ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ราชอาณาจักรแฟรงก์"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ล เว้นหลัง ค.ศ. |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 38:
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ชาวแฟรงก์ในยุคโรมัน ===
ชาวแฟรงก์โดยดั้งเดิมแล้วคือสมาพันธ์ของกลุ่มชนชาวเจอร์มานิกทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์ที่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 257 เริ่มรุกรานอาณาเขตของโรมัน พวกเขาเป็นเพียงหนึ่งในสมาพันธ์ของกลุ่มชนชาวเจอร์มานิกที่มีอยู่มากมายที่สร้างความเสียหายให้กับจักรวรรดิโรมันมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 3 และสร้างความลำบากให้กับจักรพรรดิโรมันในการรับมือกับการโจมตี ทะเลไม่ได้ปลอดภัยจากการโจมตีของชาวแฟรงก์เนื่องจากพวกเขาเป็นโจรสมลัดที่มีความสามารถด้วยเช่นกัน แต่ชาวแฟรงก์ยังมีอิทธิพลในทางบวกต่อโรมจากการผลิตทหารให้กับกองทัพโรมัน และในปี ค.ศ. 358 ชนชาวแฟรงก์ได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิจูเลียนให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอาณาเขตของโรมันที่อยู่ระหว่างแม่น้ำสเกลด์กับแม่น้ำเมอซ์ได้ในฐานะฟอยเดราติ (พันธมิตร) ในฐานะฟอยเดราติ ชาวแฟรงก์ตอบแทนด้วยการให้ความช่วยเหลือจักรวรรดิโรมันด้วยการให้กองทหารแลกกับความเป็นเอกราชอย่างเด็ดขาดในพื้นที่ที่พวกตนอาศัยอยู่
=== การขึ้นมาของชาวเมรอวินเจียน ===
ชาวซาเลียนแฟรงก์ไม่ใช่ชนชาวแฟรงก์กลุ่มเดียวที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาเขตของโรมัน ในราวปี ค.ศ. 430 ชาวแฟรงก์ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ทางตะวันตกของอาณาเขตเดิมของชาวซาเลียนแฟรงก์ ชาวแฟรงก์กลุ่มดังกล่าวมาจากทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์และถูกนักประวัติศาสตร์เรียกว่าชาวริปูอาเรียน ครองพื้นที่ระหว่างแม่น้ำเมอซ์กับแม่น้ำไรน์ ชาวแฟรงก์กลุ่มที่ยังคงอยู่ในอาณาเขตดั้งเดิมของชาวแฟรงก์ ทางตะวันอออกของแม่น้ำไรน์ ถุกเรียกว่าชาวแฟรงก์ตะวันออก กลุ่มชนชั้นผู้นำของชาวแฟรงก์คือชาวซาเลียน กษัตริย์ของพวกเขารวมชาวแฟรงก์ทั้งหมดเข้าด้วยกันในช่วงครึ่งหลังของคริสตศตวรรษที่ 5 กษัตริย์เหล่านี้เรียกตัวเองว่าเมรอวินเจียนเพราะพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเมรอเวช ที่ชาวแฟรงก์เชื่อกันว่าเป็นบุตรชายของสิ่งมีชีวิตจากสวรรค์
กษัตริย์เมรอวินเจียนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือโคลวิสที่ขึ้นครองบัลลังก์ในราวปี ค.ศ. 482 พระองค์ถูกบีบตั้งแต่ช่วงต้นรัชสมัยให้ต่อสู้กับผู้นำชาวแฟรงก์คู่แข่งที่ถูกพระองค์สังหารอย่างโหดเหี้ยม เศษสุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกพิชิตในปี ค.ศ. 486 เมื่อโคลวิสปราบซีอากริอุสที่เคยปกครองกอลตอนเหนือ พื้นที่ส่วนนั้นของราชอาณาจักรแฟรงก์ถูกเรียกว่าเนอุสเตรีย (ดินแดนใหม่) ตรงข้ามกับออสตราเชีย (ดินแดนตะวันออก) ที่เป็นอาณาเขตใจกลางดั้งเดิมของชาวแฟรงก์ ทว่าการพิชิตของโคลวิสไปไกลกว่านั้นมาก พระองค์โจมตีและปราบสมาพันธ์ชนเผ่าเจอร์มานิกอาเลมันนิในราวปี ค.ศ. 496 เพิ่มอาณาเขตขนาดใหญ่ให้กับอาณาจักรของตน อิทธิพลจากพระราชินีชาวเบอร์กันเดียน โคลทิลดา โน้มน้าวพระองค์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์หลังสมรภูมิกับชาวอาเลมันนิ การตัดสินใจเข้าร่วมศาสนจักรคาทอลิกแทนที่จะเป็นนิกายอาเรียนของศาสนาคริสต์เหมือนกับชนชาวเจอร์มานิกคนอื่นๆ มีความสำคัญต่อโคลวิสอย่างมาก เนื่องจากทำให้พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากประชากรในราชอาณาจักรเพื่อนบ้านที่มองว่าชาวอาเรียนเป็นพวกนอกรีต
ทว่าการต่อสู้กับชาวอาเลอมันนิไม่จบลงจนถึงปี ค.ศ. 502 เมื่ออาณาเขตทั้งหมดของพวกเขาถูกพิชิตโดยชาวแฟรงก์ ยกเว้นพื้นที่เล็กๆ ที่ได้รับการคุ้มกันจากชาวออสโทรกอธ ก่อนหน้านั้นบริตทานีถูกบีบให้สวามิภักดิ์แม้พวกเขาจะได้เอกราชที่สำคัญมาก็ตาม การพิชิตครั้งสุดท้ายของโคลวิสคืออากีแตนที่ได้มาจากชาววิซิกอธในปี ค.ศ. 507 การแทรกแซงจากชาวออสโทรกอธยับยั้งไม่ให้พิชิตราชอาณาจักรวิซิกอธได้อย่างสมบูรณ์ การสู้รบยังส่งผลให้โคลวิสได้รับแต่งตั้งเป็นกงสุลโรมันโดยจักรพรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งยิ่งเพิ่มความเกรียงไกรให้กับราชอาณาจักรแฟรงก์และทำให้การอ้างสิทธิ์ในการเป็นทายาทของจักรวรรดิโรมันของพวกเขาได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น
เมื่อโคลวิสสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 511 ราชอาณาจักรถูกแบ่งให้กับพระโอรสทั้งสี่ของพระองค์ รูปแบบดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นซ้ำในช่วงคริสตศตวรรษต่อมาและทำให้ราชอาณาจักรแฟรงก์เป็นหนึ่งเดียวกันเพียงช่วงสั้นๆ ทว่ากษัตริย์เมรอวินเจียนชอบรอราฆ๋าฟันและหลายคนสิ้นพระชนม์ก่อนจะมีพระโอรส ซึ่งทำให้ราชอาณาจักรไม่แตกออกจากกันอย่างถาวร แต่ผลที่ตามมาหลังการแบ่งคือกษัตริย์เมรอวินเจียนเริ่มต่อสู้กันเองมากกว่าจะต่อสู้กับศัตรูภายนอก ยกเว้นช่วงปี ค.ศ. 531 – 537 ที่ราชอาณาจักรแฟรงก์พิชิตอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลได้อีกครั้ง ราชอาณาจักรของชาวธูรินเจียนถูกทำลายและส่วนหนึ่งถูกพิชิตในปี ค.ศ. 531 ราชอาณาจักรของชาวเบอร์กันเดียนถูกพิชิตในปี ค.ศ. 532 – 534 และผลของการทำสงครามกับชาวออสโทรกอธของจักรพรรดิโรมันตะวันออกคือชาวออสโทรกอธถูกบีบให้ยกส่วนที่เหลืออยู่ของอาเลมันนิกับโพรวองซ์ให้ราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ในปี ค.ศ. 536 – 537 แลกกับการเป็นกลางของชาวแฟรงก์ ในเวลาเดียวกันบาวาเรียถูกบีบให้ยอมรับอำนาจที่เหนือกว่าของชาวแฟรงก์และราชอาณาจักรแฟรงก์สร้างความแข็งแกร่งในการควบคุมอากีแตนได้มากขึ้น
=== การตกต่ำของชาวเมรอวินเจียนและขึ้นมาของชาวการอแลงเฌียง ===
การแบ่งราชอาณาจักรที่ดำเนินต่อไปในหมู่ชาวเมรอวินเจียนส่งผลให้ราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์แตกออกเป็นสามส่วน นูเอสเตรียทางตะวันตก, ออสตราเชียทางตะวันออก และเบอร์กันดีทางใต้ พื้นที่รอบนอกอย่างบริตทาเนีย, อากีแตน, อาเลมันนิ, ธูรินเจีย และบาวาเรียมักพยายามกอบกู้เอกราชและการต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างชาวเมรอวินเจียนทำให้พวกเขามีโอกาสทำแบบนั้นได้มากขึ้น ชาวธูรินเจียนได้รับเอกราชหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าดาโกแบร์ต์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 639 อากีแตนปฏิเสธที่จะยอมรับการปกครองของเมริวินเจียนหลังการฆาตกรรมชิลเดริกที่ 2 ในปี ค.ศ. 675 รัฐที่เป็นเอกราชอยู่แล้วอย่างบริตทานีกับบาวาเรียปลดปล่อยตั้วเองจากชาวแฟรงก์ในช่วงครึ่งหลังของคริสตศตวรรษที่ 7 สุดท้ายอาเลมันนิหาทางจนได้เอกราชมาในปี ค.ศ. 709 – 712 การพิชิตเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันเทียบไม่ได้กับส่วนที่สูญเสียไป พื้นที่เล็กๆ ในเทือกเขาแอลป์ถูกพิชิตมาจากชาวลอมบาร์ดในปี ค.ศ. 575 และฟรีสแลนด์ตะวันตกถูกพิชิตในปี ค.ศ. 689 แต่ชาวฟรีเชียนก็ทำเหมือนกับพื้นที่ที่อยู่รอบนอกแห่งอื่นๆ พยายามกอบกู้อิสรภาพกลับคืนมาหลายครั้ง
กษัตริย์เมรอวินเจียนไม่ได้เสียแค่อาณาเขตในช่วงยุคนี้ อำนาจของพวกเขาในพื้นที่ที่เหลืออยู่ของราชอาณาจักรแฟรงก์ก็ถูกลดลงเช่นกัน เป็นผลมาจากการมีกษัตริย์ที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ ตำแหน่งสมุหราชมณเฑียรถูกตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลราชอาณาจักรจนกว่าพวกเขาจะถึงวัยที่สมควร แต่เมื่อมันกลายเป็นตำแหน่งถาวรและสืบทอดทางสายเลือด ผู้ครองตำแหน่งเหล่านี้ก็กลายเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์แม้แต่ในตอนที่มีกษัตริย์เป็นผู้ใหญ่ ในสมรภูมิที่เตอร์ตรีในปี ค.ศ. 687 สมุหราชมณเฑียรแห่งนูเอสเตรียกับเบอร์กันดีถูกปราบโดยผู้ที่มีตำแหน่งเดียวกันในออสตราเชีย เปแปงแห่งเฮริสตันที่ภายหลังปกครองราชอาณาจักรแฟรงก์ทั้งหมด
เมื่อเปแปงแห่งเฮริสตันตายในปี ค.ศ. 714 หลานชายวัย 6 ปีของเขา เธอโดลด์ กลายเป็นสมุหราชมณเฑียรคนใหม่ ตำแหน่งที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลราชอาณาจักรในยามที่กษัตริย์เป็นผู้เยาว์บัดนี้เติบโตขึ้นมามีอำนาจมากจนตัวเองสามารถถูกสืบทอดโดยคนที่ยังเป็นผู้เยาว์ได้ ท่าบุตรชายนอกกฎหมายของเปแปง ชาร์ลส์ มาแตล ไม่ยอมรับการถ่ายโอนอำนาจครั้งนี้และประกาศตนเป็นสมุหราชมณเฑียรและกลายเป็นผู้ปกครองคนแรกของราชวงศ์การอแลงเฌียงที่ริบอำนาจของชาวเมรอวินเจียนมาได้อย่างเด็ดขาด หลายทศวรรษต่อมาสงครามเกิดขึ้นไม่ขาดเมื่อชาวการอแลงเฌียงพยายามพิชิตอาณาเขตที่เสียไปกลับคืนมาและรับมือกับการโจมตีจากชาวอาหรับ ที่รุกรานของพวกเขาในปี ค.ศ. 732 ถูกขับไล่ออกไปในสมรภูมิที่ปัวติเยร์ส์ การต่อสู้เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้กับราชอาณาจักรนั้นยากลำบากแต่ก็ประสบความสำเร็จ ธูรินเจีย, อาเลมันนิ และบาวาเรียสุดท้ายก็ถูกปราบในปี ค.ศ. 744 บาวาเรียกรักษาเอกราชเก่าแก่ของตนไว้ได้แต่ยกพื้นที่ที่อยู่ตอนเหนือของแม่น้ำดานูบทั้งหมดให้ ชาวแฟรงก์ยึดอำนาจเหนือเกาะบาเลียริกในปี ค.ศ. 754 และพิชิตเซปติมาเนียมาจากชาวอาหรับในปี ค.ศ. 759 อากีแตนถูกพิชิตอีกครั้งในปี ค.ศ. 768 การสานสัมพันธไมตรีกับพระสันตะปาปานำไปสู่การสู้รบสองครั้งกับชาวลอมบาร์ดที่ประสบความสำเร็จในปี ค.ศ. 754 และ 756 ในเวลาเดียวกันชาวการอแลงเฌียงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอำนาจของตนภายในราชอาณาจักของชาวแฟรงก์ และเปแปงผู้ตัวเตี้ยถอดกษัตริย์เมรอวินเจียนคนสุดท้ายออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 751 และทำให้ตนเองได้รับเลือกเป็นกษัตริย์
=== จักรวรรดิการอแลงเฌียง ===
เปแปงผู้ตัวเตี้ยสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 768 และทิ้งราชอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดของยุโรปตะวันตกไว้ให้พระโอรสสองคน ชาร์เลอมาญกับแกร์โลมอง แกร์โลมองสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 771 และชาร์เลอมาญใช้แหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ของราชอาณาจักรที่เป็นหนึ่งเดียวขยายอาณาเขตออกไปทุกทิศทุกทาง เมื่อชาวลอมบอร์ดคุกคามพระสันตะปาปาอีกครั้ง ชาร์เลอมาญบุกอิตาลีและตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ของชาวลอมบาร์ดในปี ค.ศ. 774 ทว่าราชรัฐชั้นเจ้าชาย เบเนเวนโต ของชาวลอมบาร์ดในอิตาลียอมรับการเป็นใหญ่เหนือกว่าของชาร์เลอมาญเพียงช่วงสั้นๆ แตกต่างกับการพิชิตอาณาจักรของชาวลอมบาร์ดที่ทำได้อย่างรวดเร็ว การปราบชาวแซ็กซันทางตะวันออกเฉียงเหนือ (ค.ศ. 772 – 804) นั้นยาวนานและนองเลือก เพื่อทำลายการคิดที่จะต่อต้านของชาวแซ็กซัน ชาร์เลอมาญสังหารหมู่พวกเขาเป็นพันๆ คนและเนรเทศชาวแซ็กซันออกจากพื้นที่ ทำให้ชาวแฟรงก์กับชาวสลาฟเข้ามาแทนที่ แคว้นจึงสงบลงในท้ายที่สุด บาวาเรียที่มักเป็นข้าราชบริพารที่ไว้ใจไม่ได้ถูกผนวกเข้ากับราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ในปี ค.ศ. 788 หลังดยุคของรัฐสมคบคิดับชาวลอมบาร์ดและชาวอาวาร์ จักรวรรดิของชาวอาวาร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในฮังการีถูกบดขยี้ในปี ค.ศ. 791 – 796 ทำให้พื้นที่ของชาวสลาฟในยุโรปกลางยอมรับความเป็นใหญ่เหนือกว่าของชาร์เลอมาญ ฟรีสแลนด์ตะวันออกถูกพิชิตในปี ค.ศ. 784 – 785 และบริตทานียอมรับอำนาจที่เหนือกว่าของชาวแฟรงก์ในปี ค.ศ. 799 การสู้รบกับชาวอาหรับไม่ค่อยประสบความสำเร็จแต่ชาร์เลอมาญก็หาทางขยายอิทธิพลไปจนถึงแม่น้ำเอโบรได้ในปี ค.ศ. 812 แม้ชาวอาหรับจะเอาคืนด้วยการยึดเกาะบาเลียริกในปี ค.ศ. 798
การพิชิตของชาร์เลอมาญนั้นใหญ่มากจนผู้คนมองว่าพระองค์ได้กอบกู้จักรวรรดิโรมันตะวันตกกลับมา หลังจากนั้นชาร์เลอมาญได้รับการราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิโดยพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 800 แต่ธรรมเนียมการแบ่งราชอาณาจักรกันในหมู่พระโอรสของกษัตริย์ของชาวแฟรงก์ทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวคงอยู่เพียงชั่วคราว ราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ยังเป็นรัฐศักดินาร่วมกับการทำสงครามหาผลประโยช์ด้วยการปล้นประเทศเพื่อนบ้าน เมือราชอาณาจักรขยายอาณาเขตออกไป การปล้นหาผลประโยชน์ก็ลดลงเช่นเดียวกับความจงรักภักดีของขุนนางในยามที่มองไม่เห็นโอกาสที่จะได้รางวัลมากมายจากการรับใช้ จึงทำให้จักรวรรดิของชาวแฟรงก์หลังการสิ้นพระชนม์ของชาร์เลอมาญในปี ค.ศ. 814 พังครืนภายใต้แรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอก จนทำให้แตกออกเป็นรัฐศักดินาเล็กๆ จำนวนมากมาย
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}
== แหล่งข้อมูล ==
http://www.tacitus.nu/historical-atlas/francia.htm
{{ยุคกลางแบ่งตามอาณาเขตร}}
|