ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฮิโรโอะ โอโนดะ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
Setawut ย้ายหน้า ฮิโร โอะโนะดะ ไปยัง ฮิโร โอโนดะ
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
แทนที่ "โอะโนะดะ" → "โอโนดะ" +แทนที่ "วะกะยะมะ" → "วากายามะ" ด้วยสจห.
บรรทัด 1:
{{ใช้คศ|240307px}}
{{Infobox military person
|name= ฮิโร โอะโนะดะโอโนดะ
|image= [[ไฟล์:Onoda-young.jpg|200px]]
|caption= ฮิโร โอะโนะดะโอโนดะ (ในระหว่างปี 1944-1945)
|nickname=
|birth_date= {{วันเกิด|1922|3|19}}
|placeofbirth= [[Kainan|คะเมะกะวะ]], [[จังหวัดวะกะยะมะ|วะกะยะมะวากายามะ]], [[จักรวรรดิญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น]]
|death_date= {{dda|2014|1|16|1922|3|19}}
|placeofdeath= [[โตเกียว]], [[ประเทศญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น]]
|allegiance= {{flagcountry|Empire of Japan}}
|allegiance= [[จักรวรรดิญี่ปุ่น]]
|branch= {{flagicon image|War flag of the Imperial Japanese Army.svg}} [[กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น]]
|serviceyears= ค.ศ. 1941-1974
|rank= [[ร้อยตรี]]
|unit=
|commands=
|battles=• [[สงครามโลกครั้งที่ 2]]<br>• [[Philippines Campaign (1944–45)|การณรงค์ปฏิบัติการที่ฟิลิปปินส์ (ค.ศ. 1944-1945)]]
|awards=
|relations=
บรรทัด 21:
}}
 
ร้อยตรี '''ฮิโร โอะโนะดะโอโนดะ''' ({{ญี่ปุ่น|小野田 寛郎|Onoda Hirō}}) ([[19 มีนาคม]] 1922 - [[16 มกราคม]] 2014 ) เป็นอดีตนายทหารแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นผู้ร่วมรบใน[[สงครามโลกครั้งที่ 2สอง]] และหลบซ่อนตัวอยู่ใน[[ประเทศฟิลิปปินส์]]เป็นเวลากว่าสามสิบปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2สอง ยุติลงแล้ว เพราะไม่เชื่อว่าสงครามสิ้นสุดลง เขายอมมอบตัวในปี 1974<ref name = "O75">Onoda, p. 75</ref>
 
== การทหาร ==
โอะโนะโอโนดะได้รับการฝึกให้เป็นนายทหารข่าวกรองในชั้นเรียน[[commando|ปฏิบัติการพิเศษ]] เรียก "ฟุตะมะฟูตามาตะ" ({{ญี่ปุ่น|二俣分校|futamata-bunkō}}) ที่[[โรงเรียนนะกะนางาโนะ]] ครั้นวันที่ 26 ธันวาคม 1944 กองทัพส่งเขาไปยัง[[Lubang Island|เกาะลูบัง]] ประเทศฟิลิปปินส์ โดยสั่งให้เขากระทำทุกวิถีทางเพื่อหน่วงมิให้ฝ่ายปัจจามิตรโจมตีเกาะนี้ รวมถึง ทำลายลานบินและท่าเรือ เขายังได้รับคำสั่งว่า ไม่ว่าในกรณีใด ห้ามมอบตัว และห้าม[[อัตวินิบาตกรรม|อัตวินิบาตกรรม]]
 
เมื่อโอะโนะโอโนดะถึงเกาะดังกล่าว เขาเข้าร่วมกับเหล่าทหารญี่ปุ่นที่ได้รับการส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว ทหารกลุ่มนี้มียศสูงกว่าโอะโนะดะโอโนดะ และไม่ยอมให้เขาปฏิบัติหน้าที่ กองทัพประสมสหรัฐอเมริกาและเครือจักรภพฟิลิปปินส์จึงเข้ายึดเกาะได้โดยง่ายดายเมื่อเข้าสู่เกาะในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1945 ทหารญี่ปุ่นคนอื่น ๆ นอกจากโอะนะดะไม่ตายก็ยอมมอบตัว ส่วนโอะโนะโอโนดะนั้นหนีไปยังภูเขาลูกหนึ่งพร้อมด้วยเพื่อนทหารอีกสามคน ประกอบด้วย พลทหาร[[ยูอิชิอิจิ อะกะสึอากัตสึ]] (Yūichi Akatsu), สิบโทโชอิชิ ชิมะมาดะ (Shōichi Shimada) และพลทหารชั้นเอกคินชิชิ โคะซุกะโคซูกะ (Kinshichi Kozuka)
โอะโนะดะได้รับการฝึกให้เป็นนายทหารข่าวกรองในชั้นเรียน[[commando|ปฏิบัติการพิเศษ]] เรียก "ฟุตะมะตะ" ({{ญี่ปุ่น|二俣分校|futamata-bunkō}}) ที่[[โรงเรียนนะกะโนะ]] ครั้นวันที่ 26 ธันวาคม 1944 กองทัพส่งเขาไปยัง[[Lubang Island|เกาะลูบัง]] ประเทศฟิลิปปินส์ โดยสั่งให้เขากระทำทุกวิถีทางเพื่อหน่วงมิให้ฝ่ายปัจจามิตรโจมตีเกาะนี้ รวมถึง ทำลายลานบินและท่าเรือ เขายังได้รับคำสั่งว่า ไม่ว่าในกรณีใด ห้ามมอบตัว และห้าม[[อัตวินิบาตกรรม|อัตวินิบาตกรรม]]
 
เมื่อโอะโนะดะถึงเกาะดังกล่าว เขาเข้าร่วมกับเหล่าทหารญี่ปุ่นที่ได้รับการส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว ทหารกลุ่มนี้มียศสูงกว่าโอะโนะดะ และไม่ยอมให้เขาปฏิบัติหน้าที่ กองทัพประสมสหรัฐอเมริกาและเครือจักรภพฟิลิปปินส์จึงเข้ายึดเกาะได้โดยง่ายดายเมื่อเข้าสู่เกาะในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1945 ทหารญี่ปุ่นคนอื่น ๆ นอกจากโอะนะดะไม่ตายก็ยอมมอบตัว ส่วนโอะโนะดะนั้นหนีไปยังภูเขาลูกหนึ่งพร้อมด้วยเพื่อนทหารอีกสามคน ประกอบด้วย พลทหาร[[ยูอิชิ อะกะสึ]] (Yūichi Akatsu), สิบโทโชอิชิ ชิมะดะ (Shōichi Shimada) และพลทหารชั้นเอกคินชิชิ โคะซุกะ (Kinshichi Kozuka)
 
== การซ่อนตัว ==
ณ ภูเขาเช่นว่า โอะโนะโอโนดะและเพื่อนยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่รับมาต่อไป ทหารทั้งสี่คนนี้ได้พบใบปลิวมีเนื้อความว่า "สงครามยุติจบแล้ว" ("The war was over.") ในเดือนตุลาคม 1945 อีกครั้งหนึ่ง พวกเขาพบใบปลิวซึ่งทิ้งไว้โดยชาวเกาะ มีเนื้อความว่า "สงครามจบไปตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคมแล้ว ลงมาจากเขาเสีย!" ("The war ended on August 15. Come down from the mountains!") ทว่า พวกเขาเห็นว่าใบปลิวเหล่านี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะพวกเขาถูกไล่ยิงเมื่อสองสามวันก่อน<ref name = "O75"/>
 
หลังจากหลบซ่อนตัวอยู่บนภูเขาลูกนั้นกว่าหนึ่งปี พลเอก[[โทะโมะยุกิโทโมยูกิ ยะมะยามาชิตะ]] (Tomoyuki Yamashita) แห่ง[[กองทัพญี่ปุ่นประจำภูมิภาคภาคที่สิบสี่]] 14 สั่งให้โปรยใบปลิวพร้อมคำสั่งให้พวกเขามอบตัวเสียอีกครั้งหนึ่ง ทหารทั้งสี่ได้รับใบปลิวและเชื่อกันว่าเป็นเรื่องเท็จ
ณ ภูเขาเช่นว่า โอะโนะดะและเพื่อนยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่รับมาต่อไป ทหารทั้งสี่คนนี้ได้พบใบปลิวมีเนื้อความว่า "สงครามยุติแล้ว" ("The war was over.") ในเดือนตุลาคม 1945 อีกครั้งหนึ่ง พวกเขาพบใบปลิวซึ่งทิ้งไว้โดยชาวเกาะ มีเนื้อความว่า "สงครามจบไปตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคมแล้ว ลงมาจากเขาเสีย!" ("The war ended on August 15. Come down from the mountains!") ทว่า พวกเขาเห็นว่าใบปลิวเหล่านี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะพวกเขาถูกไล่ยิงเมื่อสองสามวันก่อน<ref name = "O75"/>
 
ในเดือนกันยายน 1949 พลทหารอะกะสึอากัตสึ ตัดสินใจละกลุ่ม หกเดือนถัดมา เขามอบตัวเองแก่กองทัพฟิลิปปินส์ ทหารสามคนที่เหลือเห็นว่าการกระทำของพลทหารอะกะสึนำปัญหาทางความมั่นคงมาให้แก่กลุ่ม และจัดการระแวดระวังมากขึ้น
หลังจากหลบซ่อนตัวอยู่บนภูเขาลูกนั้นกว่าหนึ่งปี พลเอก[[โทะโมะยุกิ ยะมะชิตะ]] (Tomoyuki Yamashita) แห่ง[[กองทัพญี่ปุ่นประจำภูมิภาคที่สิบสี่]] สั่งให้โปรยใบปลิวพร้อมคำสั่งให้พวกเขามอบตัวเสียอีกครั้งหนึ่ง ทหารทั้งสี่ได้รับใบปลิวและเชื่อกันว่าเป็นเรื่องเท็จ
 
ในปี 1952 มีการโปรยจดหมายและรูปถ่ายจากครอบครัวของทหารทั้งสามลงมารอบบริเวณภูเขาเพื่อขอให้มอบตัว ทว่า ทหารทั้งสามยังคงเชื่อว่า สงครามยุติแล้วนั้นเป็นเรื่องเท็จ ในเดือนมิถุนายน 1953 สิบโทชิมะดะถูกคนหาปลาท้องถิ่นยิงขา แต่โอะโนะโอโนดะช่วยพยาบาลจนหาย ครั้นวันที่ 7 พฤษภาคม 1954 สิบโทชิมะมาดะถูกคณะค้นหาคนหายยิงตาย ในเดือนธันวาคม 1959 มีประกาศว่าโอะโนะโอโนดะตายแล้ว ทว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 ตุลาคม 1972 ซึ่งพลทหารโคะซุโคซูกะถูกเจ้าพนักงานตำรวจท้องถิ่นยิงตาย ขณะที่เขาและโอะโนะโอโนดะปฏิบัติการตามคำสั่งที่ได้รับมอบมาด้วยการเผายุ้งฉาง เป็นหลักฐานว่าโอะโนะโอโนดะยังไม่ตาย จึงมีการตั้งคณะค้นหาเขา แต่ไม่พบ
ในเดือนกันยายน 1949 พลทหารอะกะสึ ตัดสินใจละกลุ่ม หกเดือนถัดมา เขามอบตัวเองแก่กองทัพฟิลิปปินส์ ทหารสามคนที่เหลือเห็นว่าการกระทำของพลทหารอะกะสึนำปัญหาทางความมั่นคงมาให้แก่กลุ่ม และจัดการระแวดระวังมากขึ้น
 
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1974 โอะโนะดะพบโอโนดะพบ โนะริโอะโนริโอะ ซุซุกิ (Norio Suzuki) ซึ่งกำลังเดินทางรอบโลกเพื่อสืบหา "ร้อยโทโอะโนะดะโอโนดะ, หมีแพนด้า และปิศาจมนุษย์หิมะ ตามลำดับ" ("Lieutenant Onoda, a panda, and the Abominable Snowman, in that order")<ref>{{cite web |title=2nd Lt. Hiroo Onoda |url=http://www.wanpela.com/holdouts/profiles/onoda.html |accessdate=2010-04-03}}</ref> ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน ทว่า โอะโนะโอโนดะยังปฏิเสธที่จะมอบตัว เขากล่าวว่า เขายังรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาอยู่
ในปี 1952 มีการโปรยจดหมายและรูปถ่ายจากครอบครัวของทหารทั้งสามลงมารอบบริเวณภูเขาเพื่อขอให้มอบตัว ทว่า ทหารทั้งสามยังคงเชื่อว่า สงครามยุติแล้วนั้นเป็นเรื่องเท็จ ในเดือนมิถุนายน 1953 สิบโทชิมะดะถูกคนหาปลาท้องถิ่นยิงขา แต่โอะโนะดะช่วยพยาบาลจนหาย ครั้นวันที่ 7 พฤษภาคม 1954 สิบโทชิมะดะถูกคณะค้นหาคนหายยิงตาย ในเดือนธันวาคม 1959 มีประกาศว่าโอะโนะดะตายแล้ว ทว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 ตุลาคม 1972 ซึ่งพลทหารโคะซุกะถูกเจ้าพนักงานตำรวจท้องถิ่นยิงตาย ขณะที่เขาและโอะโนะดะปฏิบัติการตามคำสั่งที่ได้รับมอบมาด้วยการเผายุ้งฉาง เป็นหลักฐานว่าโอะโนะดะยังไม่ตาย จึงมีการตั้งคณะค้นหาเขา แต่ไม่พบ
 
ซุซุกิจึงกลับญี่ปุ่นพร้อมภาพถ่ายเขาคู่กับโอะโนะโอโนดะเพื่อยืนยันว่าได้พบกัน รัฐบาลญี่ปุ่นจึงส่งพันตรีทะทานิงุชิ (Taniguchi)งูชิ ผู้บังคับบัญชาของโอะโนะดะโอโนดะ ลงพื้นที่ พันตรีทะทานิงุงูชิถึงเกาะลูบัง และพบโอะโนะโอโนดะในวันที่ 9 มีนาคม 1974 เขาแจ้งเรื่องการพ่ายสงครามของญี่ปุ่นให้โอะโนะดะทราบโอโนดะทราบ และสั่งให้โอะโนะโอโนดะวางอาวุธเสีย
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1974 โอะโนะดะพบ โนะริโอะ ซุซุกิ (Norio Suzuki) ซึ่งกำลังเดินทางรอบโลกเพื่อสืบหา "ร้อยโทโอะโนะดะ, หมีแพนด้า และปิศาจมนุษย์หิมะ ตามลำดับ" ("Lieutenant Onoda, a panda, and the Abominable Snowman, in that order")<ref>{{cite web |title=2nd Lt. Hiroo Onoda |url=http://www.wanpela.com/holdouts/profiles/onoda.html |accessdate=2010-04-03}}</ref> ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน ทว่า โอะโนะดะยังปฏิเสธที่จะมอบตัว เขากล่าวว่า เขายังรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาอยู่
 
หลังจากหลบซ่อนตัวในป่ามาเกือบสามสิบปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โอะโนะโอโนดะได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ให้มอบตัว เขาได้แต่งเครื่องแบบ พร้อมดาบคู่กาย กับทั้งปืน[[อริซะกะ]][[Type 99 rifle|ไรเฟิลชนิด 99]] ซึ่งยังใช้การได้ดี บรรจุกระสุนห้าร้อยนัดและ[[ระเบิดมือ]]อีกจำนวนหนึ่ง ลงจากภูเขา
ซุซุกิจึงกลับญี่ปุ่นพร้อมภาพถ่ายเขาคู่กับโอะโนะดะเพื่อยืนยันว่าได้พบกัน รัฐบาลญี่ปุ่นจึงส่งพันตรีทะนิงุชิ (Taniguchi) ผู้บังคับบัญชาของโอะโนะดะ ลงพื้นที่ พันตรีทะนิงุชิถึงเกาะลูบัง และพบโอะโนะดะในวันที่ 9 มีนาคม 1974 เขาแจ้งเรื่องการพ่ายสงครามของญี่ปุ่นให้โอะโนะดะทราบ และสั่งให้โอะโนะดะวางอาวุธเสีย
 
หลังจากหลบซ่อนตัวในป่ามาเกือบสามสิบปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โอะโนะดะได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ให้มอบตัว เขาได้แต่งเครื่องแบบ พร้อมดาบคู่กาย กับทั้งปืน[[อริซะกะ]][[Type 99 rifle|ไรเฟิลชนิด 99]] ซึ่งยังใช้การได้ดี บรรจุกระสุนห้าร้อยนัดและ[[ระเบิดมือ]]อีกจำนวนหนึ่ง ลงจากภูเขา
 
แม้ในระหว่างอยู่บนเกาะ เขาได้ฆ่าราษฎรฟิลิปปินส์ไปสามสิบคน และประมือกับตำรวจท้องถิ่นอีกหลายครั้ง แต่เมื่อพิเคราะห์แล้ว ประธานาธิบดี[[เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส]] (Ferdinand Marcos) อภัยโทษให้เขา
 
== ชีวิตต่อมา ==
หลังจากกลับญี่ปุ่นแล้ว โอะโนะโอโนดะได้รับความนิยมเป็นอันมาก ถึงขนาดที่ชาวญี่ปุ่นบางคนอยากให้เขาเป็นสมาชิก[[รัฐสภาสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ญี่ปุ่น)|รัฐสภา]] เขาได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ "โนเซอร์เรนเดอร์:ไม่เคยยอมแพ้ มายเธอร์ที-เยียร์วอร์สงครามสามสิบปีของข้าพเจ้า" ("No Surrender: My Thirty-Year War", ''ไม่ยอมมอบตัว: สงครามสามสิบปีของผม'') บรรยายชีวิตของเขาในช่วงที่ปฏิบัติหน้าที่กองโจรตามคำสั่งของกองทัพญี่ปุ่นแม้ว่าสงครามจะยุติไปนมนานแล้วก็ตาม หนังสือดังกล่าวยังระบุว่า โอะโนะโอโนดะเองไม่ชอบใจนักที่ตนเองเป็นจุดสนใจ และไม่ชอบใจวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่เขามองว่าลดคุณค่าประเพณีญี่ปุ่น หนังสือเช่นว่าได้รับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ชื่อว่า "สู้สุดขีด" และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1980 (พ.ศ. 2523)<ref>{{cite web | title = สู้สุดขีด | publisher = Toulo.com | url= http://www.toulo.com/product/ProductDetail.asp?ProductID=16062&CategoryID=3010 | accessdate=30 พฤษภาคม 2011}}</ref>
 
ในเดือนเมษายน 1975 เขาละญี่ปุ่นไปใช้ชีวิตเป็นชาวไร่ในบราซิล เขาแต่งงานกับสตรีญี่ปุ่นชื่อ มะมาชิเอะ (Machie) ในปีถัดมา ครั้นปี 1980 หลังจากได้อ่านข่าวเรื่องวัยรุ่นญี่ปุ่นที่ฆ่าบิดามารดาตนเอง เขาตัดสินใจกลับประเทศแม่ในอีกสี่ปีถัดมา แล้วจัดค่ายทางการศึกษาสำหรับเยาวชน เรียก "โรงเรียนธรรมชาติของโอะโนะดะโอโนดะ" (Onoda Shizen Juku) ต่อมา เขาได้เป็นผู้นำชุมชนด้วย<ref>{{cite book | last = Mercado | first = Stephen C. | authorlink = | coauthors = | title = The Shadow Warriors of Nakano | publisher = Brassey's | date = 2003 | location = | pages = 246–247 | url = | doi = | id = | isbn = 1574885383}}</ref>
หลังจากกลับญี่ปุ่นแล้ว โอะโนะดะได้รับความนิยมเป็นอันมาก ถึงขนาดที่ชาวญี่ปุ่นบางคนอยากให้เขาเป็นสมาชิก[[รัฐสภาแห่งญี่ปุ่น|รัฐสภา]] เขาได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติชื่อ "โนเซอร์เรนเดอร์: มายเธอร์ที-เยียร์วอร์" ("No Surrender: My Thirty-Year War", ''ไม่ยอมมอบตัว: สงครามสามสิบปีของผม'') บรรยายชีวิตของเขาในช่วงที่ปฏิบัติหน้าที่กองโจรตามคำสั่งของกองทัพญี่ปุ่นแม้ว่าสงครามจะยุติไปนมนานแล้วก็ตาม หนังสือดังกล่าวยังระบุว่า โอะโนะดะเองไม่ชอบใจนักที่ตนเองเป็นจุดสนใจ และไม่ชอบใจวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่เขามองว่าลดคุณค่าประเพณีญี่ปุ่น หนังสือเช่นว่าได้รับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ชื่อว่า "สู้สุดขีด" และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1980 (พ.ศ. 2523)<ref>{{cite web | title = สู้สุดขีด | publisher = Toulo.com | url= http://www.toulo.com/product/ProductDetail.asp?ProductID=16062&CategoryID=3010 | accessdate=30 พฤษภาคม 2011}}</ref>
 
ในปี 1996 โอะโนะโอโนดะเยือนเกาะลูบังอีกครั้ง เขาอุทิศเงินหนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐให้แก่โรงเรียนท้องถิ่น ในปี 2006 มะชิเอะ โอะโนะดะโอโนดะ ภริยาของเขา ได้เป็นนายิกา[[สมาคมสตรีญี่ปุ่น]]<ref>{{cite web | last = | first = | authorlink = | coauthors = | title = Wife of 'No Surrender' soldier becomes president of conservative women’s group | work = | publisher = Japan Probe | date = 29 November 2006 | url = http://www.japanprobe.com/?p=734 | format = | doi = | accessdate = }}</ref>
ในเดือนเมษายน 1975 เขาละญี่ปุ่นไปใช้ชีวิตเป็นชาวไร่ในบราซิล เขาแต่งงานกับสตรีญี่ปุ่นชื่อ มะชิเอะ (Machie) ในปีถัดมา ครั้นปี 1980 หลังจากได้อ่านข่าวเรื่องวัยรุ่นญี่ปุ่นที่ฆ่าบิดามารดาตนเอง เขาตัดสินใจกลับประเทศแม่ในอีกสี่ปีถัดมา แล้วจัดค่ายทางการศึกษาสำหรับเยาวชน เรียก "โรงเรียนธรรมชาติของโอะโนะดะ" (Onoda Shizen Juku) ต่อมา เขาได้เป็นผู้นำชุมชนด้วย<ref>{{cite book | last = Mercado | first = Stephen C. | authorlink = | coauthors = | title = The Shadow Warriors of Nakano | publisher = Brassey's | date = 2003 | location = | pages = 246–247 | url = | doi = | id = | isbn = 1574885383}}</ref>
 
แต่ละปี เขาจะเดินทางกลับไปใช้ชีวิตสามเดือนในบราซิล เขายังได้รับเหรียญกล้าหาญ "ซันโตสซาตูส-ดูมอนต์มง" (Santos-Dumont) จากกองทัพอากาศบราซิลเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 ด้วย<ref>{{cite web | last = | first = | authorlink = | coauthors = | title = Combatente da II Guerra ganha medalha da FAB | work = | publisher = Brazilian Air Force
ในปี 1996 โอะโนะดะเยือนเกาะลูบังอีกครั้ง เขาอุทิศเงินหนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐให้แก่โรงเรียนท้องถิ่น ในปี 2006 มะชิเอะ โอะโนะดะ ภริยาของเขา ได้เป็นนายิกา[[สมาคมสตรีญี่ปุ่น]]<ref>{{cite web | last = | first = | authorlink = | coauthors = | title = Wife of 'No Surrender' soldier becomes president of conservative women’s group | work = | publisher = Japan Probe | date = 29 November 2006 | url = http://www.japanprobe.com/?p=734 | format = | doi = | accessdate = }}</ref>
 
แต่ละปี เขาจะเดินทางกลับไปใช้ชีวิตสามเดือนในบราซิล เขายังได้รับเหรียญกล้าหาญ "ซันโตส-ดูมอนต์" (Santos-Dumont) จากกองทัพอากาศบราซิลเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 ด้วย<ref>{{cite web | last = | first = | authorlink = | coauthors = | title = Combatente da II Guerra ganha medalha da FAB | work = | publisher = Brazilian Air Force
Centro de Comunicação Social da Aeronáutica Center for Social Communication of the Air | date =December 8, 2004 | url = http://www.fab.mil.br/Publicacao/Imprensa/Noticias/0812_onoda.htm | format = | doi = | accessdate = May 7, 2009 |archiveurl = http://web.archive.org/web/20050311201646/http://www.fab.mil.br/Publicacao/Imprensa/Noticias/0812_onoda.htm |archivedate = March 11, 2005}}</ref>
<!--
== ในวัฒนธรรมร่วมสมัย ==
ในปี 1981 [[Camel (band)|คาเมล]] (Camel) วงร็อกอังกฤษ ออกอัลบัมชื่อ "[[Nude (Camel album)|นูด]]" (Nude) อ้างอิงจากชีวิตของโอะโนะดะโอโนดะ
 
ในปี 1981 [[Camel (band)|คาเมล]] (Camel) วงร็อกอังกฤษ ออกอัลบัมชื่อ "[[Nude (Camel album)|นูด]]" (Nude) อ้างอิงจากชีวิตของโอะโนะดะ
 
The concept of holdout Japanese soldiers, living in remote areas and unaware of the end of the war, became the subject of a number of TV series episodes in the 1970s, most notable "The Last Kamikaze", an episode of ''[[The Six Million Dollar Man]]'', which was broadcast in January 1975, several months after the return of Onoda.
เส้น 69 ⟶ 65:
-->
 
ฮิโร โอะโนะดะโอโนดะ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557 ที่กรุงโตเกียว ด้วยโรคปอดบวม<ref>[http://www.thairath.co.th/content/oversea/397170 ไทยรัฐออนไลน์]สิ้น 'โอโนดะ' ทหารคนดังของญี่ปุ่นในวัย 91 ปี </ref>
 
==เชิงอรรถ ==
เส้น 91 ⟶ 87:
{{Birth|1922}}{{death|2014}}
[[หมวดหมู่:ทหารชาวญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง]]
[[หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดวะกะยะมะวากายามะ]]
[[หมวดหมู่:ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวญี่ปุ่น]]