ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฮิปปี้"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
แปลข้อมูลในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ ให้กลายมาเป็นภาษาไทย และยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่แปล ป้ายระบุ: เพิ่มยูอาร์แอล wikipedia.org การแก้ไขแบบเห็นภาพ |
แก้ไขบางส่วน |
||
บรรทัด 8:
ในประเทศไทยเรียกฮิปปี้ ว่า พวก'''บุปผาชน''' โดยอธิบายไว้ว่า เป็นพวกที่รัก อิสระเสรีภาพ ทั้งการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ทั้งการแต่งกาย ไม่ภูมิฐาน ฟุ้งเฟ้อหรือยึดติดกับสิ่งของราคาแพง<ref>[http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/sciencebook3/3/index49.htm กำเนิดฮิปปี้]</ref>
อเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 60 เป็นยุคของเบบี้บูม คือ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาได้ประกาศว่าตัวเองคือผู้ชนะสงคราม และ เป็นผู้นำโลกเสรี ผู้คนในประเทศอยู่ในบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง มีความสุข กับการแต่งงาน มีลูก มีรถ มีบ้าน มีหน้าที่การงานที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดค่านิยมทางสังคมที่เรียกกันว่า American dream ทำให้คนในประเทศหันมาสนใจในระบบของทุนนิยม แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง สถาบันของรัฐสั่นคลอนด้วยวิกฤตศรัทธาในคดีวอเตอร์เกด อเมริกาจึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามที่ตัวเองเคยชนะและภูมิใจ แต่สงครามครั้งใหม่นี้เกิดขึ้นที่เวียดนาม ก่อให้เกิดความเสียหายใน
Hippie มีต้นกำเนิดมาจากผู้คนในเมือง San Fancisco ที่ต้องการจะต่อต้านระบบทุนนิยม หรือ วัตถุนิยม ซึ่งเกิดมาจากผลสะท้อนจากเหตุการณ์ทางสังคม และ ความเป็นไปหลายอย่างในประเทศที่มีความรุ่งเรืองทางอุตสาหกรรม โดยมีปรัชญาในการใช้ชีวิตที่ปฏิเสธระบบสังคมแบบอุตสาหกรรม โดยให้เหตุผลว่า วัตถุช่วยให้เรามีความสุขแค่ชั่วขณะ ไม่มีคุณค่าในด้านความสุขทางจิตใจ เป็นความสุขที่ไม่จีรัง พวก hippie ส่วนใหญ่ล้วนมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี มักเป็นลูกคนรวยที่เคยเห็นและเคยสัมผัสชีวิตที่หรูหรามาแล้ว แต่ก็พบว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ซึ่งพวก hippie เป็นจำนวนมากเคยมีประสบการณ์ที่เห็นพ่อแม่ซึ่งเป็นนักธุรกิจ มีชีวิตที่หรูหราในสังคม แต่หาได้มีความสุขกับคนในครอบครัวไม่ บ้านอาจจะใหญ่โตมโหฬาร แต่พ่ออาจเป็นแผลในกระเพาะ เพราะมีความกังวลเรื่องงานและการแข่งขันทางธุรกิจกับผู้อื่น บุตรจึงไม่ได้รับความอบอุ่นจากการดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร และเมื่อมันเป็นเช่นนี้พวกวัยรุ่นหนุ่มสาวเหล่านี้จึงเริ่มมีความสนใจในการที่จะใช้ชีวิตที่ตรงกันข้ามกับพ่อแม่ของตัวเองที่นิยมใช้ชีวิตอยู่บนสังคมที่มีความเจริญทางอุตสาหกรรมเป็นแกนหลัก กล่าวคือวัยรุ่นเหล่านี้เกิดปฏิกิริยาเกลียดชังความฟุ้งเฟ้อทางวัตถุ ปฏิเสธความสำคัญของการครองชีพที่มีระเบียบแบบแผน และ แสดงพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับจารีต
==
การเคลื่อนไหวของพวกฮิปปี้ในสหรัฐอเมริกาเกิดจากการรวมกลุ่มประท้วงจากพวกเยาวชนที่ต้องการออกมาเรียกร้องสันติภาพ จากสงครามเวียดนาม และ ต่อต้านระบบทุนนิยม โดยส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นผิวขาว และ หนุ่มสาว วัยประมาณ 15ปี ถึง 25ปี ซึ่งพวกฮิปปี้ได้สืบทอดแนวคิดความแปลกแยกทางวัฒนธรรมมาจากพวก โบฮีเมียน (Bohemians) และ บีตนิก (Beatniks) ในช่วงปลายของยุค 50s โดยได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่มนักเขียนในอเมริกาที่เรียกตัวเองว่า “Beat Generation” โดยนักเขียนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มนักเขียนที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง มีวิถีชีวิตที่ต้องการแสวงหาตัวตน ใช้ชีวิตอยู่กับการทดลองเสพยาเสพติด มีเพศสัมพันธุ์แบบเสรีไม่ยึดติดกับกรอบของประเพณี
ในปี 1965 ฮิปปี้ได้กลายเป็นกลุ่มสังคมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา และ การเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมฮิปปี้ก็ได้แพร่ขยายไปสู่ประเทศ
==
ในช่วงฤดูร้อนปีค.ศ. 1967 เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมที่น่าจดจำครั้งหนึ่งเมื่อผู้คนเกินแสนคนเดินทางมาสู่ถนนไฮต์-แอสบิวรี (Haight-Ashbury) ในซานฟรานซิสโก (San francisco) ซึ่งในช่วงเวลานั้นกระแสฮิปปี้กำลังเป็นที่นิยมใน
▲==== '''SUMMER OF LOVE (1967)''' ====
▲ในช่วงฤดูร้อนปีค.ศ. 1967 เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมที่น่าจดจำครั้งหนึ่งเมื่อผู้คนเกินแสนคนเดินทางมาสู่ถนนไฮต์-แอสบิวรี (Haight-Ashbury) ในซานฟรานซิสโก (San francisco) ซึ่งในช่วงเวลานั้นกระแสฮิปปี้กำลังเป็นที่นิยมในหลายๆแห่งทั่วอเมริกา และ ในยุโรป แต่แหล่งใหญ่ที่ถือว่าเป็นศูนย์กลาง และ เป็นจุดกำเนิดของวัฒนธรรมฮิปปี้อยู่ที่ย่าน ไฮต์-แอสบิวรี ในซานฟรานซิสโก ซึ่งในฤดูร้อนนี้กลายเหตุการณ์สำคัญที่สรุปความเป็นฮิปปี้ได้อย่างดี เกิดการชุมนุมกันอย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดประสงค์หลักคือการเผยแพร่แบ่งปันมิตรภาพ ความรัก อุดมคติในการใช้ชีวิต และ อาจจะเป็นเหตุการณ์แรกที่ทำให้วัยรุ่นหนุ่มสาวออกมาแสดงพลังทางสังคมครั้งใหญ่ที่เป็นรูปธรรมอย่างเห็นได้ชัด
ในวันที่ 14 มกราคม 1967 ได้มีการจัดนิทรรศการ “Human Be-In” ซึ่งถูกจัดขึ้นโดย Michael Bowen โดยมีการรวบรวมพวกฮิปปี้ถึง 20,000 คน ในสวน Golden Gate ของ San francisco โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมฮิปปี้ในประเทศสหรัฐอเมริกา
เส้น 33 ⟶ 32:
ปรัชญาการแบ่งปันของพวกฮิปปี้ได้รับการยอมรับและได้ขยับขยายกลายเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน เช่น กลุ่มผู้ก่อตั้งโรงละคร Diggers ได้แจกอาหารฟรี และ เปิดโรงละครให้เป็นที่พักอาศัยแก่เหล่าผู้คนที่เข้ามาในย่านไฮท์-แอสบิวรี่ กลุ่มทางการแพทย์ก็เปิดคลินิกให้รักษาฟรี และ ที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือการได้เสพย์สิ่งเสพติดทั้ง กัญชา LSD ที่ทำให้รู้สึกเคลิ้บเคลิ้ม สิ่งเหล่านี้ทำให้ชื่อเสียงของย่านไฮท์-แอสบิวรี่ (Haight-Ashbury) เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว
วูดสต็อก หรือ เทศกาลดนตรีและศิลปะวูดสต็อก
งานถูกจัดขึ้นที่ไร่ของนาย แมกซ์ ยาสเกอร์ (Max Yasgur) เกษตรกรเจ้าของพื้นที่เลี้ยงโคนม 600 เอเคอร์ ใกล้กับเมืองเบเธล (Bethel) รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เขาได้อนุญาตให้มีการจัดคอนเสิร์ตนี้ในที่ดินของเขา มีการประเมินกันว่าคอนเสิร์ตนี้มีคนมาร่วมงานอย่างน้อย 3 แสนคน บางสื่อรายงานว่ามีคนเข้าร่วมงานนี้ถึง 5 แสนคน จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
เส้น 40 ⟶ 39:
แม้ในช่วงเวลาที่จัดเทศกาลนี้จะมีฝนตกลงมาอยู่ตลอด ทำให้เกือบทั่วทั้งพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยโคลน แต่ผู้คนจำนวนมากก็ยังต้องการเข้าร่วมเทศกาลนี้ โดยก่อนเริ่มงานมีการจำหน่ายตั๋วเข้าชมออกไปกว่า 186,000 ใบ คณะผู้จัดงานมีการคาดการณ์กันว่าจะมีคนมาร่วมงานประมาณ 2 แสนคน แต่เมื่อถึงวันจริงมีผู้มารอชมคอนเสิร์ตเกินไปจากที่คาดไว้มาก ทำให้ในที่สุดคณะผู้จัดงานได้เปิดให้เข้าชมฟรี และเมื่อคนทั่วไปรับรู้ว่าคอนเสิร์ตนี้เข้าชมฟรี ทำให้มีคนหลั่งไหลกันเข้ามาร่วมงานเพิ่มขึ้นจนเต็มพื้นที่ กล่าวกันว่าการจราจรบนถนนที่มุ่งหน้ามาสู่พื้นที่นี้ติดขัดยาวถึง 13 กิโลเมตร ผู้เข้าร่วมงานเรียกกันเองว่า 'Woodstock Nation' ซึ่งเป็นเสมือนความ Cool หรือ Hip แห่งยุคสมัย Woodstock Nation กว่าครึ่งล้านรวมตัวกันเพื่อเข้ามาชมดนตรีจากศิลปิน 32 ดัง อาทิ โจน เบซ (Joan Baez), วง Sha-Na-Na, เจฟเฟอร์สัน แอร์เพลน (Jefferson Airplane) และปิดฉากเทศกาลดนตรีวูดสต็อกโดยการแสดงของ จิมิ เฮนดริกซ์ (Jimi Hendrix) นั่นเอง
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ
มีการจัดคอนเสิร์ตรำลึก 25 ปีเทศกาลวูดสต็อกในปี 1994 แต่ในคอนเสิร์ตรำลึก 30 ปีเทศกาลวูดสต็อกในปี 1999 เทศกาลนี้กลายเป็นเทศกาลที่เต็มไปด้วยยาเสพติด เซ็กซ์ ความรุนแรงจากการยกพวกตีกัน และการข่มขืน จนเกิดเป็นที่สิ้นสุดของการจัดงานรำลึกเทศกาลวูดสต็อก ทำให้เทศกาลวูดสต็อกกลายเป็นเพียงตำนานและต้นแบบของเทศกาลดนตรีในยุคสมัยต่อมา
==
คำว่าฮิปปี้ (Hippie) มาจากคำว่า ฮิปสเตอร์( hipster) ซึ่งถูกใช้เรียกพวกที่ทำตัวแตกต่างจากคนส่วนมากในสังคม ซึ่งวิถีชีวิตของฮิปปี้จะมีลักษณะที่เป็นอิสระ รักในสันติภาพ ปฏิเสธการใช้ควมรุนแรง มักชอบทำตัวแปลกแยกออกจากสังคม ต่อต้านระบบทุนนิยม ชอบอยู่กับธรรมชาติอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กินมังสวิรัติ หลงใหลในพุทธศาสนา ชอบสวดมนต์ นั่งสมาธิ แสวงหาความสุขที่เป็นนิรันดร์ และวัฒนธรรมของชาวตะวันออก อย่างเช่น ประเทศอินเดีย เนปาล รวมไปถึงประเทศไทยด้วย พวกเขาหลงไหลในศิลปะแบบไซเคเดลิก(Psychedelic) ซึ่งหมายถึงศิลปะที่แหกกฎ ฉีกจากทฤษฎี
'''สิ่งเสพย์ติด (Drug)'''▼
ถ้าพูดถึงวัฒนธรรมฮิปปี้สิ่งที่จะนึกออกก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการใช้ยาเสพติด โดยส่วนใหญ่พวกฮิปปี้จะนิยมเสพย์สิ่งเสพติดที่ให้ความรู้สึกเคลิ้บเคลิ้ม ผ่อนคลาย มีอาการหลอนประสาท อย่างเช่น กัญชา (Cannabis & marijuana) LSD (Lysergic acid diethylamide) ซึ่งสิ่งเหล่านี้พวกเขาได้รับอิทธิพลมาจากคนรุ่น Beat Generation สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ทางการเมือง การต่อต้านสงครามเวียดนาม พวกเขาให้เหตุผลในการเสพย์ว่าสิ่งของมึนเมาเหล่านี้เปรียบเสมือนยานพาหนะที่ใช้ในการแสวงหาความสุขที่เป็นนิรันดร์ บ้างก็ว่ามันสามารถพาเราไปถึงจุดนิพพานได้ โดยหลังจากการเสพย์แล้วมันทำให้ผู้เสพย์รู้สึกมีความสุขขึ้นได้ทันที มันทำให้ประสาทการรับรู้เปิดกว้างมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในความคิดสร้างสรรค์ทั้งในด้านดนตรี และศิลปะ บ้างก็บอกว่ามันจะนำพาเราไปสู่สภาวะเหนือตัวตนของจิตใต้สำนึก สิ่งเหล่านี้ได้มีอิทธิพลอย่างมากต่อวิถีชีวิตของพวกฮิปปี้ทั้งทั้งในด้านการแสดงออกของตัวตนต่อสังคม แนวดนตรี หรืองานศิลปะ รวมไปถึงแฟชั่นการแต่งกายด้วย ซึ่งผลงานส่วนจะมีลักษณะการใช้สีที่สดใส หรือสีสะท้อนแสง มาทับซ้อนกันทำให้เกิดเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกมึนเมา เคลิ้บเคลิ้ม โดยส่วนใหญ่ศิลปินที่ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมฮิปปี้จะเสพกัญชา หรือ LSD ก่อนลงมือทำงานศิลป์เพื่อขยายอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ผลงานส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่ฉีกกฎจากทุกทฤษฏี มีความอิสระในตัวเอง ไม่มีกรอบมาจำกัดความงาม แสดงให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}
[[หมวดหมู่:วัฒนธรรมย่อย]]
[[หมวดหมู่:แฟชั่น]]
|