ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปฏิบัติการวัลคือเรอ"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1:
{{ความหมายอื่น||ภาพยนตร์ซึ่งอิงเนื้อหาของแผนการดังกล่าว ในปี ค.ศ. 2008|ดูที่=ยุทธการดับจอมอหังการ์อินทรีเหล็ก}}
{{ลิงก์ไปภาษาอื่น}}
'''ปฏิบัติการวาลคิรี''' ({{lang-de|Unternehmen Walküre}}) เป็นแผนปฏิบัติการ[[:en:Continuity of government|ความต่อเนื่องของรัฐบาล]]ในวาระฉุกเฉิน
อย่างไรก็ดี นายทหารจากกองทัพบกเยอรมัน คือนายพล
== แผนการ ==
แผนการดั้งเดิมได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินภายในประเทศ โดยกองเสนาธิการของนายพลฟรีดริช
แผนการวาลคิรีดั้งเดิมมีเจตนาเพียงที่จะจัดยุทธศาสตร์เพื่อเตรียมความพรั่งพร้อมและความพร้อมรบของกองกำลังสำรองที่มีหน่วยในสังกัดต่างๆ กระจายกันอยู่เท่านั้น แต่นายพลออลบริชต์ได้ดัดแปลงโดยการเพิ่มเติมส่วนที่สองของแผนการดังกล่าวเข้าไป ซึ่งทำให้กลายเป็นการเรียกระดมหน่วยต่างๆ ในกองกำลังสำรองให้มาประกอบกำลังกันโดยเร่งด่วน เพื่อจัดตั้งเป็นกองทัพที่พร้อมสามารถปฏิบัติการรบได้ทันที ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 พันเอกเทรสคอว์พบว่า การดัดแปลงแก้ไขของนายพลออลบริตช์ก็ยังคงไม่เพียงพอ จึงได้ขยายแผนการวาลคิรีออกไปอีก และร่างคำสั่งเพิ่มเติม โดยกำหนดให้มีการออกประกาศลับที่ขึ้นต้นด้วยด้วยประโยค (ลวง) ที่ว่า
▲แผนการดั้งเดิมได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินภายในประเทศ โดยกองเสนาธิการของนายพลฟรีดริช ออลบริชต์<ref name="Ref-1">Joachim Fest, ''Plotting Hitler's Death: The German Resistance to Hitler, 1933–1945'', 1996, p219</ref> และได้รับการรับรองเห็นชอบจากฮิตเลอร์เอง อันที่จริง แนวคิดในการวางแผนดึงเอากองกำลังสำรองของกองทัพบกเยอรมนีในแนวหลัง (ในดินแดนเยอรมันเองหลังแนวรบ) มาใช้ในการก่อ[[รัฐประหาร]]เคยมีการหยิบยกขึ้นพิจารณากันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการก่อรัฐประหารของนายพลโท[[:en:Friedrich Fromm|ฟรีดริช ฟรอมม์]] ผู้บังคับบัญชากองกำลังสำรองและนายทหารคนเดียวที่จะสามารถออกคำสั่งเริ่มปฏิบัติการวาลคิรีได้ถัดลงมาจากฮิตเลอร์ ได้เป็นอุปสรรคต่อคณะรัฐประหารอย่างร้ายแรง แต่กระนั้น หลังจากบทเรียนที่ได้รับมาหลังจาก[[:en:Operation Spark (1940)|ความพยายามลอบสังหารฮิตเลอร์]] ในวันที่ [[13 มีนาคม]] [[ค.ศ. 1943]] แล้ว นายพลออลบริชต์รู้สึกว่าแผนการก่อรัฐประหารดั้งเดิมนั้นไม่เพียงพอ และจะต้องมีการดึงเอากองกำลังสำรองมาใช้ในการก่อรัฐประหารด้วยให้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือจากนายพลฟรอมม์ก็ตาม
{{คำพูด|[[ฟือเรอร์|ท่านผู้นำ]]ฮิตเลอร์เสียชีวิตแล้ว! พวกผู้นำทรยศของพรรคนาซีกำลังพยายามใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้โดยการแทงข้างหลังกองทัพ และยึดอำนาจไว้เอง}}
คำสั่งอย่างละเอียดได้ถูก
▲แผนการวาลคิรีดั้งเดิมมีเจตนาเพียงที่จะจัดยุทธศาสตร์เพื่อเตรียมความพรั่งพร้อมและความพร้อมรบของกองกำลังสำรองที่มีหน่วยในสังกัดต่างๆ กระจายกันอยู่เท่านั้น แต่นายพลออลบริชต์ได้ดัดแปลงโดยการเพิ่มเติมส่วนที่สองของแผนการดังกล่าวเข้าไป ซึ่งทำให้กลายเป็นการเรียกระดมหน่วยต่างๆ ในกองกำลังสำรองให้มาประกอบกำลังกันโดยเร่งด่วน เพื่อจัดตั้งเป็นกองทัพที่พร้อมสามารถปฏิบัติการรบได้ทันที ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 พันเอกเทรสคอว์พบว่า การดัดแปลงแก้ไขของนายพลออลบริตช์ก็ยังคงไม่เพียงพอ จึงได้ขยายแผนการวาลคิรีออกไปอีก และร่างคำสั่งเพิ่มเติม โดยกำหนดให้มีการออกประกาศลับที่ขึ้นต้นด้วยด้วยประโยค (ลวง) ที่ว่า ''"[[ฟือเรอร์|ท่านผู้นำ]]ฮิตเลอร์เสียชีวิตแล้ว! คณะผู้นำพรรคนาซีผู้ทรยศได้พยายามที่จะใช้ประโยชน์จากการณ์นี้โดยการโจมตีเหล่าทหารจากแนวหลัง และยึดอำนาจไว้เอง"''
▲คำสั่งอย่างละเอียดได้ถูกยกร่างขึ้น เพื่อเตรียมสำหรับการเข้ายึดครองกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาลใน[[เบอร์ลิน|กรุงเบอร์ลิน]] กองบัญชาการใหญ่ของฮิมม์เลอร์ในปรัสเซียตะวันออก สถานีวิทยุและสถานีโทรศัพท์ และกลไกของระบอบนาซีในมณฑลทหารบกต่างๆ และ[[ค่ายกักกัน]]<ref name="Ref-1"/> (ก่อนหน้านี้ เป็นที่เชื่อกันว่าพันเอก[[:en:Claus Schenk von Stauffenberg|เคลาส์ เชงค์ ฟอน สเตาฟเฟนเบิร์ก]]รับผิดชอบต่อแผนการวาลคิรี แต่ในเอกสารที่ถูกค้นพบหลังจากสงครามยุติโดยสหภาพโซเวียต ซึ่งเผยแพร่ในปี [[ค.ศ. 2007]] ได้ชี้ว่า แผนการดังกล่าวได้รับการพัฒนาขึ้นโดยพันเอกเทรสคอว์ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 1943<ref> [http://www.atypon-link.com/OLD/doi/pdf/10.1524/VfZg.2007.55.2.331 Peter Hoffmann, "Oberst i. G. Henning von Tresckow und die Staatsstreichpläne im Jahr 1943]</ref>) ข้อมูลทั้งหมดถูกเขียนขึ้นและเก็บรักษาไว้โดยภรรยาและเลขานุการของพันเอกเทรสอคว์ ซึ่งทั้งสองคนใส่ถุงมือเพื่อปิดบังรอยนิ้วมือเอาไว้ตลอดเวลา<ref>Joachim Fest, ''Plotting Hitler's Death: The German Resistance to Hitler, 1933–1945'', 1996, p220</ref>
ใจความหลักของแผนการดังกล่าว คือการหลอกให้กองกำลังสำรองเข้ายึดอำนาจและล้มล้างรัฐบาลพลเรือนยามสงครามของเยอรมนี โดยให้ข้อมูลเท็จว่า หน่วยเอสเอสพยายามจะก่อการรัฐประหารและได้ลอบสังหารฮิตเลอร์แล้ว ปัจจัยที่สำคัญคือ นายทหารระดับล่าง (ผู้ซึ่งแผนการนี้ถือว่าจะเป็นผู้นำแผนการไปปฏิบัติ) จะถูกลวงและกระตุ้นให้กระทำการดังกล่าว จากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า กลุ่มผู้นำรัฐบาลพลเรือนนาซีได้ประกอบพฤติกรรมที่ขาดความจงรักภักดีและทรยศต่อรัฐ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องล้มล้างลงเสีย เหล่าผู้สมคบคิดในแผนการนี้ตั้งความหวังไว้กับการที่เหล่าทหารที่ได้รับคำสั่งจะยอมทำตามคำสั่ง (หลอก) ของพวกเขาด้วยดี หากคำสั่งดังกล่าวมาจากช่องทางการสั่งการและบังคับบัญชาที่ถูกต้อง กล่าวคือ ผ่านทางกองบัญชาการกองกำลังสำรองมา โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินหลังจากฮิตเลอร์ถูกสังหารแล้ว
|