ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โรคหวัด"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ป้ายระบุ: การแก้ไขผิดปกติในบทความคัดสรร/คุณภาพ การแก้ไขแบบเห็นภาพ |
ล ย้อนการแก้ไขที่อาจเป็นการทดลอง หรือก่อกวนด้วยบอต ไม่ควรย้อน? แจ้งที่นี่ |
||
บรรทัด 20:
== อาการและอาการแสดง ==
อาการทั่วไปของโรคหวัดมีทั้งไอ น้ำมูกไหล [[คัดจมูก]] และเจ็บคอ บางครั้งอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ [[ความล้า]] [[ปวดศีรษะ]]และ[[ภาวะเบื่ออาหาร|สูญเสียความอยากอาหาร]] ในผู้ป่วยโรคหวัด 40% พบอาการเจ็บคอ<ref name=E24>Eccles Pg. 24</ref> และ 50% พบอาการไอ<ref name=CE11/> ขณะที่อาการปวดกล้ามเนื้อพบในผู้ป่วยราวครึ่งหนึ่ง<ref name=Eccles2005/> ผู้ป่วยในวัยผู้ใหญ่มักไม่พบอาการไข้ แต่พบทั่วไปในทารกและเด็ก<ref name=Eccles2005>{{cite journal | author = Eccles R | title = Understanding the symptoms of the common cold and influenza | journal = Lancet Infect Dis | volume = 5 | issue = 11 | pages = 718–25 | year = 2005 | month = November | pmid = 16253889 | doi = 10.1016/S1473-3099 (05) 70270-X }}</ref> อาการไอมักไม่รุนแรงนักเมื่อเทียบกับ[[ไข้หวัดใหญ่]]<ref name=Eccles2005/> ขณะที่อาการไอและไข้ในผู้ใหญ่มีแนวโน้มบ่งชี้ไข้หวัดใหญ่มากกว่า แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างโรคหวัดกับไข้หวัดใหญ่<ref>Eccles Pg.26</ref> ไวรัสหลายชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคหวัดยังอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ
=== การลุกลาม ===
ตามปกติโรคหวัดเริ่มต้นจากความเหนื่อยล้า รู้สึกหนาวสะท้าน จามและปวดศีรษะ ตามด้วยอาการน้ำมูกไหลและไอหลายวัน<ref name=E24/> อาการอาจเริ่มขึ้นใน 16 ชั่วโมงนับแต่การสัมผัส<ref>{{cite book|first=editors, Richard A. Helms|title=Textbook of therapeutics : drug and disease management|year=2006|publisher=Lippincott Williams & Wilkins|location=Philadelphia, Pa. [u.a.]|isbn=9780781757348|pages=1882|url=http://books.google.ca/books?id=aVmRWrknaWgC&pg=PA1882|edition=8.}}</ref> และมักมีอาการรุนแรงที่สุดสองถึงสี่วันหลังเริ่มมีอาการ<ref name=Eccles2005/><ref>{{cite book|last=al.]|first=edited by Helga Rübsamen-Waigmann ... [et|title=Viral Infections and Treatment.|year=2003|publisher=Informa Healthcare|location=Hoboken|isbn=9780824756413|pages=111|url=http://books.google.ca/books?id=AltZnmbIhbwC&pg=PA111}}</ref> โดยปกติอาการจะหายไปเองในเจ็ดถึงสิบวัน แต่บางรายสามารถมีอาการได้นานถึงสามสัปดาห์ 35-40% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 10 วัน<ref name=Heik2003>{{cite journal | author = Heikkinen T, Järvinen A | title = The common cold | journal = Lancet | volume = 361 | issue = 9351 | pages = 51–9 | year = 2003 | month = January | pmid = 12517470 | doi = 10.1016/S0140-6736 (03) 12162-9 }}</ref> และ 10% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 25 วัน<ref>{{cite journal | author = Goldsobel AB, Chipps BE | title = Cough in the pediatric population | journal = J. Pediatr. | volume = 156 | issue = 3 | pages = 352–358.e1 | year = 2010 | month = March | pmid = 20176183 | doi = 10.1016/j.jpeds.2009.12.004 }}</ref>
== สาเหตุ ==
=== ไวรัส ===
โรคหวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจส่วนบน ไวรัสที่พบมากที่สุด คือ [[ไรโนไวรัส]] (30-80%) ซึ่งเป็น[[พิคอร์นาไวรัส]]ที่มี[[เซโรไทป์]]รู้จักกัน 99 ชนิด<ref>{{cite journal | author = Palmenberg AC, Spiro D, Kuzmickas R, Wang S, Djikeng A, Rathe JA, Fraser-Liggett CM, Liggett SB | title = Sequencing and Analyses of All Known Human Rhinovirus Genomes Reveals Structure and Evolution | journal = Science | volume = 324 | issue = 5923 | pages = 55–9 | year = 2009 | pmid = 19213880 | doi = 10.1126/science.1165557 }}</ref><ref>Eccles Pg.77</ref> ไวรัสชนิดอื่นมี[[โคโรนาไวรัส]] (10-15%) ฮิวแมนพาราอินฟลูเอ็นซาไวรัส ไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล อะดีโนไวรัส เอนเทอโรไวรัสและเมตะนิวโมไวรัส<ref name="NIAID2006">{{cite web | title = Common Cold | publisher = [[National Institute of Allergy and Infectious Diseases]] | date = 27 November 2006 | url = http://www3.niaid.nih.gov/healthscience/healthtopics/colds/ | accessdate = 11 June 2007}}</ref> บ่อยครั้งที่ไวรัสมากกว่าหนึ่งชนิดก่อให้เกิดโรค<ref>Eccles Pg.107</ref> รวมทั้งสิ้นแล้ว มีไวรัสกว่า 200 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับโรคหวัด<ref name=Eccles2005/>
=== การแพร่เชื้อ ===
ไวรัสโรคหวัดโดยปกติแพร่เชื้อผ่านละอองจากอากาศ ([[ละอองลอย]]) การสัมผัสโดยตรงกับสิ่งคัดหลั่งทางจมูกที่ติดเชื้อ หรือวัตถุที่เป็นพาหะนำเชื้อ (fomite) <ref name=CE11/><ref name=Cold197>{{cite book|last=editors|first=Ronald Eccles, Olaf Weber, |title=Common cold|year=2009|publisher=Birkhäuser|location=Basel|isbn=978-3-7643-9894-1|pages=197|url=http://books.google.ca/books?id=rRIdiGE42IEC&pg=PA197|edition=Online-Ausg.}}</ref> แต่ยังไม่มีการระบุว่า ทางใดมีความสำคัญที่สุด แต่การสัมผัสมือต่อมือ และมือต่อพื้นต่อมือเหมือนจะสำคัญกว่าการติดต่อผ่านละอองลอย<ref name=E211>Eccles Pp. 211 & 215</ref> ไวรัสอาจมีชีวิตอยู่รอดเป็นเวลานาน มนุษย์ใช้มือหยิบจับไวรัสแล้วนำเข้าสู่ดวงตาหรือจมูกซึ่งเป็นที่เกิดการติดเชื้อ<ref name=Cold197/> การแพร่เชื้อพบทั่วไปในสถานรับเลี้ยงเด็กและที่โรงเรียนเนื่องจากความใกล้ชิดของเด็กจำนวนมากซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำและมักมีอนามัยเลว จากนั้น สมาชิกครอบครัวคนอื่นเป็นผู้นำเชื้อเหล่านี้กลับมาบ้าน<ref name=Text2007>{{cite book|last=al.]|first=edited by Arie J. Zuckerman ... [et|title=Principles and practice of clinical virology|year=2007|publisher=Wiley|location=Hoboken, N.J.|isbn=978-0-470-51799-4|pages=496|url=http://books.google.ca/books?id=OgbcUWpUCXsC&pg=PA496|edition=6th}}</ref> ไม่มีหลักฐานว่า อากาศที่ไหลเวียนอยู่ในเที่ยวบินพาณิชย์เป็นวิธีการแพร่เชื้อ<ref name=Cold197/> อย่างไรก็ตาม บุคคลที่นั่งใกล้ชิดดูเหมือนจะมีความเสี่ยงสูงกว่า<ref name=E211/> โรคหวัดที่เกิดจากไรโนไวรัสติดเชื้อได้มากที่สุดระหว่างสามวันแรกของอาการ แต่จะติดเชื้อน้อยลงมากหลังจากนั้น<ref name="contagiousness">{{cite journal|contribution=Contagiousness of the common cold|author1=Gwaltney JM Jr|author2=Halstead SB|author-separator=, }} Invited letter in {{cite journal|title=Questions and answers|journal=Journal of the American Medical Association|date=16 July 1997|volume=278|issue=3|pages=256–257|url=http://jama.ama-assn.org/content/278/3/256|accessdate=16 September 2011|doi=10.1001/jama.1997.03550030096050}}</ref>
=== ลมฟ้าอากาศ ===
ทฤษฎีชาวบ้านดั้งเดิมมีว่า โรคหวัดสามารถ "ติด" ได้จากการสัมผัสอากาศหนาวเป็นเวลานาน เช่น สภาพฝนตกหรือฤดูหนาว จึงเป็นที่มาของชื่อโรค cold ในภาษาอังกฤษ<ref>{{cite news |author=Zuger, Abigail |title='You'll Catch Your Death!' An Old Wives' Tale? Well.. |newspaper=[[The New York Times]] |date=4 March 2003 |url=http://www.nytimes.com/2003/03/04/science/you-ll-catch-your-death-an-old-wives-tale-well.html}}</ref> บทบาทการเย็นตัวของร่างกายเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหวัดนั้นยังถกเถียงกันอยู่<ref name="Mourtzoukou">{{cite journal | author = Mourtzoukou EG, Falagas ME | title = Exposure to cold and respiratory tract infections | journal = The international journal of tuberculosis and lung disease : the official journal of the International Union against Tuberculosis and Lung Disease | volume = 11 | issue = 9 | pages = 938–43 | year = 2007 | month = September | pmid = 17705968 | doi = }}</ref> ไวรัสบางชนิดที่เป็นเหตุของโรคหวัดมีตามฤดูกาล ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยกว่าในอากาศที่หนาวหรือเปียก<ref>Eccles Pg.79</ref> บางคนเชื่อว่า การติดโรคหวัดเป็นเพราะการอาศัยอยู่ในที่ร่มใกล้กับผู้ที่ติดเชื้อดังกล่าวเป็นระยะเวลานาน<ref name="EcclesPg">Eccles Pg.80</ref> โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่กลับจากโรงเรียน<ref name=Text2007/> อย่างไรก็ดี โรคหวัดยังอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินหายในที่ส่งผลให้มีความไวเพิ่มขึ้น<ref name="EcclesPg" /> ความชื้นที่ต่ำสามารถเพิ่มอัตราการแพร่เชื้อไวรัสได้เนื่องจากอากาศแห้งทำให้ละอองไวรัสขนาดเล็กกระจายไปไกลขึ้นและอยู่ในอากาศนานขึ้น<ref>Eccles Pg. 157</ref>
=== อื่น ๆ ===
[[ภูมิคุ้มกันหมู่]]ที่เกิดจากการติดไวรัสไข้หวัดก่อนหน้านี้ มีบทบาทสำคัญในการจำกัดการแพร่ของไวรัส โดยสังเกตจากประชากรที่อายุน้อยมีอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจสูงกว่าประชากรอายุมาก<ref name=E78/> ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานไม่ดียังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหวัด<ref name=E78/><ref>Eccles Pg.166</ref> การนอนหลับไม่เพียงพอและ[[ทุพโภชนาการ]]เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงการติดเชื้อหลังสัมผัสไรโนไวรัสที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากผลของมันต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน<ref>{{cite journal | author = Cohen S, Doyle WJ, Alper CM, Janicki-Deverts D, Turner RB | title = Sleep habits and susceptibility to the common cold | journal = Arch. Intern. Med. | volume = 169 | issue = 1 | pages = 62–7 | year = 2009 | month = January | pmid = 19139325 | pmc = 2629403 | doi = 10.1001/archinternmed.2008.505 }}</ref><ref>Eccles Pg.160–165</ref>
== พยาธิสรีรวิทยา ==
[[ไฟล์:Illu conducting passages.svg|thumb|โรคหวัดเป็นโรคของ[[ทางเดินหายใจส่วนบน]]]]
อาการของโรคหวัดเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันสนองต่อไวรัสเป็นหลัก<ref name=E112>Eccles Pg. 112</ref> กลไกการตอบสนองของภูมิคุ้มกันนี้จำเพาะต่อไวรัส ตัวอย่างเช่น ไรโนไวรัสติดต่อผ่านการสัมผัส ตัวเชื้อจะจับกับ ICAM-1 [[รีเซพเตอร์]]ของผู้ป่วย (ผ่านกลไกที่ยังไม่ทราบแน่ชัด) แล้วกระตุ้นการปลดปล่อย[[inflammatory mediators|สารตัวกลางการอักเสบ]] (inflammatory mediators) <ref name=E112/> จากนั้น สารตัวกลางการอักเสบเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการ<ref name=E112/> โดยตัวไวรัสมิได้ก่อความเสียหายแก่[[เยื่อบุ]]จมูกแต่อย่างใด<ref name=Eccles2005/> ตรงข้ามกับ[[Human respiratory syncytial virus|ไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล]] (RSV) ซึ่งติดต่อทั้งผ่านการสัมผัสโดยตรงและละอองจากอากาศ ไวรัสจะแบ่งตัวในจมูกและลำคอก่อนจะแพร่กระจายลงสู่[[ทางเดินหายใจส่วนล่าง]]<ref name=E116>Eccles Pg.116</ref> และทำให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อเซลล์เยื่อบุ<ref name=E116/> [[ไวรัสพาราอินฟลูเอนซา]]ส่งผลให้เกิดการอักเสบในจมูก ลำคอและ[[หลอดลม]]<ref name=E122>Eccles Pg.122</ref> หากเด็กเล็กติดเชื้อเกิด[[ท่อลม]] (trachea) อักเสบอาจทำให้เกิดอาการของโรค[[กล่องเสียงอักเสบอุดกั้น]] (croup) ได้ เพราะทางเดินหายใจมีขนาดเล็ก<ref name=E122/>
== การวินิจฉัย ==
การติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบนชนิดต่าง ๆ แยกได้คร่าว ๆ จากตำแหน่งของอาการ จมูกได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคหวัด ลำคอได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคคอหอยอักเสบ และปอดได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคหลอดลมอักเสบ<ref name=CE11/> กระนั้นบริเวณที่ได้รับผลกระทบอาจทับซ้อนกันอย่างมีนัยสำคัญและเกิดได้หลายบริเวณ<ref name=CE11/> บ่อยครั้ง โรคหวัดนิยามว่าเป็นจมูกอักเสบโดยมีปริมาณการอักเสบของลำคอต่าง ๆ กัน<ref name=E51>Eccles Pg. 51–52</ref> พบการวินิจฉัยด้วยตนเองประจำ<ref name=Eccles2005/> แต่แทบไม่เคยมีการแยกแยะตัวกระทำไวรัสที่เกี่ยวข้องแท้จริง<ref name=E51/> และโดยทั่วไปก็ไม่สามารถระบุประเภทของไวรัสจากอาการได้<ref name=Eccles2005/>
== การป้องกัน ==
มาตรการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสหวัดทางกายภาพดูเป็นมาตรการป้องกันโรคหวัดที่มีประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว<ref name=E209>Eccles Pg.209</ref> มาตรการเหล่านี้ รวมถึง[[การล้างมือ]]และสวมหน้ากากอนามัย ในสิ่งแวดล้อมสาธารณสุข มีการใช้เสื้อกาวน์และถุงมือใช้แล้วทิ้ง<ref name=E209/> ความพยายามอย่าง[[การกักกัน]] เป็นไปไม่ได้เพราะโรคนั้นแพร่ไปทั่วและอาการไม่จำเพาะ [[การให้วัคซีน]]นั้นยาก เพราะมีไวรัสหลายชนิดมาเกี่ยวข้องและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว<ref name=E209/> การสร้างวัคซีนที่ได้ผลอย่างกว้างขวางจึงยากจะเกิดขึ้น<ref>{{cite journal | author = Lawrence DM | title = Gene studies shed light on rhinovirus diversity | journal = Lancet Infect Dis | volume = 9 | issue = 5 | pages = 278| year = 2009 | month = May | pmid = | doi = 10.1016/S1473-3099 (09) 70123-9 }}</ref>
การล้างมือเป็นประจำดูมีประสิทธิภาพลดการส่งผ่านไวรัสหวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก<ref name=CochP11>{{cite journal | author = Jefferson T, Del Mar CB, Dooley L, Ferroni E, Al-Ansary LA, Bawazeer GA, van Driel ML, Nair S, Jones MA, Thorning S, Conly JM | title = Physical interventions to interrupt or reduce the spread of respiratory viruses | journal = Cochrane Database of Systematic Reviews | volume = | issue = 7 | pages = CD006207| year = 2011 | month = July | pmid = 21735402 | doi = 10.1002/14651858.CD006207.pub4 | editor1-last = Jefferson | editor1-first = Tom }}</ref> ส่วนการเพิ่ม[[ยาต้านไวรัส]]หรือ[[สารต้านแบคทีเรีย]]ในการล้างมือปกติจะช่วยให้ผลประโยชน์ในการป้องกันโรคเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นยังไม่ทราบกัน<ref name=CochP11/> การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่กับบุคคลที่ติดเชื้ออาจมีประโยชน์ กระนั้น มีหลักฐานไม่เพียงพอแก่การรักษา[[ระยะสังคม]]ที่มากขึ้น<ref name=CochP11/> การเสริมธาตุ[[สังกะสี]]อาจมีผลช่วยลดอัตราโรคหวัด<ref name=Zinc11>{{cite journal | author = Singh M, Das RR | title = Zinc for the common cold | journal = Cochrane Database of Systematic Reviews | volume = | issue = 2 | pages = CD001364| year = 2011 | month = February | pmid = 21328251 | doi = 10.1002/14651858.CD001364.pub3 | editor1-last = Singh | editor1-first = Meenu }}</ref> การเสริมวิตามินซีเป็นประจำไม่ลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงของโรคหวัด แต่อาจลดช่วงเวลาของโรค<ref name="Hemilä2010"/>
== การรักษา ==
ยังไม่มียาหรือสมุนไพรใด ๆ ที่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าสามารถลดระยะเวลาของการติดเชื้อได้<ref>{{cite web| title = Common Cold: Treatments and Drugs| publisher = Mayo Clinic| url = http://www.mayoclinic.com/health/common-cold/DS00056/DSECTION=treatments-and-drugs| accessdate = 9 January 2010}}</ref> ดังนั้นการรักษาจึงประกอบด้วยการบรรเทาอาการ<ref name=AFP07/> การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ และกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น เป็นวิธีรักษาแบบอนุรักษ์ที่สมเหตุสมผล<ref name="NIAID2006"/> อย่างไรก็ดี ประโยชน์ที่เห็นจากการรักษาเป็นผลมาจาก[[ยาหลอก|ปรากฏการณ์ยาหลอก]]เสียมาก<ref>Eccles Pg.261</ref>
=== ตามอาการ ===
การรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการ รวมถึง [[ยาระงับปวด]]และ[[ยาลดไข้]] อย่าง[[ไอบูโปรเฟน]]<ref>{{cite journal | author = Kim SY, Chang YJ, Cho HM, Hwang YW, Moon YS | title = Non-steroidal anti-inflammatory drugs for the common cold | journal = Cochrane Database Syst Rev | volume = | issue = 3 | pages = CD006362| year = 2009 | pmid = 19588387 | doi = 10.1002/14651858.CD006362.pub2 | editor1-last = Kim | editor1-first = Soo Young }}</ref>และ[[พาราเซตามอล|อะเซตามีโนเฟน/พาราเซตามอล]]<ref>{{cite journal | author = Eccles R | title = Efficacy and safety of over-the-counter analgesics in the treatment of common cold and flu | journal = Journal of Clinical Pharmacy and Therapeutics | volume = 31 | issue = 4 | pages = 309–319 | year = 2006 | pmid = 16882099 | doi = 10.1111/j.1365-2710.2006.00754.x }}</ref> หลักฐานมิได้แสดงว่า[[ยาแก้ไอ]]มีประสิทธิภาพมากกว่ายาลดไข้แต่อย่างใด<ref>{{cite journal | author = Smith SM, Schroeder K, Fahey T | title = Over-the-counter (OTC) medications for acute cough in children and adults in ambulatory settings | journal = Cochrane Database Syst Rev | volume = | issue = 1 | pages = CD001831| year = 2008 | pmid = 18253996 | doi = 10.1002/14651858.CD001831.pub3 | editor1-last = Smith | editor1-first = Susan M }}</ref> และไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กเพราะขาดหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพและอาจเกิดอันตรายได้<ref name=CFP09>{{cite journal | author = Shefrin AE, Goldman RD | title = Use of over-the-counter cough and cold medications in children | journal = Can Fam Physician | volume = 55 | issue = 11 | pages = 1081–3 | year = 2009 | month = November | pmid = 19910592 | pmc = 2776795 | doi = | url = http://www.cfp.ca/content/55/11/1081.full.pdf }}</ref><ref>{{cite journal | author = Vassilev ZP, Kabadi S, Villa R | title = Safety and efficacy of over-the-counter cough and cold medicines for use in children | journal = Expert opinion on drug safety | volume = 9 | issue = 2 | pages = 233–42 | year = 2010 | month = Mar | pmid = 20001764 | doi = 10.1517/14740330903496410 }}</ref> ในปี 2552 แคนาดาจำกัดการใช้ยาแก้ไอและหวัดโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ในเด็กอายุหกปีหรือต่ำกว่า เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์<ref name=CFP09/> ในผู้ใหญ่ มีหลักฐานสนับสนุนการใช้ยาแก้ไอไม่เพียงพอ<ref>{{cite journal|last=Smith|first=SM|coauthors=Schroeder, K; Fahey, T|title=Over-the-counter (OTC) medications for acute cough in children and adults in ambulatory settings.|journal=Cochrane database of systematic reviews (Online)|date=2012 Aug 15|volume=8|pages=CD001831|pmid=22895922}}</ref> การใช้[[เดกซ์โทรเมทอร์แฟน]] (ยาแก้ไอชนิดหนึ่งหาซื้อโดยตรงได้ทั่วไป) ในทางที่ผิด นำไปสู่การห้ามใช้ในหลายประเทศ<ref>Eccles Pg. 246</ref>
ในผู้ใหญ่ อาการน้ำมูกไหลสามารถลดได้จากสารต้านฮิสทามีนรุ่นแรก อย่างไรก็ดี สารเหล่านี้มีผลเสีย เช่น ความง่วง<ref name=AFP07/> [[ยาลดน้ำมูก]]อื่นอย่าง[[ซูโดอีเฟดรีน]] ยังมีประสิทธิภาพในประชากรนี้ด้วย<ref>{{cite journal | author = Taverner D, Latte GJ | title = Nasal decongestants for the common cold | journal = Cochrane Database Syst Rev | volume = | issue = 1 | pages = CD001953| year = 2007 | pmid = 17253470 | doi = 10.1002/14651858.CD001953.pub3 | editor1-last = Latte | editor1-first = G. Jenny }}</ref> ยาพ่นจมูก[[ไอพราโทรเปียม]]อาจลดอาการน้ำมูกไหล แต่มีผลเล็กน้อยกับการคัดจมูก<ref>{{cite journal | author = Albalawi ZH, Othman SS, Alfaleh K | title = Intranasal ipratropium bromide for the common cold | journal = Cochrane Database of Systematic Reviews | volume = | issue = 7 | pages = CD008231| year = 2011 | month = July | pmid = 21735425 | doi = 10.1002/14651858.CD008231.pub2 | editor1-last = Albalawi | editor1-first = Zaina H }}</ref> ส่วนสารต้านฮิสทามีนรุ่นที่สองนั้นไม่ปรากฏว่ามีประสิทธิภาพ<ref>{{cite journal | author = Pratter MR | title = Cough and the common cold: ACCP evidence-based clinical practice guidelines | journal = Chest | volume = 129 | issue = 1 Suppl | pages = 72S–74S | year = 2006 | month = Jan | pmid = 16428695 | doi = 10.1378/chest.129.1_suppl.72S }}</ref>
เส้น 30 ⟶ 65:
=== การรักษาทางเลือก ===
แม้จะมีการรักษาทางเลือกหลายอย่างที่ใช้กับโรคหวัด แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนการใช้การรักษาทางเลือกส่วนมากเพียงพอ<ref name=AFP07/> จนถึงปี 2553 มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะแนะนำให้หรือไม่ให้ใช้[[น้ำผึ้ง]]หรือ[[การล้างจมูก]]<ref>{{cite journal | author = Oduwole O, Meremikwu MM, Oyo-Ita A, Udoh EE | title = Honey for acute cough in children | journal = Cochrane Database of Systematic Reviews | volume = | issue = 1 | pages = CD007094| year = 2010 | month = January | pmid = 20091616 | doi = 10.1002/14651858.CD007094.pub2 | editor1-last = Oduwole | editor1-first = Olabisi }}</ref><ref>{{cite journal | author = Kassel JC, King D, Spurling GK | title = Saline nasal irrigation for acute upper respiratory tract infections | journal = Cochrane Database of Systematic Reviews | volume = | issue = 3 | pages = CD006821| year = 2010 | month = March | pmid = 20238351 | doi = 10.1002/14651858.CD006821.pub2 | editor1-last = King | editor1-first = David }}</ref> มีการศึกษาเสนอว่า หากให้สังกะสีภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ จะสามารถลดช่วงเวลาและความรุนแรงของโรคหวัดในผู้มีสุขภาพดี<ref name=
== การพยากรณ์โรค ==
เส้น 36 ⟶ 71:
== วิทยาการระบาด ==
โรคหวัดเป็น[[โรค]]ของมนุษย์ที่พบมากที่สุด<ref name=E1>Eccles Pg. 1</ref> และทุกคนบนโลกล้วนได้รับผลกระทบ<ref name=
== ประวัติศาสตร์ ==
เส้น 45 ⟶ 80:
== ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ==
[[ไฟล์:The Cost Of The Common Cold & Influenza.jpg|thumb|ใบปิดประกาศของอังกฤษสมัย[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]อธิบายราคาของโรคหวัด<ref>{{cite web |title=The Cost of the Common Cold and Influenza |work=Imperial War Museum: Posters of Conflict |publisher=vads|url=http://vads.bath.ac.uk/flarge.php?uid=33443&sos=0}}</ref>]]
ยังไม่เป็นที่เข้าใจดีในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของโรคหวัด<ref name="EcclesPg_a" /> ในสหรัฐอเมริกา โรคหวัดทำให้มีการพบแพทย์ 75–100 ล้านครั้งต่อปี โดยประเมินราคาเบื้องต้น 7,700 ล้าน[[ดอลล่าร์สหรัฐ]]ต่อปี ชาวอเมริกันใช้เงิน 2,900 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปกับยาที่ไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์และอีก 400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปกับยาตามใบสั่งเพื่อบรรเทาอาการ<ref name=Frend03>{{cite journal | author = Fendrick AM, Monto AS, Nightengale B, Sarnes M | title = The economic burden of non-influenza-related viral respiratory tract infection in the United States | journal = Arch. Intern. Med. | volume = 163 | issue = 4 | pages = 487–94 | year = 2003 | pmid = 12588210 | doi = 10.1001/archinte.163.4.487 }}</ref> กว่าหนึ่งในสามของผู้ที่มาพบแพทย์ได้รับใบสั่งยาปฏิชีวนะ ซึ่งส่อว่าอาจมีการดื้อยาปฏิชีวนะเกิดขึ้นได้<ref name=Frend03/> มีการประเมินว่ามีการขาดเรียน 22–189 ล้านวันทุกปีเนื่องจากโรคหวัด ผลคือ ผู้ปกครองเสียวันทำงาน 126 ล้านวันเพื่ออยู่บ้านดูแลบุตรของตน เมื่อรวมกับวันทำงานอีก 150 ล้านวันที่ลูกจ้างป่วยเป็นโรคหวัด ผลกระทบความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมของงานที่เกี่ยวข้องกับโรคหวัดเกิน 20,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี<ref name="NIAID2006"
== การวิจัย ==
|