ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อำเภอธาตุพนม"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Depanom (คุย | ส่วนร่วม)
Depanom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 31:
ในสมัยโบราณเมืองพนมถูกรายล้อมด้วยเวียงข้าพระธาตุพนม ๔ แห่ง คือ เวียงปากเซหรือเมืองกะบอง (ปัจจุบันคือเมืองหนองบก ประเทศสาธาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) เวียงปากก่ำกรรมเวรหรือเมืองปากก่ำ (ปัจจุบันคือตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม) เวียงขอมกระบินหรือเมืองกบิล (ปัจจุบันคืออำเภอนาแก)<ref>http://na-kae.blogspot.com/</ref> เวียงหล่มหนองหรือเมืองมรุกขนคร (ปัจจุบันคือตำบลพระกลางทุ่ง นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่าเป็นตำบลดอนนางหงส์) นอกจากนี้ เมืองพนมยังมีภูมิศาสตร์การวางผังเมืองขนานยาวกับแม่น้ำโขงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และมีโครงสร้างการวางผังเมืองตามคติจักรวาลวิทยาของขอมโบราณ คือประกอบด้วยกำแพงล้อมรอบถึง ๓ ชั้น ประกอบด้วยพื้นที่สำคัญของเมือง ๓ ส่วน ส่วนแรกคือหัวเมือง เป็นที่ตั้งของ '''วัดหัวเวียง''' ปัจจุบันคือวัดหัวเวียงรังษี และเป็นที่ตั้งของชุมชนข้าโอกาสพระธาตุพนมดั้งเดิมคือ [[บ้านหัวบึง]] บ้านหนองหอย เป็นต้น ส่วนต่อมาคือกลางเมืองหรือตัวเมือง เป็นที่ตั้งขององค์พระธาตุพนมซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจพุทธหรือฝ่ายศาสนจักร ในจารึกวัดพระธาตุพนมแสดงให้เห็นว่าวัดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ประทับของพระสังฆราช และพระผู้ช่วยปกครองเรียกว่า เจ้าด้าน มากถึง ๔ รูป นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของหอเจ้าเฮือน ๓ พระองค์ซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจผี เป็นที่ตั้งของ[[บึงธาตุ]]ซึ่งเป็นตัวแทนของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองโบราณทิศตะวันออกริมฝั่งโขงซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจการปกครองของเจ้านาย ส่วนทิศตะวันตกของส่วนตัวเมืองนั้นเป็นที่ตั้งของชุมชนข้าโอกาสพระธาตุพนมดั้งเดิมคือ [[บ้านดอนกลาง]]หรือ[[บ้านดอนจัน]] ส่วนสุดท้ายคือท้ายเมืองหรือปลายเมือง เป็นที่ตั้งของแม่น้ำเก่าแก่คือ[[แม่น้ำก่ำ]] ซึ่งอุรังคธาตุนิทานกล่าวว่า เดิมตอนใต้แม่น้ำแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งราชสำนักของกษัตริย์ที่มาร่วมสร้างพระธาตุพนม และยังเป็นที่ตั้งของชุมชนข้าโอกาสพระธาตุพนมดั้งเดิมคือ [[บ้านน้ำก่ำ]] ไปจนถึงเขตตัวเมืองมุกดาหารอีกด้วย
 
ในอุรังคธาตุและพื้นธาตุพนมกล่าวว่า ในสมัย[['''พระยานันทเสน''']]กษัตริย์[[เมืองศรีโคตรบูร]] (ก่อน พ.ศ. ๑๘๙๖ ) พระองค์ทรงเป็นเค้าอุปถากพระธาตุพนม จากนั้นพระองค์ทรงแต่งตั้งเจ้า ๓ พี่น้องซึ่งเป็นพระราชนัดดาของพระองค์ให้ปกครองข้าโอกาสพระธาตุพนมโดยแบ่งออกเป็น ๓ กอง ได้แก่ '''พระยาสหัสสรัฏฐา''' (เจ้าแสนเมือง) ปกครองกองข้าโอกาสนอกกำแพงพระมหาธาตุ '''พระยาทักขิณรัฏฐาˈ''' (เจ้าเมืองขวา) ปกครองกองข้าโอกาสในกำแพงพระมหาธาตุ และ'''พระยานาคกุฏฐวิตถาร''' (เจ้าโต่งกว้าง) ปกครองกองข้าโอกาสฝั่งซ้ายน้ำโขงตลอดจนปาก[[น้ำเซ]]ไหลตกปาก[[น้ำก่ำ]] เจ้านายทั้ง ๓ พระองค์นี้ ต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็น[[มเหศักดิ์]][[หลักเมือง]]ธาตุพนมสืบมาจนถึงปัจจุบัน และนับถือกันกว่าทรงเป็นวิญญาณบรรพบุรุษรุ่นแรกของข้าโอกาสพระธาตุพนม เรียกว่า '''[[เจ้าเฮือนทั้ง ๓]]''' หรือ '''[[เจ้าเฮือน ๓ พระองค์]]''' ต่อมาในอุรังคธาตุผูกเดียวกล่าวว่าพระธาตุพนมถูกอุปถากโดย '''พระยาปะเสน''' จากนั้นในสมัยพระยาสุมิตธรรมวงศาเจ้าเมืองมรุกขนคร (ก่อน พ.ศ. ๑๘๙๖) พระองค์ได้แต่งตั้งให้'''หมื่นลามหลวงหรือ''' (หมื่นหลวง) เป็นเค้าอุปถากโดยมีนายด่านนายกองช่วยปกครองธาตุพนม พร้อมทั้งมอบเงินทองให้เป็นเครื่องตอบแทน ต่อมาในสมัยพระยาสุบินราชพระองค์โปรดฯ ให้ '''หมื่นมาหารามหลวง''' และ '''พวกเฮือนหิน''' เป็นเค้าอุปถาก เมื่ออาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลงในสมัยล้านช้างตอนต้นคือรัชกาลของพระเจ้าโพธิสาลราช (พ.ศ. ๒๐๖๓-๒๐๙๐) เมืองพนมถูกปกครองโดยขุนนางข้าหัตบาสใกล้ชิดของพระเจ้าโพธิสาลราชจากราชสำนักเมืองหลวงพระบางนามว่า '''[[พันเฮือนหิน]]''' (พันเฮือหีน) พร้อมทั้งได้รับพระราชทานบริวารคอยติดตามจำนวนมากให้อีกราว ๓๐ นาย เรียกว่า กะซารึม ๓๐ ด้ามขวาน นอกจากนี้ยังแต่งตั้ง '''[[พันซะเอ็ง]]''' ([[ข้าชะเอ็ง]]) พี่ชายของพันเฮือนหินให้เป็นผู้ปกครองธาตุพนมร่วมกันด้วย <ref>พระธรรมราชานุวัตร (แก้ว อุทุมมาลา), ''อุรังคธาตุนิทาน : ตำนานพระธาตุพนม (พิศดาร) ''. กรุงเทพฯ. ๒๕๓๗.</ref> อย่างไรก็ตามพันเฮือนหินได้กลับคืนไปอยู่หลวงพระบางแล้วทำหน้าที่อัญเชิญเครื่องสักการะบูชาของพระองค์ลงมานมัสการพระธาตุพนมในวันสังขานปีใหม่แทน จากนั้นในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมหาราช (พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๔) พระองค์ได้เสด็จมาบูรณะพระธาตุพนมที่เมืองพนมพร้อมทั้งโปรดเกล้าแต่งตั้ง '''[[พระยาทาด/พระยาธาตุพระนม]]''' หรือ '''พระยาพระมหาธาตุเจ้า'''<ref>พื้นอุลํกาธา ฉบับหอสมุดแห่งชาติ บ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี หน้าลานที่ ๒๔</ref> ขึ้นเป็นเจ้าโอกาสรักษานครพระมหาธาตุพนม โดยมี '''พระยาทั้ง ๔''' เป็นผู้ช่วยราชการ<ref>อุลังกทาดผูกเดียว ฉบับวัดอับเปวันนัง บ้านบกท่ง เมืองจำพอน แขวงสะหวันนะเขด หน้าลานที่ ๑๓</ref> ต่อมาในสมัยหลังพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชแห่งนครเวียงจันทน์ [[เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก]]สังฆราชแห่งเวียงจันทน์ได้อพยพผู้คนจากนครเวียงจันทน์บางส่วนมาถวายไว้เป็นข้าพระธาตุพนมจำนวนมาก พร้อมทั้งต่อเติมเสริมยอดพระธาตุพนมให้สูงขึ้น ในตำนานบ้านดงนาคำซึ่งเป็นหมู่บ้านข้าโอกาสพระธาตุพนมทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงกล่าวว่า เจ้าราชครูหลวงได้ตั้งให้พระสงฆ์ฝ่ายปกครอง ๔ รูปปกครองวัดวาอารามทั้ง ๔ ทิศในเขตเมืองพนม เรียกว่า '''[[เจ้าด้านทั้ง ๔]]''' จากนั้นทรงขออนุญาตเจ้านายผู้ปกครองกองข้าโอกาสพระธาตุพนมซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ กอง ให้เป็นผู้นำพาประชาชนจากเวียงจันทน์ออกไปตั้งหมู่บ้านใหม่เพื่อให้ข้าโอกาสพระธาตุพนมมีจำนวนเพิ่มขึ้น คือ '''[[แสนกลางน้อยศรีมุงคุล]]''' หัวหน้าข้าโอกาสให้นำพาผู้คนไปตั้งบ้านหมากนาว<ref>เชื่อว่าเป็นองค์เดียวกันกับอาชญาหลวงกลางน้อยศรีวรมุงคุล (ศรี รามางกูร) เจ้าเมืองธาตุพนม แต่เมื่อเทียบศักราชช่วงที่ปกครองแล้วห่างกันมาก</ref> '''[[แสนพนม]]''' ให้นำพาผู้คนไปตั้งบ้านดงใน '''[[แสนนามฮาช]]''' (แสนนาม) ให้นำพาผู้คนไปตั้งบ้านดงนอก ทั้งสามท่านยังเป็นต้นตระกูลข้าโอกาสพระธาตุพนมทั้งสองฝั่งโขงสืบมาจนปัจจุบัน<ref>พระเทพรัตนโมลี, ''เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (ท่านเจ้าราชครูขี้หอม)''. กรุงเทพฯ. ๒๕๒๘.</ref>
 
ภายหลังการสถาปนาราชอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์แล้ว (พ.ศ. ๒๒๕๖) เมืองพนมได้กลายเป็นเมืองชายพระราชอาณาเขตหรือ[[เมืองขอบด่าน]] ต่อเขตแดนระหว่าง[[ราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์]]และ[[ราชอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์]] โดยมีเมืองละคร ([[นครพนม]]) ซึ่งขึ้นกับนคร[[เวียงจันทน์]] และมีเมืองบังมุก ([[มุกดาหาร]]) ซึ่งขึ้นกับนคร[[จำปาศักดิ์]] ทั้งสองเมือง เป็นผู้ร่วมกันรักษาดูแลเมืองพนม โดยแบ่งเขตแดนเมืองกันที่หน้าลานพระบรมธาตุเจ้าพนม ทำนองเดียวกันกับพระธาตุศรีสองรักแห่งเมืองด่านซ้าย ซึ่งเป็นเมืองขอบด่านต่อแดนระหว่างราชอาณาจักรศรีสัตนาคนหุตและราชอาณาจักรศรีอยุธยา<ref>http://place.thai-tour.com/loei/dansai/271</ref> ดังนั้นเมืองพนมจึงมีสถานะพิเศษแตกต่างจากหัวเมืองหลายเมืองในแผ่นดิน[[ลาว]]และ[[อีสาน]]<ref>http://www.thatphanom.com/2300.html</ref> อย่างไรก็ตาม โดยราชธรรมเนียมแล้วเจ้าเมืองนครพนมมักมีอำนาจในการแต่งตั้งเจ้านายชั้นสูงมาปกครองเมืองพนม อันเนื่องมาจากเมืองมุกดาหารเป็นหัวเมืองที่มีอำนาจน้อยกว่า ในจารึกลานเงินพระธาตุพนมสมัยปลายรัชกาลพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชหรือสมัยพระยาจันทสีหราช (พระยาเมืองแสน) กล่าวว่าเจ้านครวรกษัตริย์ขัติยราชวงศา (พ.ศ. ๒๒๓๘) ได้สิทธิพระพรนามกรมาให้ '''[[แสนจันทรานิทธสิทธิมงคลสุนทรอมร]]''' สันนิษฐานว่าแสนจันทรานิทธผู้นี้คือขุนโอกาสเมืองพนมในสมัยนั้น ต่อมาในสมัยปลายอยุธยา เมืองพนมได้ถูกปกครองโดยกลุ่มตระกูลเจ้านายจากราชวงศ์เวียงจันทน์พระนามว่า '''[[เจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร)]]''' ซึ่งในพื้นประวัติวงศ์เจ้าเมืองพนมออกพระนามเต็มว่า พระอาจชญาหลวงเจ้าพระรามราชปราณีสีสุธมฺมราชา สหสฺสาคามเสลามหาพุทฺธปริษทฺทะบัวระบัติ โพธิสตฺวขัตฺติยวรราชวงศา พระหน่อรามาพุทธังกูร เจ้าเอากาสศาสนานครพฺระมหาธาตุเจ้าพฺระนม พิทักษ์บุรมมหาเจติย วิสุทฺธิรตฺตนสถาน คนทั่วไปออกนามว่า '''เจ้าพ่อขุนราม''' หรือ '''เจ้าพ่อขุนโอกาส''' (พ.ศ. ๒๒๙๑-๒๓๗๑) จากนั้นในสมัยเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๔๘-๒๓๗๑) ทรงแต่งตั้งพระโอรสของเจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร) คือ '''[[เจ้าพระรามราชปราณีศรีมหาพุทธปริษัท (ศรี รามางกูร)]]''' (อาชญาหลวงกลางน้อยศรีวรมุงคุล) ขึ้นปกครองธาตุพนมต่อจากพระบิดา<ref>หนังสืออุลังคนีทาน (อุลังคะนิทาน) ฉบับหอสมุดแห่งชาติ บ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี หน้าลานที่ ๒๕-๒๗</ref> เอกสารบางแห่งกล่าวว่าทรงถูกแต่งตั้งโดยสมเด็จพระเจ้าองค์ลองแห่งเวียงจันทน์ (พ.ศ. ๒๒๗๓-๒๓๒๒)<ref>หนังสืออุลังคนีทาน (พื้นอุลํกาธา) ฉบับหอสมุดแห่งชาติ บ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี หน้าลานที่ ๒๔-๒๖ </ref> เจ้านายทั้ง ๒ พระองค์เป็นต้นตระกูล [[รามางกูร]] แห่งอำเภอธาตุพนม และเป็นเชื้อสายของสมเด็จพระเจ้าสิริบุญสารพระมหากษัตริย์แห่งนครเวียงจันทน์ (พ.ศ. ๒๒๙๔-๒๓๒๒) รวมทั้งเป็นญาติใกล้ชิดกับเจ้าอนุวงศ์ด้วย ตระกูลนี้มีอำนาจบทบาทปกครองธาตุพนมสืบได้อีกอย่างน้อย ๔ ชั่วอายุคนและถือเป็นต้นตระกูลเก่าแก่หลายตระกูลของอำเภอธาตุพนมในปัจจุบัน เช่น ตระกูลบุคคละ ประคำมินทร์ [[จันทศ]] มันตะ สารสิทธิ์ ลือชา ทามนตรี ทศศะ พุทธศิริ รัตโนธร ครธน สุมนารถ มนารถ อุทา สายบุญ เป็นต้น ตระกูลเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มตระกูลใหญ่ที่มีบทบาททำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในเมืองธาตุพนมและวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เจ้านายและนายกองตลอดจนกรมการเมืองที่ปกครองธาตุพนมในยุคต่อๆ มามักมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองทางเครือญาติกับกลุ่มตระกูลนี้ <ref>มหาดวง รามางกูร (ท้าวดวง บุคคละ), "พื้นประวัติวงศ์เจ้าเมืองพนม (ประวัติตระกูลรามางกูรแห่งเมืองธาตุพนม)".ม.ป.ท.. ม.ป.ป..</ref> อย่างไรก็ตาม ในพื้นประวัติวงศ์เจ้าเมืองพนมกล่าวถึงจำนวนผู้ปกครองเมืองพนมโดยพิศดารก่อนการเข้ามาปกครองโดยราชวงศ์เวียงจันทน์ว่า มีเจ้าโอกาส (บ้างออกนามว่าขุนพนม เจ้าพระนม เพียพระนม กวานพนม) ปกครองเมืองพนมมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓๐ องค์จากราชวงศ์ศรีโคตรบูรซึ่งสืบเชื้อสายผ่านทางเจ้าเฮือนทั้ง ๓ พระองค์