ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สุวิทย์ ทองประเสริฐ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Admf victer (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
JBot (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนเนื้อหาอาจละเมิดลิขสิทธิ์ หรือไม่เป็นสารานุกรม ไม่ใช่? แจ้งที่นี่
บรรทัด 120:
|date=14 พฤษภาคม 2557
|accessdate=17 พฤษภาคม 2557}}</ref>
 
'''ถูกจับกุมตัว'''
หลังจากการยึดอำนาจของ คสช. นายสุวิทย์ซึ่งยังบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ก็เคลื่อนไหวแสดงตนอยู่ฝ่าย คสช. มาโดยตลอด และไล่แจ้งจับศัตรูทางการเมืองของตนเอง และผู้ที่เขาไปด่าทอตนเองในเฟชบุ๊ค ซึ่งเป็นที่ไม่พอใจให้กับประชาชนชาวไทยอย่างมาก
 
จนกระทั่งวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 เวลา 06.00 น. พล.ต.ต.อภิชาติ สิริสิทธิ์ รองผบช.ก. พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5.บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่กก.5.บก.ป. พ.ต.อ.เด่นหล้า รัตนกิจ ผกก.ปพ.บก.ป. และคอมมานโด อาวุธครบมือ นำหมายจับศาลอาญา เข้าจับกุมพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือพุทธะอิสระ ที่วัดอ้อน้อย อ.เมือง จ.นครปฐม ในข้อหาสนับสนุนให้มีการปล้นทรัพย์ จากกรณีเมื่อครั้งการชุมนุมของ กปปส.เมื่อปี 2557 ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมกปปส.ที่นำโดยพระสุวิทย์ ที่เวทีแจ้งวัฒนะ ปล้นทรัพย์เป็นอาวุธปืนของตำรวจสันติบาลไป
 
ขณะตรวจค้น พบว่ากุฏิของพระสุวิทย์มีการ์ดดูแลอยู่รอบๆ ในจุดนี้เจ้าหน้าที่กองปราบฯ จึงต้องติดอาวุธทุกนาย เนื่องจากการข่าวสืบพบว่ากลุ่มการ์ดบางคนครอบครองอาวุธปืนด้วย ทั้งนี้ขณะเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่กระจายกันควบคุมตัวการ์ดไว้ และตรวจสอบหมายจับว่าบุคคลใดมีหมายจับหรือไม่ เพราะการ์ดบางคนร่วมชุมนุมที่เวทีแจ้งวัฒนะด้วย จากนั้นก็บุกเข้าไปในกุฏิ พบว่าพระสุวิทย์ อยู่ภายในห้องนอน ไม่ได้ห่มจีวร เพียงแต่นุ่งสบงและสวมอังสะ เจ้าหน้าที่จึงแสดงหมายจับก่อนจับกุมตัว ก่อนนำตัวเข้ามาสอบสวนดำเนินคดีที่กองปราบฯ ทันที
 
'''ข้อหารุนแรงจนต้องฝากขังและสึกจากการเป็นพระ'''
พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกศ ผกก.1 บก.ป.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดประมาณ 60 นาย นำตัวพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือพระพุทธะอิสระ ที่วัดอ้อน้อย อ.เมือง จ.นครปฐม ในข้อหาเป็นผู้ใช้ผู้อื่นทำร้ายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นผู้ใช้ให้ร่วมหน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นข่มขืนใจ เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปล้นทรัพย์ เป็นหัวหน้าอั้งยี่ซ่องโจรที่สมาชิกไปกระทำผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่ซ่องโจร และข้อหาปลอมแปลงพระปรมาภิไธย จากคดีสร้างพระเครื่อง “พระนาคปรก” รุ่น “หนึ่งในปฐพี” โดยใช้เลือด หรือกระทำปะสะโลหิต เดินทางไปขออำนาจศาลอาญาเพื่อขอฝากขังครั้งแรกต่อศาลอาญา เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.-4 มิ.ย.นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น โดยคดีอั้งยี่ซ่องโจรยังจะต้องสอบพยานบุคคลอีกไม่น้อยกว่า 30 ปาก และรอผลตรวจสอบประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา และผลการตรวจพิสูจน์ของกลางจากกองพิสูจน์หลักฐาน ส่วนคดีปลอมพระปรมาภิไธย ต้องรอสอบปากคำพยานอีก 5 ปาก และรอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ
 
ส่วนคำร้องฝากขังคดีปลอมพระปรมาภิไธย ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.60 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับ ผู้ต้องหาที่นำอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่อง โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรม ราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
 
โดยนายวิชัย ผู้กล่าวหา ตรวจพบทางเว็บไซต์ว่าพระเครื่องดังกล่าว มีการสร้างเมื่อช่วงเข้าพรรษาปี 2554 บรรจุปรอทเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2554 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สร้างพระสำเร็จ ผู้กล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 250, 252
 
โดยมีการสอบสวนพยานบุคคล พร้อมทั้งตรวจสอบไปยัง “สำนักพุทธศาสนา” ยืนยันตรงกันว่า ผู้ต้องหาไม่ได้รายงานขอพระราชทานพระบรม ราชานุญาต ตามกฎระเบียบของมหาเถรสมาคม และจากการสอบสวนพยานบุคคลเจ้าหน้าที่กรมราชเลขานุการในพระองค์ ยืนยันว่าผู้ต้องหาไม่ได้ขออนุญาตใช้พระปรมาภิไธยย่อ และอักษรย่อพระนามาภิไธย ตามพฤติการณ์และพยานหลักฐาน จึงยืนยันว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้สร้างพระนาคปรก อุดปรอทรุ่นหนึ่งในปฐพี ที่เป็นปัญหาในคดีนี้จริง โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญอักษรพระปรมาภิไธย และอักษรพระนามาภิไธยย่อไปประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องดังกล่าว เหตุเกิดที่วัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ระหว่างปี 2554-15 ส.ค.2554
 
พนักงานสอบสวน จึงแจ้งข้อหาฐานปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 250, 252
 
ต่อมาเมื่อเวลา 18.00 น. ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว พุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ทองประเสริฐ อายุ 59 ปี เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และอดีตแกนนำ กปปส. โดยศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ความหนัก-เบาของข้อหาในส่วนคดีอั้งยี่ซ่องโจร ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงและหลายข้อหา อีกทั้งมีผู้ร่วมกระทำผิดอีกหลายราย และ ผู้ต้องหาก็ยังเป็นบุคคลเดียวกับผู้ต้องหาในคดี ปลอมพระปรมาภิไธยฯ (พ.1107/2561) ประกอบกับพนักงานสอบสวน ก็คัดค้านการประกันตัวด้วย หากปล่อยชั่วคราวก็เกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ในชั้นนี้จึงยังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ให้ยกคำร้อง
 
ส่วนคดี พ.1107/2561 ปลอมพระปรมาภิไธยฯ ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ความหนัก-เบาของข้อหาแล้ว เห็นว่าการกระทำของผู้ต้องเป็นความผิดร้ายแรง และเกี่ยวพันกับคดีอั้งยี่ซ่องโจร (พ.1106/2561) หากปล่อยชั่วคราวก็เกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ในชั้นนี้จึงยังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ให้ยกคำร้อง
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว เจ้าหน้าที่นิมนต์ พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ 3 รูป จากวัดเสมียนนารี และเจ้าหน้าที่อีก 3 คนจาก พศ. มาสึกจากความเป็นพระ โดยถอดผ้าเหลือง แล้วให้สวมชุดขาว ภายในห้องควบคุมผู้ต้องขังของราชทัณฑ์ ใต้ถุนศาล ก่อนคุมตัวนายสุวิทย์ขึ้นรถกระบะของเรือนจำ ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ