ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ราชอาณาจักรแฟรงก์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Pilarbini (คุย | ส่วนร่วม)
เว้นหลัง ค.ศ.
Darkydury (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 38:
 
== ประวัติศาสตร์ ==
[[File:Clotilde_partageant_le_royaume_entre_ses_fils.jpg|link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Clotilde_partageant_le_royaume_entre_ses_fils.jpg|thumb|250x250px|การแบ่งอาณาจักรแฟรงก์กันในหมู่พระโอรสสี่คนของ[[โคลวิสที่ 1|โคลวิส]]โดยมี[[โคลทิลด์]]เผ้ามองดูอยู่ (หอสมุดท้องถิ่นแห่งตูลูส)]]
 
=== ชาวแฟรงก์ในยุคโรมัน ===
=== จุดกำเนิด ===
ชาวแฟรงก์ปรากฏขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 3 ในรูปของ[[กลุ่มชนเจอร์แมนิก|ชนเผ่าเจอร์มานิก]]ที่อาศัยอยู่บนพรมแดน[[แม่น้ำไรน์]]ตอนเหนือของ[[จักรวรรดิโรมัน]] ได้แก่ [[บรุกเตรี]], [[แอมป์ซิวารี่]], [[ชามาวี]] และ[[ชาตัวรี่]] ขณะที่ทุกกลุ่มมีธรรมเนียมในการเข้าร่วมในกองทัพของโรมัน [[ชาวซาเลี่ยน]] ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานภายในจักรวรรดิโรมันได้ ในค.ศ. 357 ได้มีการอาศัยอยู่ในชิวิตัสแห่งบาตาเวียมาระยะหนึ่งแล้ว [[จักรพรรดิจูเลี่ยน]] ผู้ที่บีบชามาวีให้ถอยกลับออกไปจากจักรวรรดิในเวลาเดียวกันนั้น ได้อนุญาตให้ชาวซาเลี่ยนตั้งถิ่นฐานห่างออกไปจากชายแดน ใน[[โตซานเดรีย]] ได้
 
ชาวแฟรงก์โดยดั้งเดิมแล้วคือสมาพันธ์ของกลุ่มชนชาวเจอร์มานิกทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์ที่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 257 เริ่มรุกรานอาณาเขตของโรมัน พวกเขาเป็นเพียงหนึ่งในสมาพันธ์ของกลุ่มชนชาวเจอร์มานิกที่มีอยู่มากมายที่สร้างความเสียหายให้กับจักรวรรดิโรมันมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 3 และสร้างความลำบากให้กับจักรพรรดิโรมันในการรับมือกับการโจมตี ทะเลไม่ได้ปลอดภัยจากการโจมตีของชาวแฟรงก์เนื่องจากพวกเขาเป็นโจรสมลัดที่มีความสามารถด้วยเช่นกัน แต่ชาวแฟรงก์ยังมีอิทธิพลในทางบวกต่อโรมจากการผลิตทหารให้กับกองทัพโรมัน และในปี ค.ศ. 358 ชนชาวแฟรงก์ได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิจูเลียนให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอาณาเขตของโรมันที่อยู่ระหว่างแม่น้ำสเกลด์กับแม่น้ำเมอซ์ได้ในฐานะฟอยเดราติ (พันธมิตร) ในฐานะฟอยเดราติ ชาวแฟรงก์ตอบแทนด้วยการให้ความช่วยเหลือจักรวรรดิโรมันด้วยการให้กองทหารแลกกับความเป็นเอกราชอย่างเด็ดขาดในพื้นที่ที่พวกตนอาศัยอยู่
ราวค.ศ. 428 [[โกลดีอง|พระเจ้าโกลดิยง]]ที่อาณาจักรของพระองค์อยู่ในชิวิตัสตุงกรอรุม (ที่มีเมืองหลวงอยู่ที่[[ต็องเกอเรน์]]) ปฏิบัติการโจมตีอาณาเขตของโรมันและขยายราชอาณาจักรของพระองค์ไปถึงกามารากุม ([[ค็อมเบร]]) และ[[แม่น้ำซ็อมม์]] ช่วงยุคนี้เป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นขึ้นของสถานการณ์ที่จะคงอยู่เป็นเวลาหลายศตวรรษ ชาวเจอร์มานิกแฟรงก์ปกครองผู้ที่อยู่ใต้การปกครองชาวกัลโลโรมันจำนวนมากขึ้น
 
=== การขึ้นมาของชาวเมรอวินเจียน ===
[[ราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง|ชาวเมรอแว็งเฌียง]] ที่ร่ำลือกันว่ามีความเกี่ยวพันกับโกลดิยง ถูกก่อตั้งขึ้นมาจากภายในกองทัพของชาวกัลโลโรมัน โดยมี[[ชิลเดริคที่ 1|ชิลเดริค]]กับลูกชาย [[โคลวิสที่ 1|โคลวิส]] ที่ถูกเรียกว่า "กษัตริย์ของ[[ชาวแฟรงก์]]" ในกองทัพของ[[ชาวกัลโลโรมัน]] ก่อนที่จะมีอาณาจักรที่มีอาณาเขตเป็นของชาวแฟรงก์ โคลวิสเคยปราบคู่แข่งชาวโรมันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจใน[[กอล|เกาล์]]ตอนเหนือ [[ซีอากริอุส]] พระองค์กลายเป็นกษัตริย์ของชาวแฟรงก์ทางตอนเหนือและตะวันออก เช่นเดียวกับในอาณาจักรโรมันเดิมที่มีอยู่แล้วในเกาล์ [[ชาววิซิกอท|วิซิกอธ]], [[เบอร์กันดี]] และ[[อาเลอมันนี]]
 
ชาวซาเลียนแฟรงก์ไม่ใช่ชนชาวแฟรงก์กลุ่มเดียวที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาเขตของโรมัน ในราวปี ค.ศ. 430 ชาวแฟรงก์ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ทางตะวันตกของอาณาเขตเดิมของชาวซาเลียนแฟรงก์ ชาวแฟรงก์กลุ่มดังกล่าวมาจากทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์และถูกนักประวัติศาสตร์เรียกว่าชาวริปูอาเรียน ครองพื้นที่ระหว่างแม่น้ำเมอซ์กับแม่น้ำไรน์ ชาวแฟรงก์กลุ่มที่ยังคงอยู่ในอาณาเขตดั้งเดิมของชาวแฟรงก์ ทางตะวันอออกของแม่น้ำไรน์ ถุกเรียกว่าชาวแฟรงก์ตะวันออก กลุ่มชนชั้นผู้นำของชาวแฟรงก์คือชาวซาเลียน กษัตริย์ของพวกเขารวมชาวแฟรงก์ทั้งหมดเข้าด้วยกันในช่วงครึ่งหลังของคริสตศตวรรษที่ 5 กษัตริย์เหล่านี้เรียกตัวเองว่าเมรอวินเจียนเพราะพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเมรอเวช ที่ชาวแฟรงก์เชื่อกันว่าเป็นบุตรชายของสิ่งมีชีวิตจากสวรรค์
อาณาเขตใจกลางดั้งเดิมของอาณาจักรแฟรงก์ต่อมารู้จักกันในชื่อ[[ออสเตรเชีย]] ("ดินแดนทางตะวันออก") ขณะที่อาณาจักรแฟรงก์ขนาดใหญ่มีความเป็นโรมันในเกาล์ตอนเหนือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ[[นูสเตรีย]]
 
กษัตริย์เมรอวินเจียนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือโคลวิสที่ขึ้นครองบัลลังก์ในราวปี ค.ศ. 482 พระองค์ถูกบีบตั้งแต่ช่วงต้นรัชสมัยให้ต่อสู้กับผู้นำชาวแฟรงก์คู่แข่งที่ถูกพระองค์สังหารอย่างโหดเหี้ยม เศษสุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกพิชิตในปี ค.ศ. 486 เมื่อโคลวิสปราบซีอากริอุสที่เคยปกครองกอลตอนเหนือ พื้นที่ส่วนนั้นของราชอาณาจักรแฟรงก์ถูกเรียกว่าเนอุสเตรีย (ดินแดนใหม่) ตรงข้ามกับออสตราเชีย (ดินแดนตะวันออก) ที่เป็นอาณาเขตใจกลางดั้งเดิมของชาวแฟรงก์ ทว่าการพิชิตของโคลวิสไปไกลกว่านั้นมาก พระองค์โจมตีและปราบสมาพันธ์ชนเผ่าเจอร์มานิกอาเลมันนิในราวปี ค.ศ. 496 เพิ่มอาณาเขตขนาดใหญ่ให้กับอาณาจักรของตน อิทธิพลจากพระราชินีชาวเบอร์กันเดียน โคลทิลดา โน้มน้าวพระองค์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์หลังสมรภูมิกับชาวอาเลมันนิ การตัดสินใจเข้าร่วมศาสนจักรคาทอลิกแทนที่จะเป็นนิกายอาเรียนของศาสนาคริสต์เหมือนกับชนชาวเจอร์มานิกคนอื่นๆ มีความสำคัญต่อโคลวิสอย่างมาก เนื่องจากทำให้พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากประชากรในราชอาณาจักรเพื่อนบ้านที่มองว่าชาวอาเรียนเป็นพวกนอกรีต
=== การขึ้นมาและเสื่อมไปของเมรอแว็งเฌียง ค.ศ. 481 - 687 ===
[[File:Politically_divided_Gaul,_481.jpg|link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Politically_divided_Gaul,_481.jpg|thumb|250x250px|การแบ่งส่วนทางการเมืองของ[[กอล|เกาล์]]ในช่วงที่[[โคลวิสที่ 1|โคลวิส]]เริ่มขึ้นมามีอำนาจ (ค.ศ. 481) มีเพียง[[อาณาจักรเบอร์กันดี]]กับ[[มณฑลเซปติมาเนีย]]ที่ยังไม่ถูกพิชิตในตอนที่พระองค์สิ้นพระชนม์ (ค.ศ. 511)]]
ผู้สืบทอดต่อของ[[โกลดีอง|โกลดิยง]]เป็นบุคคลที่คลุมเครือ แต่ที่แน่ชัดคือ[[ชิลเดริคที่ 1]] ที่เป็นไปได้ว่าคือพระนัดดาของพระองค์ ปกครองอาณาจักร[[ซาเลี่ยน]]ตั้งแต่[[ทัวร์เน]]ที่เป็นฟอยเดราตุสของชาวโรมัน ชิลเดริคมีความสำคัญอย่างมากในประวัติศาสตร์ด้านการยกมรดกตกทอดของชาวแฟรงก์ให้กับพระโอรส [[โคลวิสที่ 1|โคลวิส]] ที่เริ่มต้นความพยายามในการขยายอำนาจเหนือชนเผ่า[[ชาวแฟรงก์|แฟรงก์]]กลุ่มอื่นๆและขยายอาณาเขตไปทางใต้และตะวันตกสู่[[กอล|เกาล์]] โคลวิสเปลี่ยนมานับถือ[[ศาสนาคริสต์]]และทำให้ตนเองได้ประโยชน์จากศาสนจักรที่ทรงอำนาจ
 
ทว่าการต่อสู้กับชาวอาเลอมันนิไม่จบลงจนถึงปี ค.ศ. 502 เมื่ออาณาเขตทั้งหมดของพวกเขาถูกพิชิตโดยชาวแฟรงก์ ยกเว้นพื้นที่เล็กๆ ที่ได้รับการคุ้มกันจากชาวออสโทรกอธ ก่อนหน้านั้นบริตทานีถูกบีบให้สวามิภักดิ์แม้พวกเขาจะได้เอกราชที่สำคัญมาก็ตาม การพิชิตครั้งสุดท้ายของโคลวิสคืออากีแตนที่ได้มาจากชาววิซิกอธในปี ค.ศ. 507 การแทรกแซงจากชาวออสโทรกอธยับยั้งไม่ให้พิชิตราชอาณาจักรวิซิกอธได้อย่างสมบูรณ์ การสู้รบยังส่งผลให้โคลวิสได้รับแต่งตั้งเป็นกงสุลโรมันโดยจักรพรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งยิ่งเพิ่มความเกรียงไกรให้กับราชอาณาจักรแฟรงก์และทำให้การอ้างสิทธิ์ในการเป็นทายาทของจักรวรรดิโรมันของพวกเขาได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ในรัชสมัยสามสิบปีของพระองค์ (ค.ศ. 481-511) โคลวิสปราบแม่ทัพซีอากริอุสชาวโรมันและพิชิต[[อาณาจักรซอยส์ซงส์]], ปราบ[[อาเลอมันนี]] (สมรภูมิแห่งโทลเบียก ค.ศ. 504) และสร้างความเป็นใหญ่ของชาวแฟรงก์เหนือกลุ่มคนเหล่านั้น โคลวิสปราบ[[ชาววิซิกอท|ชาววิซิกอธ]] (สมรภูมิแห่งวุยล์ ค.ศ. 507) และพิชิตอาณาเขตทางตอนเหนือของ[[พีรินีส์]]ทั้งหมดยกเว้น[[เซปติมาเนีย]] และพิชิต[[ชาวเบรตัน]]และทำให้พวกเขาขุนนางศักดินาของฟรังเกีย พระองค์พิชิตพื้นที่ส่วนใหญ่หรือไม่ก็ทั้งหมดของชนเผ่าแฟรงก์ที่เป็นเพื่อนบ้านตามแนว[[แม่น้ำไรน์]]และรวมพวกเขาเข้ากับอาณาจักรของพระองค์
 
เมื่อโคลวิสสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 511 ราชอาณาจักรถูกแบ่งให้กับพระโอรสทั้งสี่ของพระองค์ รูปแบบดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นซ้ำในช่วงคริสตศตวรรษต่อมาและทำให้ราชอาณาจักรแฟรงก์เป็นหนึ่งเดียวกันเพียงช่วงสั้นๆ ทว่ากษัตริย์เมรอวินเจียนชอบรอราฆ๋าฟันและหลายคนสิ้นพระชนม์ก่อนจะมีพระโอรส ซึ่งทำให้ราชอาณาจักรไม่แตกออกจากกันอย่างถาวร แต่ผลที่ตามมาหลังการแบ่งคือกษัตริย์เมรอวินเจียนเริ่มต่อสู้กันเองมากกว่าจะต่อสู้กับศัตรูภายนอก ยกเว้นช่วงปี ค.ศ. 531 – 537 ที่ราชอาณาจักรแฟรงก์พิชิตอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลได้อีกครั้ง ราชอาณาจักรของชาวธูรินเจียนถูกทำลายและส่วนหนึ่งถูกพิชิตในปี ค.ศ. 531 ราชอาณาจักรของชาวเบอร์กันเดียนถูกพิชิตในปี ค.ศ. 532 – 534 และผลของการทำสงครามกับชาวออสโทรกอธของจักรพรรดิโรมันตะวันออกคือชาวออสโทรกอธถูกบีบให้ยกส่วนที่เหลืออยู่ของอาเลมันนิกับโพรวองซ์ให้ราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ในปี ค.ศ. 536 – 537 แลกกับการเป็นกลางของชาวแฟรงก์ ในเวลาเดียวกันบาวาเรียถูกบีบให้ยอมรับอำนาจที่เหนือกว่าของชาวแฟรงก์และราชอาณาจักรแฟรงก์สร้างความแข็งแกร่งในการควบคุมอากีแตนได้มากขึ้น
พระองค์ยังรวมชุมชนทางทหารของโรมัน (ลาเอตี้) ที่กระจายอยู่ทั่วเกาล์ [[ชาวแซกซัน|ชาวแซ็กซัน]]ของเบส์ซ็อง, [[ชาวบริตัน]]และ[[ชาวอลัน]]ของ[[อาร์มอร์ก้า]]และหุบเขา[[แม่น้ำลัวร์]]หรือไทเฟาล์ของ[[แคว้นปัวตู-ชาร็องต์|ปัวตู]] ในช่วงบั้นปลายของชีวิต โคลวิสปกครองเกาล์ทั้งหมดยกเว้นมณฑลเซปติมาเนียของชาววิซิกอธกับอาณาจักรของชาวเบอร์กันดีทางตะวันออกเฉียงใต้
 
=== การตกต่ำของชาวเมรอวินเจียนและขึ้นมาของชาวการอแลงเฌียง ===
[[ราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง|ชาวเมรอแว็งเฌียง]]เป็นราชาธิปไตยที่สืบทอดทางสายเลือด กษัตริย์แฟรงก์ยึดมั่นในหลักของการสืบทอดต่อแบบแบ่งสรรปันส่วน การแบ่งดินแดนกันในหมู่พระโอรส แม้แต่ในยามที่กษัตริย์เมรอแว็งเฌียงมากกว่าหนึ่งพระองค์ปกครอง อาณาจักรถูกมองว่าเป็นราชอาณาจักรเดียวที่ปกครองร่วมกันโดยกษัตริย์หลายพระองค์ กษัตริย์เมรอแว็งเฌียงที่ปกครองโดยแบ่งสิทธิ์และความเป็นกษัตริย์กันมีสัญลักษณ์คือผมที่ยาว
 
การแบ่งราชอาณาจักรที่ดำเนินต่อไปในหมู่ชาวเมรอวินเจียนส่งผลให้ราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์แตกออกเป็นสามส่วน นูเอสเตรียทางตะวันตก, ออสตราเชียทางตะวันออก และเบอร์กันดีทางใต้ พื้นที่รอบนอกอย่างบริตทาเนีย, อากีแตน, อาเลมันนิ, ธูรินเจีย และบาวาเรียมักพยายามกอบกู้เอกราชและการต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างชาวเมรอวินเจียนทำให้พวกเขามีโอกาสทำแบบนั้นได้มากขึ้น ชาวธูรินเจียนได้รับเอกราชหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าดาโกแบร์ต์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 639 อากีแตนปฏิเสธที่จะยอมรับการปกครองของเมริวินเจียนหลังการฆาตกรรมชิลเดริกที่ 2 ในปี ค.ศ. 675 รัฐที่เป็นเอกราชอยู่แล้วอย่างบริตทานีกับบาวาเรียปลดปล่อยตั้วเองจากชาวแฟรงก์ในช่วงครึ่งหลังของคริสตศตวรรษที่ 7 สุดท้ายอาเลมันนิหาทางจนได้เอกราชมาในปี ค.ศ. 709 – 712 การพิชิตเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันเทียบไม่ได้กับส่วนที่สูญเสียไป พื้นที่เล็กๆ ในเทือกเขาแอลป์ถูกพิชิตมาจากชาวลอมบาร์ดในปี ค.ศ. 575 และฟรีสแลนด์ตะวันตกถูกพิชิตในปี ค.ศ. 689 แต่ชาวฟรีเชียนก็ทำเหมือนกับพื้นที่ที่อยู่รอบนอกแห่งอื่นๆ พยายามกอบกู้อิสรภาพกลับคืนมาหลายครั้ง
=== โอรสของโคลวิส ===
ในตอนที่[[โคลวิสที่ 1|โคลวิส]]สิ้นพระชนม์ อาณาจักรของพระองค์ถูกแบ่งอาณาเขตออกโดยพระโอรสที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสี่คนโดยพระโอรสแต่ละคนได้รับส่วนแบ่งของดินแดนที่มีรายได้เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าเป็นดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในการจัดเก็บรายได้ของ[[จักรวรรดิโรมัน|โรมัน]] ที่ปัจจุบันถูกยึดเอามาโดย[[ชาวแฟรงก์]]
[[File:Division_of_Gaul_-_511.jpg|link=https://en.wikipedia.org/wiki/File:Division_of_Gaul_-_511.jpg|thumb|250x250px|การแบ่งฟรังเกียหลังการสิ้นพระชนม์ของโคลวิส (ค.ศ. 511) อาณาจักรไม่ได้อยู่ติดกันในทางภูมิศาสตร์เนื่องจากความพยายามในการแบ่งรายได้ให้เท่าเทียมกัน ]]
โอรสของโคลวิสตั้งเมืองหลวงของตนใกล้กับศูนย์กลางของแฟรงก์ใน[[กอล|เกาล์]]ตะวันออกเฉียงเหนือ [[ธูเดอริคที่ 1]] ตั้งเมืองหลวงที่[[ไรม์]], [[โคลโดแมร์]]ที่[[เออร์ลียง]], [[ชิลเดอแบร์ที่ 1|ชิลเดอแบต์ที่ 1]] ที่[[ปารีส]] และ[[โคลทาร์ที่ 1|โคลธาร์ที่ 1]] ที่[[ซอยส์ซงส์]] ในช่วงรัชสมัยของแต่ละพระองค์ [[ชาวธูริงเกีย]] (ค.ศ. 532), [[ชาวเบอร์กันดี]] (ค.ศ. 534) และ[[ชาวแซกซัน|ชาวแซ็กซัน]]กับ[[ชาวฟรีเชียน]] (ค.ศ. 560) ถูกรวมเข้ามาในอาณาจักรของชาวแฟรงก์ ชนเผ่าอีกฝั่งของ[[แม่น้ำไรน์]]ที่อยู่ห่างไกลออกไปถูกผูกติดกับอำนาจของกษัตริย์แฟรงก์อย่างหลวมๆ และแม้ว่าจะบีบบังคับให้พวกเขาสนับสนุนความพยายามทางการทหารของชาวแฟรงก์ได้ แต่เมื่อกษัตริย์อ่อนแอ พวกเขาจะอยู่เหนือการควบคุมและพยายามที่จะแยกตัวเป็นเอกราช ทว่าชาวแฟรงก์รักษาอาณาเขตของอาณาจักรของชาวเบอร์กันดีที่เป็นแบบโรมันไว้ได้ และรวมันมเข้ากับราชอาณาจักรของโคลโดแมร์ที่มีเมืองหลวงอยู๋ที่เออร์ลียง
 
กษัตริย์เมรอวินเจียนไม่ได้เสียแค่อาณาเขตในช่วงยุคนี้ อำนาจของพวกเขาในพื้นที่ที่เหลืออยู่ของราชอาณาจักรแฟรงก์ก็ถูกลดลงเช่นกัน เป็นผลมาจากการมีกษัตริย์ที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ ตำแหน่งสมุหราชมณเฑียรถูกตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลราชอาณาจักรจนกว่าพวกเขาจะถึงวัยที่สมควร แต่เมื่อมันกลายเป็นตำแหน่งถาวรและสืบทอดทางสายเลือด ผู้ครองตำแหน่งเหล่านี้ก็กลายเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์แม้แต่ในตอนที่มีกษัตริย์เป็นผู้ใหญ่ ในสมรภูมิที่เตอร์ตรีในปี ค.ศ. 687 สมุหราชมณเฑียรแห่งนูเอสเตรียกับเบอร์กันดีถูกปราบโดยผู้ที่มีตำแหน่งเดียวกันในออสตราเชีย เปแปงแห่งเฮริสตันที่ภายหลังปกครองราชอาณาจักรแฟรงก์ทั้งหมด
กษัตริย์ที่เป็นพี่เป็นน้องกันแสดงสัญญาณแห่งมิตรภาพออกมาเป็นพักๆเท่านั้นและมักจะเป็นปรปักษ์ต่อกัน ในช่วงแรกๆที่โคลโดแมร์สิ้นพระชนม์ พระอนุชาของพระองค์ โคลธาร์ได้ฆาตกรรมพระโอรสน้อยของพระองค์เพื่อเอาอาณาจักรของพระองค์มา ธูเดอริคสิ้นพระชนม์ในค.ศ. 534 แต่พระโอรสที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วของพระองค์ [[ธูเดอแบต์ที่ 1]] สามารถปกป้องมรดกตกทอดของพระองค์ซึ่งรวมกันเป็นอนุอาณาจักรของชาวแฟรงก์ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นแกนกลางของ[[อาณาจักรออสเตรเชีย]]ในเวลาต่อมาไว้ได้
 
เมื่อเปแปงแห่งเฮริสตันตายในปี ค.ศ. 714 หลานชายวัย 6 ปีของเขา เธอโดลด์ กลายเป็นสมุหราชมณเฑียรคนใหม่ ตำแหน่งที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลราชอาณาจักรในยามที่กษัตริย์เป็นผู้เยาว์บัดนี้เติบโตขึ้นมามีอำนาจมากจนตัวเองสามารถถูกสืบทอดโดยคนที่ยังเป็นผู้เยาว์ได้ ท่าบุตรชายนอกกฎหมายของเปแปง ชาร์ลส์ มาแตล ไม่ยอมรับการถ่ายโอนอำนาจครั้งนี้และประกาศตนเป็นสมุหราชมณเฑียรและกลายเป็นผู้ปกครองคนแรกของราชวงศ์การอแลงเฌียงที่ริบอำนาจของชาวเมรอวินเจียนมาได้อย่างเด็ดขาด หลายทศวรรษต่อมาสงครามเกิดขึ้นไม่ขาดเมื่อชาวการอแลงเฌียงพยายามพิชิตอาณาเขตที่เสียไปกลับคืนมาและรับมือกับการโจมตีจากชาวอาหรับ ที่รุกรานของพวกเขาในปี ค.ศ. 732 ถูกขับไล่ออกไปในสมรภูมิที่ปัวติเยร์ส์ การต่อสู้เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้กับราชอาณาจักรนั้นยากลำบากแต่ก็ประสบความสำเร็จ ธูรินเจีย, อาเลมันนิ และบาวาเรียสุดท้ายก็ถูกปราบในปี ค.ศ. 744 บาวาเรียกรักษาเอกราชเก่าแก่ของตนไว้ได้แต่ยกพื้นที่ที่อยู่ตอนเหนือของแม่น้ำดานูบทั้งหมดให้ ชาวแฟรงก์ยึดอำนาจเหนือเกาะบาเลียริกในปี ค.ศ. 754 และพิชิตเซปติมาเนียมาจากชาวอาหรับในปี ค.ศ. 759 อากีแตนถูกพิชิตอีกครั้งในปี ค.ศ. 768 การสานสัมพันธไมตรีกับพระสันตะปาปานำไปสู่การสู้รบสองครั้งกับชาวลอมบาร์ดที่ประสบความสำเร็จในปี ค.ศ. 754 และ 756 ในเวลาเดียวกันชาวการอแลงเฌียงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอำนาจของตนภายในราชอาณาจักของชาวแฟรงก์ และเปแปงผู้ตัวเตี้ยถอดกษัตริย์เมรอวินเจียนคนสุดท้ายออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 751 และทำให้ตนเองได้รับเลือกเป็นกษัตริย์
ธูเดอแบต์เป็นกษัตริย์แฟรงก์พระองค์แรกที่ตัดสายสัมพันธ์กับ[[จักรวรรดิไบแซนไทน์|จักรวรรดิไบเซนไทน์]]อย่างเป็นทางการด้วยการทำเหรียญทองที่มีภาพของพระองค์อยู่บนนั้นและเรียกตัวเองว่า ''magnus rex'' (มหากษัตริย์) ธูเดอแบต์แทรกแซงสงคราม[[ชาวกอท|ชาวโกธ]]ในฝั่งของ[[ชาวเกอปิด]]และ[[ลอมบาร์ด|ชาวลอมบาร์ด]] ต่อสู้กับ[[ชาวออสโตรกอท|ชาวออสโทรโกธ]] ได้มณฑลราเอเทีย, โนริกุม และบางส่วนของเวเนโตมา
 
=== จักรวรรดิการอแลงเฌียง ===
 
เปแปงผู้ตัวเตี้ยสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 768 และทิ้งราชอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดของยุโรปตะวันตกไว้ให้พระโอรสสองคน ชาร์เลอมาญกับแกร์โลมอง แกร์โลมองสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 771 และชาร์เลอมาญใช้แหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ของราชอาณาจักรที่เป็นหนึ่งเดียวขยายอาณาเขตออกไปทุกทิศทุกทาง เมื่อชาวลอมบอร์ดคุกคามพระสันตะปาปาอีกครั้ง ชาร์เลอมาญบุกอิตาลีและตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ของชาวลอมบาร์ดในปี ค.ศ. 774 ทว่าราชรัฐชั้นเจ้าชาย เบเนเวนโต ของชาวลอมบาร์ดในอิตาลียอมรับการเป็นใหญ่เหนือกว่าของชาร์เลอมาญเพียงช่วงสั้นๆ แตกต่างกับการพิชิตอาณาจักรของชาวลอมบาร์ดที่ทำได้อย่างรวดเร็ว การปราบชาวแซ็กซันทางตะวันออกเฉียงเหนือ (ค.ศ. 772 – 804) นั้นยาวนานและนองเลือก เพื่อทำลายการคิดที่จะต่อต้านของชาวแซ็กซัน ชาร์เลอมาญสังหารหมู่พวกเขาเป็นพันๆ คนและเนรเทศชาวแซ็กซันออกจากพื้นที่ ทำให้ชาวแฟรงก์กับชาวสลาฟเข้ามาแทนที่ แคว้นจึงสงบลงในท้ายที่สุด บาวาเรียที่มักเป็นข้าราชบริพารที่ไว้ใจไม่ได้ถูกผนวกเข้ากับราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ในปี ค.ศ. 788 หลังดยุคของรัฐสมคบคิดับชาวลอมบาร์ดและชาวอาวาร์ จักรวรรดิของชาวอาวาร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในฮังการีถูกบดขยี้ในปี ค.ศ. 791 – 796 ทำให้พื้นที่ของชาวสลาฟในยุโรปกลางยอมรับความเป็นใหญ่เหนือกว่าของชาร์เลอมาญ ฟรีสแลนด์ตะวันออกถูกพิชิตในปี ค.ศ. 784 – 785 และบริตทานียอมรับอำนาจที่เหนือกว่าของชาวแฟรงก์ในปี ค.ศ. 799 การสู้รบกับชาวอาหรับไม่ค่อยประสบความสำเร็จแต่ชาร์เลอมาญก็หาทางขยายอิทธิพลไปจนถึงแม่น้ำเอโบรได้ในปี ค.ศ. 812 แม้ชาวอาหรับจะเอาคืนด้วยการยึดเกาะบาเลียริกในปี ค.ศ. 798
 
การพิชิตของชาร์เลอมาญนั้นใหญ่มากจนผู้คนมองว่าพระองค์ได้กอบกู้จักรวรรดิโรมันตะวันตกกลับมา หลังจากนั้นชาร์เลอมาญได้รับการราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิโดยพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 800 แต่ธรรมเนียมการแบ่งราชอาณาจักรกันในหมู่พระโอรสของกษัตริย์ของชาวแฟรงก์ทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวคงอยู่เพียงชั่วคราว ราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ยังเป็นรัฐศักดินาร่วมกับการทำสงครามหาผลประโยช์ด้วยการปล้นประเทศเพื่อนบ้าน เมือราชอาณาจักรขยายอาณาเขตออกไป การปล้นหาผลประโยชน์ก็ลดลงเช่นเดียวกับความจงรักภักดีของขุนนางในยามที่มองไม่เห็นโอกาสที่จะได้รางวัลมากมายจากการรับใช้ จึงทำให้จักรวรรดิของชาวแฟรงก์หลังการสิ้นพระชนม์ของชาร์เลอมาญในปี ค.ศ. 814 พังครืนภายใต้แรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอก จนทำให้แตกออกเป็นรัฐศักดินาเล็กๆ จำนวนมากมาย
 
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}
 
== แหล่งข้อมูล ==
http://www.tacitus.nu/historical-atlas/francia.htm
 
{{ยุคกลางแบ่งตามอาณาเขตร}}