (The Fortune Teller II) โดยละครเรื่องนี้มีนางเอก 2 คนคือ [[หวง เจ้าสือ]] และ [[จวง จิ้งเอ๋อ]]
 
===คู่ขวัญ[[องเหม่ยหลิง]]===
ในปีพ.ศ. 2527 หลังจากที่เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตกกับบทบาทเอี้ยคังแล้ว พอดีกับที่ทางพระเอกชื่อดัง หวงเย่อหัว เกิดมีปัญหากับทางช่องขึ้นมาเรื่องการต่อสัญญาระยะยาว ทำให้ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี แช่แข็งงานละครของหวงเย่อหัวและหันมาป้อนงานละครให้เหมียวเฉียวเหว่ยแสดงเป็นพระเอกติดต่อกันถึง 7 เรื่องภายในปีเดียวกัน เช่น "[[ฤทธิ์ดาบหยดน้ำตา]]" (Hero Without Tears) คู่กับ[[หลิวเจียหลิง]], "[[ชะตา ชีวิต]]" (Summer Kisses, Winter Tears) คู่กับ[[เหมย เยี่ยนฟาง|เหมยเยี่ยนฟาง]] โดยเฉพาะละครที่เขาได้เล่นประกบคู่ กับ [[องเหม่ยหลิง]] ต่างได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจนทั้งคู่กลายเป็นคู่ขวัญในตอนนั้นที่บรรดาผู้ชมต่างเชียร์ให้เป็นแฟนกันทั้งในจอและนอกจอ ซึ่งละครเหล่านั้นได้แก่เรื่อง [[ยุทธจักรชิงจ้าวบัลลังค์]] (The Foundation), [[เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์]] (The Fearless Duo), [[เฉือนคมเจ้าพ่อ]] (United We Stand)
และ [[ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว]] (The New Adventures of Chor Lau-heung Chor Lau-heung) โดยเฉพาะ ละครเรื่อง "ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว" นั้นประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วเอเชีย
เส้น 48 ⟶ 45:
ในปีพ.ศ. 2528 ในปีนี้เขายังคงมีละครเด่น ๆ อยู่เช่น [[เพ็กฮ่วยเกี่ยม แค้นกระบี่โค่นบัลลังค์]] (Sword Stained with Royal Blood Ha Suet-ye), [[คอนโดมิเนียม]] (The Condo) และผลงานละครที่รวม 5 พยัคฆ์ทีวีบีมาเล่นร่วมกันเนื่องในโอกาสพิเศษครบรอบ 18 ปีของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี คือเรื่อง[[ขุนศึกตระกูลหยาง]] (The Yang's Saga) ด้วยความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีต้องการให้เขาเซ็นสัญญาระยะยาว 5 ปีกับทางช่อง แต่ทว่าเขากลับไม่เห็นด้วยและเซ็นสัญญาระยะสั้นลงไปแทนเป็นปีต่อปี เพราะเขาอยากหันไปรับงานทางด้านภาพยนตร์อย่างเต็มที่ ทำให้ทางช่องไม่พอใจเป็นอย่างมากและแช่แข็งเขาพร้อมกับลดงานละครของเขาลง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นกับหวงเย่อหัวมาก่อนหน้านั้นแล้ว
 
===มีปัญหากับทางค่ายทีวีบีความนิยมลดลง,หันไปทำธุรกิจ,ลาวงการและแต่งงาน (พ.ศ. 2529-2546)===
ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2529-2531 เหมียวเฉียวเหว่ยมีงานละครน้อยลงมาก ได้แก่ [[ตี้ชิง]] (The Legend of Dik Ching 1986), [[แฝดผิดฝา]]
(Pet and Pest 1986), [[กระบี่มังกรหยก]] (The Dragon Sword 1987) และ [[เดชเซียวฮื้อยี้]]ฉบับ [[เหลียงเฉาเหว่ย]] นำแสดง (Two Most Honorable Knights 1988) เพราะเนื่องจากเขาเซ็นสัญญารับงานละครปีต่อปีและได้รับงานแสดงทางด้านภาพยนตร์ไปด้วย ทำให้ความนิยมในตัวเขาค่อย ๆ ลดลงไปเพราะผลงานภาพยนตร์เหล่านั้น ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
 
และในช่วงปีพ.ศ. 2530 เหมียวเฉียวเหว่ย ได้เปิดธุรกิจแว่นตา ที่ทำร่วมกับครอบครัวของแฟนสาว "[[ชี เหม่ยเจิน]]" โดยมียี่ห้อแว่นตาเป็นของตัวเองภายใต้ชื่อว่า '''เอ็มสามบีกิน''' (M3Begin) จนกระทั่งกลางปีพ.ศ. 2531 หลังหมดสัญญากับสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เขาตัดสินใจหยุดรับงานแสดงทางด้านละครเพื่อหันไปทุ่มเทให้กับธุรกิจแว่นตาอย่างเต็มที่และนับตั้งแต่นั้นความนิยมในตัวเขาเริ่มค่อย ๆ ลดลง แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงรับงานแสดงภาพยนตร์อยู่บ้างประปราย และในปลายปีพ.ศ. 2533 เขาตัดสินใจเข้าพิธีวิวาห์กับแฟนสาว ชีเหม่ยเจิน ที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมานานกว่า 8 ปี และในปีพ.ศ. 2539 เขาก็ประกาศหันหลังให้กับวงการภาพยนตร์ ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในวงการจอเงินเท่าใดนัก แต่อย่างไรก็ตามทางด้านธุรกิจแว่นตาของเขากลับประสบความสำเร็จรุ่งเรืองมากมายในเวลาต่อมาและมีการขยายสาขาน้อยใหญ่ทั้งในฮ่องกงและต่างประเทศ ในขณะที่ธุรกิจไปได้สวยแต่แล้วในปีพ.ศ. 2545 ครอบครัวของเขาได้ตัดสินใจขายธุรกิจแว่นตาให้ชาว[[ออสเตรเลีย]]และได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจนทำให้ครอบครัวของเขาอยู่ในระดับเศรษฐีที่ร่ำรวยมาก แล้วตัวเขาก็กลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้งในปีพ.ศ. 2547 มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะหมดยุคทองของเขาไปนานแล้วก็ตาม
 
===ขายธุรกิจและกลับเข้าวงการอีกครั้ง (พ.ศ. 2547-ปัจจุบัน)===
หลังจากในขณะที่ธุรกิจแว่นตารุ่งเรืองและกำลังไปได้สวยแต่แล้วในปีพ.ศ. 2545 ครอบครัวของเขาได้ตัดสินใจขายธุรกิจทั้งหมดแว่นตาให้กับชาว[[ออสเตรเลีย]]และได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจนทำให้ครอบครัวของเขาอยู่ในระดับเศรษฐีที่ร่ำรวยมาก แล้วตัวเขาก็กลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้งโดยกลับไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงให้กับทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีในราวกลางปีพ.ศ. 2547 และเริ่มมีผลงานละครในปีถัดมา ซึ่งช่วงที่เขากลับเข้ามารับงานแสดงนั้นเป็นช่วงที่ละครชุดฮ่องกงอยู่ในยุคตกต่ำในตลาดเอเชียแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม...สำหรับในประเทศฮ่องกงเองแล้วความนิยมในละครของบ้านเกิดตัวเองก็ยังคงเหมือนเดิม และเขาก็ยังคงมีผลงานละครหลายเรื่องที่ได้รับความนิยมเฉพาะในประเทศฮ่องกง จนมีชื่อเข้าชิงนักแสดงชายจอแก้วยอดเยี่ยมแห่งปีถึง 5 ครั้งด้วยกันจากละครเรื่อง '''ผู้พิทักษ์หัวใจทรนง ภาค1และภาค3''' (The Academy), '''สงครามชีวิต ลิขิตชะตา''' (The Drive of Life), '''ปมลวงเปลี่ยนรัก''' (Love Exchange) และ '''คู่เดือด ตำรวจเหล็ก''' (Gun Metal Grey) ถึงแม้ว่าละครเหล่านี้จะประสบความสำเร็จอย่างมากในฮ่องกง แต่กลับไม่ได้รับความนิยมในระดับเอเชียเหมือนในอดีตอีกเลย
 
ต่อมาในราวกลางปีพ.ศ. 2556 เขาก็ได้หมดสัญญากับทางช่องทีวีบี และผันตัวเองไปเป็นนักแสดงอิสระโดยรับงานทั้งที่ฮ่องกงและที่จีนแผ่นดินใหญ่ ผลงานละครกับทางจีนที่เด่น ๆ คือ [[มังกรหยก (ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2560)|มังกรหยก ฉบับปีพ.ศ. 2560]] ที่เขารับเล่นบท [[อึ้งเอี๊ยะซือ]] ซึ่งก็สร้างความเกรียวกราวพอสมควร และล่าสุดกับผลงานละครที่เล่นให้กับทางค่ายทีวีบีคือ '''ล่าจารชน''' (Line Walker) และ '''ล่าจารชน ภาค2''' (Line Walker: The Prelude)