ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ซอยเดียวกัน"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 4:
 
== ประวัติหนังสือ ==
'''ที่มาของเรื่องซอยเดียวกัน หนังสือเรื่องซอยเดียวกันนี้ เกิดจากความตั้งใจของวาณิช จรุงกิจอนันต์ผู้เขียนที่ต้องการจะมีหนังสือรวมเรื่องสั้นเป็นของตนเอง เนื่องจากผู้เขียนให้ความสำคัญกับคำว่า นักเขียน มาก จึงรู้สึกกระดากปากที่จะเรียกตัวเองเช่นนั้น จนเมื่อได้ออกหนังสือเรื่องซอยเดียวกัน ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในคำนำว่า “ผมเขียนหนังสือรวมพิมพ์เป็นเล่มมาแล้วหลายเล่ม แต่กล่าวได้ว่าเล่มที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นนักเขียนโดยสมบูรณ์คือเล่มนี้ เล่มที่ให้ชื่อว่าซอยเดียวกันนี้ ” จากความตั้งใจของผู้เขียนนี่เอง ทำให้ซอยเดียวกันสำเร็จเป็นรูปเล่มในปีพ.ศ. 2526 และหนังสือเล่มนี้ก็เป็น 1 ใน 47 เล่มที่ผ่านเข้าพิจารณารางวัลซีไรต์ ด้วยเหตุว่าหนังสือเล่มนี้มีกลวิธีการนำเสนอที่แปลกใหม่ กล้าสร้างสรรค์รูปแบบที่แตกต่าง มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตได้อย่างโดดเด่น บวกกับฝีมือทางวรรณศิลป์ ทำให้ซอยเดียวกันกลายเป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลซีไรต์ในปีพ.ศ. 2527 นอกจากนี้หนังสือยังด้รับความนิยมอย่างสูง ในยุคนั้นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปอย่างกว้างขวางทั้งในแง่บวกและแง่ลบ จนถึงขนาดที่ผู้เขียนจะนำบทวิจารณ์เหล่านั้นรวมตีพิมพ์เลยทีเดียวแต่ภายหลังก็ล้มเลิกโครงการนี้ไป ซอยเดียวกันเป็นการรวมเอาเรื่องสั้น 15 เรื่อง ที่ผู้เขียนเริ่มเขียนตั้งแต่ปี2514 -2526 โดยแต่ละเรื่องล้วนเคยได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารชื่อดังในสมัยนั้นมาแล้ว เช่น เรื่องเพลงใบไม้ตีพิมพ์ลงในสตรีสาร เรื่องเมืองหลวง โนรี ซ้ายล่าสุดและเวลานัดตีพิมพ์ลงในลลนา เป็นต้น มีเพียงเรื่องกาเท่านั้นที่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือเล่มนี้ และเหตุที่ผู้เขียนเลือกใช้ชื่อ ซอยเดียวกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่อหนังสือในเล่มคือ บ้านเราอยู่ในนี้ ซอยเดียวกัน ก็เพราะผู้เขียนคิดว่าคำว่า ซอย มีความผูกพันกับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย ฟังดูใกล้ชิดเป็นกันเองและสะท้อนภาพวิถีความเป็นไทยได้ชัดเจน ดังนั้นหนังสือเรื่องซอยเดียวกันจึงเหมือนเป็นการรวบรวมผลงานเรื่องสั้นอันโดดเด่นของวาณิช จรุงกิจอนันต์ไว้นั่นเอง ในที่นี้ขอกล่าวตัวอย่าง เรื้องสั้นที่รวบรวมไว้ใน ซอยเดียวกัน สักเรื่องสองเรื่อง '''เรื่อง เพลงใบไม้''' เพลงใบไม้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความต่างทางความคิดระหว่างคนสองวัยและการปลูกฝังสั่งสมวัฒนธรรมด้วยความเคยชิน เริ่มจากการนำเสนอชีวิตของสองยายหลาน ที่ยายหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นแม่เพลงอีแซวและใช้ชีวิตตามอัถตภาพ เมื่อยามไม่มีใครจ้างไปแสดงก็เก็บผลไม้ในสวนไปขายพอเลี้งชีวิตไปวันๆ ยายต้องการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมนี้ให้แก่หลาน โดยหวังให้เป็นเครื่องมือเลี้ยงชีพต่อไป แต่หลานไม่ชอบไม่สนใจ ท้ายที่สุดหลานก็ค่อยๆรับเอาความ สามารถที่ยายต้องการจะถ่ายทอด ในช่วงลมหายใจสุดท้ายของยาย คำประพันธ์ในเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยการใช้บรรยายโวหารเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นไปในแต่ละวันและเรื่องราวในอดีตของตัวละคร ด้วยคำที่เป็นกันเอง ตรงตัวและเข้าใจง่าย มีการใช้คำตามบทบาทของตัวละคร เช่น ยายมักใช้คำพูดแบบคนแก่ กระไดแทนบันได หลานสาวใช้คำว่าฮิตแทนเป็นที่นิยม เป็นต้น และจุดเด่นของการเขียนคือ การนำเนื้อเพลงพื้นบ้าน ที่เป็นกลอนเปล่ามาสอด แทรกเล่าเรื่องราวเป็นระยะๆ การถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมบางครั้งก็ได้จากการค่อยๆ สั่งสมและซึมซาบไปทีละเล็กละน้อย ดังนั้นการค่อยปลูกฝังให้เห็นคุณค่าและเรียนรู้วัฒนธรรมโดยตรงจึงเป็นสิ่งที่น่าจะนำมาใช้กัน
ต่อแต่นี้เราอย่าได้เจอกัน
 
ขอให้มันจงเป็นวันสุดท้าย
 
เพราะรู้ดีว่าไม่มีความหมาย
 
ถึงเจ็บเพียงใดฉันก็ต้องตัดใจ
 
<nowiki>*</nowiki> ก็คนนั้นเขาก็ยังพบเธอ
 
ก็เห็นเธอยังไปเดินกับเขา
 
ไม่เคยนึกเลยว่าจะทำกับเรา
 
อุตส่าห์เอาใจเอาความรักจริงมอบให้เธอ
 
ที่แท้เปลืองตัว
 
<nowiki>**</nowiki> อยากให้เธอลองมาเป็น
 
ให้มาเห็นได้มาเจอแบบฉันบ้าง
 
จะได้รู้ว่าที่ทำอย่างนั้นมันท้าทาย
 
จบเพียงนี้มันก็ดีเหมือนกัน
 
จงกลับไปหาคนเก่า
 
ส่วนตัวเรายังคงเดินก้าวไป
 
เจ็บนิดเดียว
 
หากเจอกันก็ไม่ต้องมาทัก
 
คนรักเก่าเขายังดีกว่าฉัน
 
ทางที่ดีเราไม่ต้องเจอกัน
 
เพราะว่าสิ่งนั้นฉันว่ามันไม่ควร
 
( ซ้ำ * , ** , ** )
 
== เรื่องเมืองหลวง ==