ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มัคส์ แอ็นสท์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
OctraBot (คุย | ส่วนร่วม)
แทนที่ ‘(?mi)\{\{Link FA\|.+?\}\}\n?’ ด้วย ‘’: เลิกใช้ เปลี่ยนไปใช้วิกิสนเทศ
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{ใช้ปีคศ}}
{{กล่องข้อมูล ชีวประวัติ 2
| name = มักซ์มัคส์ แอนสท์แอ็นสท์<br/>Max Ernst
| image = Max Ernst.jpg
| alt =
| caption = แอนสท์แอ็นสท์กับภรรยาคนสุดท้าย โดโรเธีย แทนนิง<br>เมื่อปี ค.ศ. 1948
| birth_date = {{birth date|1891|4|2|df=y}}
| birth_place = บรือล์ [[จักรวรรดิเยอรมนี]]
เส้น 15 ⟶ 14:
}}
 
'''มักซ์มัคส์ แอนสท์แอ็นสท์''' ({{lang-de|Max Ernst}}; [[2 เมษายน]] [[ค.ศ. 1891]] – [[1 เมษายน]] [[ค.ศ. 1976]]) เป็น[[ศิลปิน]][[ชาวเยอรมัน]] เป็นผู้บุกเบิกงานด้าน[[ลัทธิเหนือจริง]]และ[[ดาดา]]
 
== ประวัติ ==
พ่อของมักซ์มัคส์ แอนสท์แอ็นสท์ ชื่อฟีลิพส์ แอนสท์แอ็นสท์ (Philips Ernst) ได้ปลูกฝังให้เขามีใจรักศิลปะ แอนสท์แอ็นสท์ ได้เข้าศึกษาชั้นสูงสุดที่มหาวิทยาลัยบอนน์ สาขาวิชาปรัชญา เขามีความสนใจในวิชาปรัชญาของกวีนอกรีต ทำให้ในช่วงวัยหนุ่มเขาค่อนข้างสับสน จนเกือบบั้นปลายชีวิตที่เขาหันมาทำศิลปะอย่างจริงจัง แอนสท์แอ็นสท์ค้นพบความจริงเกี่ยวกับกระบวนการสร้างงานอย่างไร้ขอบเขต จากการสร้างงานด้วยเทคนิคอัตโนมัต ในปี ค.ศ. 1925 ซึ่งเป็นกระบวนการที่แสดงออกของจิตไร้สำนึก จากเทคนิคการทำภาพพิมพ์ถู (Frottage) ผสมกับการระบายสี ปี ค.ศ. 1919 แอนสท์แอ็นสท์ได้เข้ารวมกลุ่มกับพวกจิตรกรและกวีดาดา จนกลายเป็นคนสำคัญระดับผู้นำของกลุ่มด้วยการเสนอแนวความคิด การต่อต้านขั้นพื้นฐานทางสายตาสัมผัส และสร้างผลงานภาพปะติดจนเป็นที่ยอมรับ ปี ค.ศ. 1921 หลังจากกลุ่มดาดาสลายตัวไป แอนสท์แอ็นสท์ได้ตั้งกลุ่มกับศิลปินคนอื่นๆ ด้วยการก่อตั้งกลุ่ม [[เซอร์เรียลลิซึม]](surrealism)เพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริง การนำเรื่องจิตวิเคราะห์ของ [[ฟรอยด์]](Sigmund Freud)มานำเป็นแนวทางในการแสวงหาการทำงานด้านศิลปะจนค้นพบเทคนิคฟรอททาจ (ในปี ค.ศ. 1925) และได้พัฒนามาเป็นลักษณะเฉพาะตัว ปี ค.ศ. 1939 เกิดสงครามโลก แอนสท์แอ็นสท์ถูกจับเป็นเชลยในฐานะที่เป็นชาวเยอรมันซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฝรั่งเศส ความยากลำบากไม่ได้ทำให้เขาละทิ้งงานเขียนภาพ เขาได้วาดภาพชุด The Robbing of Bride ในปี ค.ศ. 1939-1940 เป็นภาพจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ การที่แอนสท์แอ็นสท์ได้เข้ามาเป็นสามาชิกของกลุ่ม[[ดาดา]] ซึ่งต่อมาเป็นกลุ่มเซอร์เรียลิสม์นั้นเขาได้นำเอาความคิดแนวทางการลดทอนอย่างง่ายๆ มาใช้ นำมาซึ่งชิ้นส่วนแบบเขาวงกต มันเหมือนกับการสร้างสรรค์ละครที่ต้องอดทนทุกฉากทุกตอน เป็นแบบความฝันที่มหัศจรรย์ เป็นการค้นพบสิ่งที่แปลกใหม่ รวมทั้ง แอนสท์แอ็นสท์ได้เสนอคำศัพท์ที่เกี่ยวกับเทคนิควิธีการสร้างงานของเขาอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นผลงานด้านกวีนิพนธ์หรือผลงานศิลปะ สำหรับแอนสท์แล้วแอ็นสท์แล้ว กวีและงานศิลปะเขาถือว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แอนสท์แอ็นสท์เปรียบเทียบการค้นคว้าทางด้านวรรณกรรมกับงานใต้น้ำของนักประดาน้ำ “คำว่ามหาสมุทร ฟังดูแล้วน่าจะล้อมรอบด้วยยอดภูเขาที่ผุดขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่มีอยู่ล้อมรอบสิ่งต่างๆ บรรดาวัตถุที่นักประดาน้ำสามารถนำขึ้นมาบนผิวน้ำ คงเป็นเพียงวัตถุธาตุซึ่งดูเหมือนเป็นความจริงที่ถูกค้นพบ การดำน้ำคือแอตแลนติกที่ยังไม่ตายถูกโรยไว้ด้วยภูเขาไฟ เรือโนอาห์เป็นเพียงพาหนะที่จะนำผู้โดยสารไปสู่จุดมุ่งหมายเท่านั้น ความสำคัญของนัยไม่ได้อยู่ที่การค้นพบอะไร แต่สิ่งที่อยู่และดำเนินไป การแสวงหา การตั้งโจทย์ปัญหา และการหาคำตอบ การคาดหวังด้วยจินตนาการถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ เป็นเรื่องน่าสนใจมากกว่า” เซอร์เรียลิสม์ถือว่าการใช้จินตนาการสร้างผลงานจิตรกรรมมีจุดหมายเดียวกับกวีนิพนธ์ คือทำให้มนุษย์รู้จักโลก เป็นอิสระจากข้อจำกัดของความจริงภายนอก ด้วยมโนภาพของตัวตนภายในและเปลี่ยนชีวิตได้ การให้ความสำคัญกับคุณค่าของชีวิตที่อยู่ในโลกแห่งความฝันที่กลุ่ม เซอร์เรียลิสม์ได้สร้างสรรค์ขึ้นมา อยู่ในความคิดฝันจินตนาการของแต่ละคน ดังเช่น ประวัติผลงานที่แอนสท์แอ็นสท์ได้ถ่ายทอดแนวความคิดไว้มากมาย เสมือนหนึ่งเป็นบทประพันธ์แห่งความจริงจากชีวิตเขา
 
==กรอบแนวความคิดและผลงานของมักซ์มัคส์ แอนสท์แอ็นสท์==
 
ที่มาของแนวความคิดและผลงานทางด้านศิลปะของแอนสท์แอ็นสท์มีความเกี่ยวพันร่วมกับขบวนการกลุ่มดาดาจวบจนถึงยุคของ เซอร์เรียลิมส์คือจากแนวความคิดที่จะขุดรากถอนโคนศิลปะแบบเดิมที่มีมาก่อนหน้านี้ มาเป็นการเน้นถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในจิตใจแฝงไว้ และสิ่งนั้นที่ทำให้ศิลปะแบบใหม่ล่วงผ่านสู่การยอมรับในวัฒนธรรมของมวลมนุษย์ นั่นไม่เพียงต่อต้านต่อรสนิยมชั้นสูงเท่านั้น ศิลปะแบบเซอร์เรียลิสม์ยังได้แสดงออกถึงความปรารถนาที่ซ่อนเร้นและสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์ทุกเพศทุกวัยด้วยความไร้เดียงสาของวัยเยาว์ซึ่งง่ายต่อการยอมรับสำหรับทุกคน เซอร์เรียลิสม์เป็นการปฏิวัติรูปแบบวัฒนธรรมตะวันตก สามารถทำให้ผู้คนชะงักงันมองโลกในแง่ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยรูปแบบที่อยู่เหนือจริง
นอกจากงานด้านจิตรกรรมแล้วแอนสท์แอ็นสท์ยังได้สร้างผลงานด้านภาพพิมพ์ ประติมากรรม สื่อประสม และที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เขามมากที่สุดคือภาพปะติดในยุคดาดา ผลงานจิตรกรรมอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นคือเทคนิคฟรอททาจหรือการพิมพ์ถู การปะติดประกอบภาพต่อเศษส่วนต่างๆ ของวัตถุให้กลายเป็นศิลปะขึ้นมาตามทฤษฎีเชื่อว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนเป็นมายาหรือเป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น จากลักษณะการทำงานของแอนสท์นั้นแอ็นสท์นั้น เขาไม่ได้ใช้แบบอย่างของเทคนิคที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น แต่เกิดจากแนวคิดของเขาและกลุ่มเซอร์เรียลิสม์ที่ต่อต้านความเป็นจริงจากโลกของแบบที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน ให้เป็นโลกแห่งความฝัน หรือโลกแห่งจินตนาการที่มีการเชื่อมโยงอย่างเสรีทางความคิด
เทคนิคการสร้างภาพพิมพ์ถูของแอนสท์แอ็นสท์โดยใช้กระดาษปิดทับผิวหน้าวัตถุแล้วฝนถูบนกระดาษให้เกิดเป็นภาพขึ้นมา รวมทั้งเทคนิคการขูดเซาะสีตลอดทั้งปี ค.ศ. 1920 จนถึงช่วงปี ค.ศ. 1931 เพื่อล้อเลียนสรรพสิ่งที่เป็นอยู่แบบแปลกๆ และจากประเด็นความบังเอิญที่เกิดขึ้น ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดผลอย่างไรของกระบวนการกดทาบซับสี การถ่ายโอนลวดลายสีจากกระดาษไปยังไม้ โลหะ เครื่องเคลือบ หรือเครื่องแก้วอื่นๆ เทคนิคของแอนสท์แอ็นสท์เป็นแบบอัตโนมัติ กล่าวคือ ผลลัพธ์เกิดจากความบังเอิญโดยลักษณะวิธีการของตัวมันเอง เขาเพียงแต่เพ่งพิจารณาด้วยจินตนาการ ใช้เทคนิคการระบายสีเข้าไปเสริมเพียงเล็กน้อย เพื่อเน้นรูปจากจินตนาการให้ชัดเจนขึ้นด้วยเส้นและสีเท่านั้น
 
==ผลงานของมักซ์มัคส์ แอร์นสแบ่งเป็นช่วงต่างๆ ได้ดังนี้==
[[ไฟล์:Immortality,1913-1914.jpg|thumbnail|'''Immortality''',1913-1914. Oil on Wood, 46 x 31 cm.]]
===1. การบรรลุสิ่งที่ห่างไกลเหนืองานจิตรกรรม (Reaching Beyond Painting) ,1915-1922===
จิตรกรรมเกี่ยวกับรูปร่างคนหรือสัตว์ในระยะแรกๆ ของเขามีลักษณะใหญ่โตประชดประชันเป็นสิ่งที่ล้ำยุคที่ศิลปินคนอื่นยังไม่ได้ทำขึ้นในช่วงขณะนั้น เป็นการถ่ายทอดรูปแบบที่มีลักษณะทวิรูปคือการใช้รูปแบบของสิ่งสองสิ่งที่ต่างกันมาไว้ด้วยกัน และจากการต่อต้านศิลปะตามแบบอย่างฟิวเจอริสม์รวมถึงคิวบิสม์ที่นิยมในขณะนั้น
ในปี ค.ศ.1919 งานเทคนิคผสมได้ถูกนำมารวมกับงานพิมพ์เพื่อการค้า การพิมพ์ถูแล้วระบายสีเคลือบทับ(Over painting ) ของภาพประกอบในวัสดุสิ่งพิมพ์และงานภาพปะติดได้เข้ามาแทนทีการใช้พู่กัน ปากกา หรือดินสอ วิธีนี้ถือเป็นการท้าทายในเชิงทำลายที่ต่างจากมาตรฐานศิลปะในสมัยนั้นแอนสท์แอ็นสท์ปฏิเสธการทำงานที่มุ่งรูปแบบธรรมชาติโดยตรง ทั้งไม่พยายามส่งผลกระทบต่อผู้ชมให้เกิดการยอมรับความจริง อีกแง่มุมหนึ่งถือเป็นแบบรากฐานแห่งการเข้าถึงชีวิตโลกแบบใหม่ เป็นการกระทำเพื่อล้อเลียนรูปแบบต้นแบบวัตถุที่เขาแสดงออกในงานภาพตัดปะ
 
===2. ประสบการณ์จากยุคดาดาและภาพปะติด (Fruit of a Long Experience Dada),1919-1922===
ผลงานศิลปะที่นำวัสดุและวิธีเสนอเป็นภาพปะติด โดยการตัดเฉพาะส่วนที่แตกต่างกัน สิ่งที่ขัดแย้งกันมารวมกัน ถือเป็นการต่อต้านความจริงขั้นพื้นฐานทางสายตา เพื่อสร้างสรรค์สู่โลกใหม่และหนีจากโลกความจริง โดยเฉพาะความจริงจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาซึ่งการทำลายล้างก่อเกิดเป็นสงคราม แนวคิดของแอนสท์แอ็นสท์ที่ยึดหลักความไร้เหตุผลมาเป็นเหตุผล เพื่อแสดงออกถึงความมีสิทธิและเสรีภาพ จนกระทั่งกลายเป็นกระบวนการดาดาอีสม์(Dadaists) คตินิยมที่ปฏิเสธกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางสังคมและรสนิยมทางศิลปะอย่างสิ้นเชิง
 
===3. เซอร์เรียลิสม์มนุษย์ไม่ควรรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ (Surrealism Men Shall Know Nothing of this),1923-1924===
จากการตีความหลักจิตวิทยาวิเคราะห์ของฟรอยด์ ในความหมายที่เกี่ยวกับเนื้อหาความฝันที่เปิดเผย จุดประสงค์แห่งขีดความไร้สำนึกที่ปราศจากการควบคุม ถือเป็นแนวทางที่เด่นชัดของกลุ่มลัทธิเซอร์เรียลิสม์ โดยภาพวาดของแอนสท์แอ็นสท์ใช้รูปแบบคนโดยการลดทอนและนำมาจัดรวมกันใหม่ให้ดูแปลกไปจากเดิม หรือนำอวัยวะส่วนต่างๆ ของคนมานำเสนอเฉพาะส่วนที่จำเป็น ใช้วิธีการระบายสีเน้นลักษณะพื้นผิวด้วยรอยแปรงอย่างชัดเจน
 
===4. การพิมพ์ถูและประวัติธรรมชาติ (Frottage and History Natural),1925-1926===
เส้น 42 ⟶ 41:
 
===5. นก เจ้าสาว ป่า และดอกไม้ (Birds, Brides, Forests and History Natural),1927-1939===
จากเทคนิคภาพพิมพ์ถูโดยใช้กระดาษ แอนสท์แอ็นสท์ได้พัฒนามาเป็นการใช้ผ้าใบ ใช้เทคนิคที่เรียกว่าการขูดครูดสี ซึ่งนำไปสู่ภาพความคิดฝันที่เปลี่ยนแปลงใหม่อันน่าพิศวง ผลงานของแอนสท์แอ็นสท์ทีเป็นช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามยุติ สามารถค้นพบเบื้องหลังความครุ่นคิดของแอนสท์แอ็นสท์กับดวงอาทิตย์ และป่าไม้ที่ถูกเผาผลาญด้วยไฟป่า จากทรรศนะที่ถือว่าคนเป็นศูนย์กลางจักรวาล ถูกแทนที่ด้วยสิ่งแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น
[[ไฟล์:The Scenery Changes Three Time.jpg|400*278px|thumbnail|The Scenery Changes Three Time]]
===6. นวนิยายภาพปะติดและการแผ่ขยาย (The Collage Novels and Loplop),1930-1936===
รูปแบบภาพตัดปะด้วยเทคนิคสื่อประสม(Mix Media) คือการเปลี่ยนจากภาพประกอบนิยายราคาถูกแกะสลักไม้ และเปลี่ยนมาเป็นพิมพ์แม่พิมพ์โลหะ เพื่อจะเอาชนะวิธีการแบบใหม่ของการคัดลอกงานด้วยวิธีการต่างๆ แอนสท์แอ็นสท์ได้เสนอความหลากหลายของการจัดองค์ประกอบศิลป์ การผสมผสานการปะติดในส่วนที่เกี่ยวกับลวดลายต้นแบบวัตถุจริง
 
===7. ทัศนียภาพโรแมนติก เมือง และป่า (The Romantic Vision : Cities and Jungles),1935-1938===
เทคนิคแกรททาจและฟรอททาจนั้นปรากฏเด่นชัดเจนมากขึ้นด้วยลักษณะของลวดลายต้นแบบจากเครื่องจักสานที่นำไปแทนความหมายของป้อมปราการเมืองหรือบ้านเรือนที่ปรักหักพังลง รกร้างเนิ่นนานจนเถาวัลย์แทรกขึ้นปะปนดูเป็นส่วนเดียวกัน ภาพมุมมองเกี่ยวกับป่านั้นมีลักษณะพืชพันธุ์ไม้กลายร่างเป็นคน หรืออาจโดยนัยตรงกันข้ามว่า คนกลายร่างเป็นต้นไม้ มันคือหน่วยเดียวกันที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะเป็นสัมพันธภาพระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม อีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นเมืองบนภูเขาให้ความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งที่หักพังของเมืองแห่งความฝัน แอนสท์แอ็นสท์นำเอาความไม่สวยงาม ความผุพังเสื่อมโทรมมาสร้างให้เกิดคุณค่าและความหมายใหม่
 
===8. ยุโรปหลังฝน (Europe after the Rain),1938-1942===
แอนสท์แอ็นสท์แสดงออกด้วยเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับสงคราม การวาดภาพเทวดาของหัวใจและบ้าน เป็นเทพแห่งความตายที่มีรูปร่างประหลาด แอนสท์แอ็นสท์ได้อธิบายไว้ว่ารูปที่ทำขึ้นเพื่อเยาะเย้ยเสียดสีสิ่งที่ผู้คนพากันศรัทธาต่อการเสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ การต่อสู้เท่ากับสงคราม ซึ่งสิ่งนั้นได้ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาอยู่ในเส้นทางของมัน
 
===9. ยุคแห่งการแสวงหาสู่ความเรียบง่าย (From the Age of Anxiety to the Childhood),1943-1976===
เส้น 60 ⟶ 59:
[[ไฟล์: Pieta or Revolution by Night, 1923.jpg|625*834px|thumbnail|Pieta or Revolution by Night, 1923. Oil on canvas, 89 x 116 cm. London, Tate Gallery]]
===Pieta or Revolution by Night, 1923. Oil on canvas, 89 x 116 cm. London, Tate Gallery===
ภาพนี้เป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของแอนสท์แอ็นสท์ เป็นภาพลึกลับที่ดูเหมือนเกี่ยวข้องกับพื้นฐานความคิดของฟรอยด์ในความซับซ้อนแบบโอดิปุส ซึ่งผู้เป็นบุตรชายได้แข่งขันกับพ่อเพื่อที่จะแย่งความรับจากแม่ รวมถึงความกลัวจากการถูกทำหมันโดยพ่อของตน ภาพของพ่อที่คุกเข่าอุ้มบุตรชายไว้ในท่าที่เป็นได้ทั้งการบวงสรวงและแบบประเพณีอย่างปิเอต้า มีฝักบัวสีขาวหัวสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ของลึงค์ ด้านหลังภาพเป็นฉากเบลอๆ ดูเหมือนเงา ไม่เน้นให้มีความชัดเจน ภาพนี้อาจแสดงถึงคัวแอนสท์คัวแอ็นสท์กับพ่อของเขา ( คนถูกอุ้มคือแอนสท์แอ็นสท์ )และงานทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตลำเค็ญในวัยเยาว์ที่ผูกพันกับพ่อ การใช้รูปโบสถ์ทางศาสนาในภาพนี้ ตามหลักจิตวิทยาของฟรอยด์เป็นลักษณะเหนือความจริงที่มุ่งต่อต้านศาสนากรณีนี้อาจชี้ให้เห็นเป็นพิเศษจากรูปของแอนสท์แอ็นสท์ซึ่งพ่อของเขาเป็นผู้เลื่อมใสในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกและยังเป็นผู้อุทิศตนต่อสังคมในด้านอื่นๆ เช่น เป็นครูสอนคนพิการผู้เป็นใบ้ เป็นผู้คัดลอกผลงานศิลปะในศาสนาคริสต์
แอนสท์แอ็นสท์วาดภาพนี้ต่อต้านบิดาผู้เคร่งศาสนาซึ่งกลายเป็นคู่ปรปักษ์ของเขา โดยนำเสนอภาพบิดาที่กำลังโอบอุ้มตัวเขาซึ่งแข็งเป็นหิน เป็นการเลียนแบบภาพพระแม่อุ้มศพพระเยซูหลังจากถูกนำลงมาจากไม้กางเขน ปมเรื่องโอดิปุสที่ฟรอยด์นำมาตีความโดยใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เป็นที่สนใจของจิตรกรเซอร์เรียลลิสม์ เช่น แอร์นส์และดาลี มาก เนื่องขากในวัยเด็ก ทั้งคู่มีความขัดแย้งกับบิดาที่ถึงเป็นคู่แข่งในการรักความรักจากแม่ ทั้งยังมีความกลัวว่าบิดาจะตัดอวัยวะเพศของตนอีกด้วย
 
 
เส้น 73 ⟶ 72:
===Spring in Paris, 1950. Oil on canvas, 116 x 89 cm. Wallraf-Richartz===
 
ภาพนี้ใช้เทคนิคเฉพาะตัวของเขาคือการระบายปาดเกลี่ยสีจากรอยแปรง และการใช้เทคนิคแบบผสมผสานให้เกิดเป็นรูปร่าง ภาพฤดูใบไม้ผลิในปารีส ดูเหมือนเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มความเป็นจริงต่อรูปแบบนามธรรม และการทำให้ผิดรูปผิดส่วน ซึ่งพบว่าเป็นลักษณะเฉพาะที่มีในงานของแอนสท์แอ็นสท์ แต่ตรงข้ามกับงานของปิคาสโซ ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันมากมาย แต่ทั้งศิลปินทั้ง 2 ก็มีความหมายเหมือนกัน คือ ทั้งคู่ยังคงอยู่ในความเฉียบคมของเมืองป่าคอนกรีต
รูปร่างของคนมีความอ่อนโยนนุ่มนวลด้วยการใช้เส้นโค้ง มีรูปแบบค่อนไปทางแนวนามธรรม แต่ยังคงไว้ซึ่งความเข้าใจที่สื่อถึงรูปคน ใบหน้าคนถูกซ่อนอยู่ช่วงกลางลำตัวคน และขนาดที่เล็กลงช่วงกรอบพื้นสีฟ้า ด้านบนซ้ายมือของภาพมีการโยงเส้นสีดำหลายเส้นระหว่างรูแหน้ากากและส่วนหัวของรูปคนอาจมองดูเหมือนคนยืนอยู่ในห้องตรงช่องกรอบของหน้าต่าง มองออกไปเห็นท้องฟ้า เป็นการขัดแย้งกันระหว่างรูปร่างรูปทรงของคนที่ประกอบกันขึ้นมาด้วยเส้นโค้งและตารางกรอบสี่เหลี่ยมของพื้นภาพ สามารถเกิดคำถามขึ้นในใจของผู้ชมว่ารูปนั้นเป็นรูปคนหรือไม่ เพราะรูปทรงนั้นเหมือนมีชีวิต การใช้หลักการลด การตัดทอน ให้คงเหลือเฉพาะส่วนที่จำเป็น เพื่อเน้นความรู้สึกและความหมายของภาพ เป็นการใช้สื่อจากธรรมชาติแล้วพัฒนารูปร่างรูปทรงให้เป็นแบบนามธรรม
 
==บรรณานุกรม==
 
*มักซ์มัคส์ แอนสท์แอ็นสท์ : '''ศิลปินเซอร์เรียลิสม์ผู้ยิ่งใหญ่ /สี แสงอาทิตย์'''. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551.
*Bischoff, Urich.(1991). '''Max Ernst. Germany''': Benedikt Taschen.