ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รัฐสวัสดิการ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ย้อนกลับไปรุ่นที่ 5531860 โดย Horus: ย้อนก่อกวน (ทำบทความพัง)ด้วยสจห.
ป้ายระบุ: ทำกลับ
บรรทัด 1:
== ประวัติ ==
สังคมในอดีต มนุษย์มีการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย เพียงแค่มีสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานอย่างน้อย 4 ประการ มนุษย์ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพารัฐ ฉะนั้นหน้าที่ของรัฐในอดีตจึงเน้นไปที่การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและปกป้องประเทศเป็นส่วนใหญ่
 
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเศรษฐกิจและสังคมมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมสมัยใหม่ที่เป็นสังคมเมืองและอุตสาหกรรม จากที่อดีตมนุษย์มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายแต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไปจึงทำให้มนุษย์มีความต้องการสิ่งเป็นพื้นฐานมากขึ้นไปตามสภาพของสังคมและเศรษฐกิจ ในขณะที่การหารายได้เพื่อที่จะนำมาจัดหาสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่ต้องการก็ประสบปัญหา ทำให้เกิดความกดดันในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ จึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เนื่องจากคนรวยที่โอกาสหรือความสามารถมากกว่าก็จะสามารถจัดหาสิ่งจำเป็นพื้นฐานของตนเองได้ ในขณะที่คนจนมีโอกาสหรือความสามารถน้อยกว่าก็จะไม่สามารถได้สิ่งที่จำเป็นพื้นฐานนั้น
 
ดังนั้นรัฐจึงได้เข้ามามีบทบาทในการให้สวัสดิการหรือสิ่งที่จำเป็นพื้นฐานแก่ทุกคน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันของคนในสังคม และเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งสวัสดิการที่รัฐจัดให้นั้นจะครอบคลุมทุกสาขาของ[http://สวัสดิการสังคม สวัสดิการสังคม] ซึ่งหลายคนเรียกระบบนี้ว่า '''รัฐสวัสดิการ'''<ref>กองแผนงานและสารสนเทศ สำนักงานประกันสังคม, ประเทศไทยกับการก้าวไปสู่…รัฐสวัสดิการ, ครั้งที่ 1, ไซเบอร์ ร็อก เอเยนซี่ กรุ๊ป จำกัด, 2550, 978-974-7894-43-1</ref>
 
==นิยาม==
'''รัฐสวัสดิการ''' ({{lang-en|welfare state}}) คือ มโนทัศน์การปกครองซึ่งรัฐมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจและสังคมของพลเมือง โดยอาศัยหลักความเสมอภาคของโอกาส การกระจายความมั่งคั่งอย่างชอบธรรม และความรับผิดชอบต่อสาธารณะแก่ผู้ไม่สามารถจัดหาขั้นต่ำสำหรับชีวิตที่ดีได้ กลุ่มประเทศนอร์ดิก เช่น ไอซ์แลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์กและฟินแลนด์ รวมอยู่ในรัฐสวัสดิการสมัยใหม่<ref>Paul K. Edwards and Tony Elger, ''The global economy, national states and the regulation of labour'' (1999) p, 111</ref>
 
รัฐสวัสดิการเกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนเงินทุนจากรัฐสู่บริการที่จัดให้ (เช่น สาธารณสุข การศึกษา) ตลอดจนสู่ปัจเจกบุคคลโดยตรง ("ผลประโยชน์") รัฐสวัสดิการจัดหาเงินทุนจากการเก็บภาษีแบบแบ่งความมั่งคั่ง (redistributionist taxation) และมักเรียกว่าเป็น "[[เศรษฐกิจแบบผสม]]" ประเภทหนึ่ง<ref>"Welfare state." Encyclopedia of Political Economy. Ed. Phillip Anthony O'Hara. Routledge, 1999. p. 1245</ref> การเก็บภาษีดังกล่าวปกติรวมการเก็บภาษีเงินได้จากผู้มีรายได้สูงมากกว่าผู้มีรายได้ต่ำ เรียก [[ภาษีอัตราก้าวหน้า]] ซึ่งช่วยลดช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยและคนจน<ref>Pickett and Wilkinson, ''[[The Spirit Level: Why More Equal Societies Almost Always Do Better]]'', 2011</ref><ref name=pigou>''[http://www.econlib.org/library/NPDBooks/Pigou/pgEW8.html The Economics of Welfare]''| [[Arthur Cecil Pigou]]</ref><ref name=OstryBerg>Andrew Berg and Jonathan D. Ostry, 2011, "[http://www.imf.org/external/pubs/ft/sdn/2011/sdn1108.pdf Inequality and Unsustainable Growth: Two Sides of the Same Coin?"] IMF Staff Discussion Note SDN/11/08, [[International Monetary Fund]]</ref>
 
==บทบาท==
* รัฐต้องมีหลักประกันความเท่าเทียมกันในเรื่องของรายได้ขั้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็นของแต่ละบุคคล และครอบครัว อีกทั้งรัฐจะต้องสนับสนุนให้มีการกระจายผลผลิตจากการทำงาน
* รัฐต้องจัดหาความมั่นคงทางสังคมให้แก่บุคคลในกรณีต่างๆ เช่น การเจ็บป่วย การชราภาพ การว่างงาน เป็นต้น
* รัฐต้องให้สิทธิแก่พลเมืองอย่างเท่าเทียมกัน ในการที่จะได้รับการบริการทางสังคมอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอด้วยมาตรฐานที่ดี<ref>คำนูณ สิทธิสมาน, “[http://รัฐสวัสดิการทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย รัฐสวัสดิการทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย]” , 2008-07-11</ref><ref>จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร, "[http://รัฐสวัสดิการกับสังคมสวัสดิการ:มุมมองทางทฤษฎี รัฐสวัสดิการกับสังคมสวัสดิการ:มุมมองทางทฤษฎี]", ค้นเมื่อ 2017-03-17</ref>
 
==รูปแบบ==
=== รัฐสวัสดิการแบบ[http://สังคมนิยมประชาธิปไตย สังคมนิยมประชาธิปไตย] ===
เป็นตัวแบบรัฐสวัสดิการที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ไม่พิสูจน์ความยากจน และทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตสูง
 
=== รัฐสวัสดิการแบบ[[เสรีนิยม]] ===
=== รัฐสวัสดิการแบบ[[อนุรักษ์นิยม]] ===
 
* รัฐสวัสดิการแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย
แบบสังคมนิยมประชาธิปไตยจะมีฐานมั่นคงอยู่ในประเทศแถบยุโรปเหนือ อย่าง สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก เป็นต้น รวมถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นการสร้างแนวทางที่ประสานประโยชน์ร่วมกันโดยผ่านการเจรจาต่อรองระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง นอกจากนั้นจะเป็นรัฐสวัสดิการที่หยิบยื่นให้ทั้งความรู้สึกที่มั่นคงทางด้านเศรษฐกิจต่อผู้ที่ต้องการความ ช่วยเหลือ รวมไปถึงการสร้างมาตรฐานที่มั่นคงให้กับคนทั่ว ๆ ไปในสังคมด้วย
* รัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยม
แบบเสรีนิยมนั้น จะค่อนข้างได้รับการยอมรับในแถบประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ และนโยบายสวัสดิการที่ใช้ก็มักเป็นเพียงการสร้างความรู้สึกมั่นคงพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่ในสังคม และจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มบุคคลที่ถูกพิจารณาและไตร่ตรองแล้วว่ามีความจำเป็นที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือจริงเท่านั้น หน่วยราชการจะทุ่มเทความช่วยเหลือไปยังคนงานและคนระดับล่างในสังคม ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้คนชั้นกลางและคนชั้นสูงได้มีโอกาสตักตวงและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างเต็มที่จากตลาดแรงงาน
* รัฐสวัสดิการแบบอนุรักษ์นิยม
แบบอนุรักษ์นิยมนั้นจะมีอิทธิพลอยู่ในทวีปยุโรปตอนกลาง ที่โบสถ์และมูลนิธิการกุศลเข้ามาช่วยดูแลเรื่องรักษาพยาบาล และการประกันสังคมช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคงทางเศรษฐกิจต่อกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในสังคม แต่รูปแบบลักษณะนี้จะไม่ปฏิเสธการมีช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคม ยึดมั่นต่อค่านิยมเก่าๆ ในครอบครัวที่ตกทอดกันมา รวมทั้งยอมรับอิทธิพลที่มีของศาสนจักร<ref>บุญส่ง ชเลธร, รัฐสวัสดิการสวีเดน, ครั้งที่ 1, บพิธการพิมพ์ จำกัด, 2553, 987-974-345-262-8</ref><ref>แบ๊งค์ งานอรุณโชติ, "[http://กลุ่มศึกษารัฐสวัสดิการ%20ตอนที่1:%20รัฐสวัสดิการ%20รูปแบบ%20และตัวกำหนดพัฒนาการ กลุ่มศึกษารัฐสวัสดิการ ตอนที่1: รัฐสวัสดิการ รูปแบบ และตัวกำหนดพัฒนาการ]", 2012-11-27,ค้นเมื่อ 2017-03-31</ref><ref>อนุสรณ์ ธรรมใจ, "[http://บทบาทของรัฐต่อระบบสวัสดิการสังคมภายใต้สำนักคิดทางเศรษฐกิจการเมืองต่างๆ บทบาทของรัฐต่อระบบสวัสดิการสังคมภายใต้สำนักคิดทางเศรษฐกิจการเมืองต่างๆ]", 2013-11-15, ค้นเมื่อ 2017-03-31</ref>
 
==ตัวอย่างการดำเนินงานรัฐสวัสดิการในต่างประเทศ==
มีหลายประเทศที่ได้มีการนำระบบรัฐสวัสดิการมาใช้ ส่วนใหญ่มักพบในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งประเทศเหล่านี้จะมีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งและมีการจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง ได้แก่ประเทศในแถบ[[สแกนดิเนเวีย]] เช่น [[สวีเดน]] [[นอร์เวย์]] [[เดนมาร์ก]] [[ฟินแลนด์]] เป็นต้น และประเทศในแถบ[[ยุโรป]] เช่น [[เยอรมนี]] [[อังกฤษ]] เป็นต้น แต่ประเทศผู้กล่าวถึงในฐานะประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานรัฐสวัสดิการมากที่สุด จนมีหลายประเทศนำไปเป็นแบบจำลองของรัฐสวัสดิการ คือ ประเทศสวีเดน
 
ประเทศสวีเดน เป็นประเทศที่ถูกกล่าวถึงในฐานะประเทศที่ประสบความสำเร็จในการเป็นรัฐสวัสดิการมากที่สุด โดยสามารถบรรลุตามวัตถุเป้าหมายทางเศรษฐกิจและสังคมในเรื่องความเท่าเทียมและความมีประสิทธิภาพควบคู่กันไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม การนำแบบจำลองรัฐสวัสดิการสวีเดนไปเป็นต้นแบบในแต่ละประเทศก็ยังมีข้อจำกัดที่จะต้องคำนึงถึง เนื่องจากประเทศสวีเดนมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เฉพาะเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้รัฐสวัสดิการประสบผลสำเร็จ โดยผู้ริเริ่มระบบรัฐสวัสดิการสมัยใหม่ในประเทศสวีเดนคือ [[Alva Myrdal]] ซึ่งรัฐสวัสดิการนี้จะคุ้มครองตั้งแต่เกิดจนตาย ในช่วงทศวรรษ 1930 กล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้สวีเดนประสบความสำเร็จในการนำระบบรัฐสวัสดิการมาในประเทศ ได้แก่
# ประชากรในประเทศสวีเดนมีน้อยและมีความเหมือนกัน เนื่องจากสวีเดนไม่เคยอยู่ในยุคของระบบศักดินา และรัฐบาลก็จะถูกนำเสนอในลักษณะของการมีชื่อเสียง และเป็นที่นิยม ดังนั้นประชากรจึงมีความเชื่อและศรัทธาให้ผู้อื่นและรัฐบาลในระดับสูง ประชาชนหรือชาวนาเจ้าของที่ดินจึงคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่หรืออำนาจของรัฐ และคิดว่ารัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของประชาชน
# ข้าราชการมีประสิทธิภาพ และไม่มี[http://การฉ้อราษฎร์บังหลวง%20(%20Corruption%20) การฉ้อราษฎร์บังหลวง ( Corruption )]
# ชาวโปรแตสแตนท์ในสวีเดน ยึดมั่นในจริยธรรมและการเผยแพร่จริยธรรมอย่างมาก ทำให้คนสวีเดนต้องปฏิบัติตามหลักจริยธรรม โดยต้องขยันทำงานหนักแม้ว่าภาษีเพิ่มขึ้น
# การทำงานของคนสวีเดนมีประสิทธิผลมาก เนื่องจากประชากรได้รับการศึกษาที่ดี และมีการส่งออกที่เข้มแข็ง
รัฐสวัสดิการในประเทศสวีเดนเป็นรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากรัฐสวัสดิการในระบบเศรษฐกิจแบบผสมทั่วไป ซึ่งแพร่หลายในประเทศอุตสาหกรรม โดยรัฐสวัสดิการประเทศสวีเดนจัดว่าเป็น “[http://ทางสายกลาง ทางสายกลาง]” ระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบ[[ทุนนิยม]] ( Capitalist Economy ) และระบบเศรษฐกิจแบบ[[สังคมนิยม]] ( Socialist Economy ) ซึ่งผู้สนับสนุนแนวคิดนี้ประเมินว่าเป็นวิธีหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายเรื่องความเท่าเทียมกันในสังคมในระดับสูงที่สุดในโลกโดยที่ไม่ทำให้ผู้ประกอบการรู้สึกอึดอัด<ref>กองแผนงานและสารสนเทศ สำนักงานประกันสังคม, ประเทศไทยกับการก้าวไปสู่…รัฐสวัสดิการ, ครั้งที่ 1, ไซเบอร์ ร็อก เอเยนซี่ กรุ๊ป จำกัด, 2550, 978-974-7894-43-1</ref>
 
==ความเป็นมาของรัฐสวัสดิการในประเทศสวีเดน==
ระบบรัฐสวัสดิการของประเทศสวีเดนพัฒนาอย่างช้า ๆ แต่เป็นไปอย่างต่อเนื่องและฝังแน่นในระบบเศรษฐกิจประเทศสวีเดนตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 โดยมีพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democratic Party) และสหภาพการค้า (Trade Union) เป็นผู้นำในการพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตามรัฐสวัสดิการได้รับการคัดค้านจากกลุ่มธุรกิจ กลุ่มอนุรักษ์นิยม และกลุ่มเสรีนิยมซึ่งไม่เห็นด้วยกับระบบนี้ ในระยะแรก แต่ต่อมาฝ่ายคัดค้านก็ยอมรับระบบรัฐสวัสดิการ และหันกลับมาสนับสนุนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องในการปฏิรูประบบรัฐสวัสดิการในที่สุด
 
โดยจุดเริ่มต้นของการจัดรัฐสวัสดิการในประเทศสวีเดนเริ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1840 โดยสวีเดนได้ออก “กฎหมายขจัดความยากจน” (Poor Relief Laws) มาบังคับใช้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1913 รัฐบาลพรรคเสรีนิยมด้วยการสนับสนุนของประชาชนเริ่มขยายขอบข่ายของสิทธิประโยชน์ทางสังคม โดยออก “กฎหมายบำนาญแห่งชาติ” (National Pension Act) มาบังคับใช้เพื่อจัดความมั่นคงทางสังคมให้แก่ผู้สูงอายุ ในปี ค.ศ. 1918 รัฐบาลผสมระหว่างพรรคเสรีนิยมและพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยได้ออกกฎหมายความยากจนใหม่ (New Poor Law) เพื่อช่วยเหลือคนที่มีความจำเป็นผ่านรัฐบาลท้องถิ่นในขณะที่รัฐบาลกลางเป็นฝ่ายสนับสนุนการบริหารงานเท่านั้น กฎหมายดังกล่าวยังคงมีผลต่อระบบความช่วยเหลือทางสังคมหรือระบบสงเคราะห์ (Social Assistance) ในประเทศสวีเดน ต่อมาอีก 40 ปี
 
ประเทศสวีเดนเริ่มเข้าสู่การเป็นรัฐสวัสดิการสมัยใหม่ในช่วงปี ค.ศ. 1932 หลังจากพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยเริ่มเรืองอำนาจ และเข้ามาบริหารประเทศอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานถึง 65 ปี ในช่วงระยะเวลา 74 ปี ที่ผ่านมา พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรคของคนชั้นกลางได้สร้างระบบความมั่นคงทางสังคมที่ให้สิทธิประโยชน์อย่างครอบคลุม ได้แก่ บำนาญชราภาพ สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน สิทธิประโยชน์สำหรับเด็กกำพร้า สิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย ให้แก่คนงานที่ได้รับค่าจ้างในอัตราที่สูง ซึ่งสิทธิประโยชน์ส่วนใหญ่จะเป็นสัดส่วนกับจำนวนเงินที่จ่าย ดังนั้นจึงทำให้คนชั้นกลางที่มีฐานะให้ความสนใจสนับสนุนระบบความมั่นคงทางสังคมดังกล่าว
 
ระบบรัฐสวัสดิการในประเทศสวีเดน ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องระหว่างทศวรรษที่ 1950-1960 ในช่วงเวลานั้น ประเทศสวีเดนเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกด้วยอัตรา การว่างงานเป็นศูนย์ และรัฐสวัสดิการได้ถึงจุดที่รุ่งเรืองที่สุดในทศวรรษที่ 1970 ให้ความคุ้มครองทุกคนอย่างถ้วนหน้า ตั้งแต่การดูแลเด็กไปจนกระทั่งการให้บำนาญสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งตามสถิติของ [[OECD]] ในปี ค.ศ. 1970 สวีเดนเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก
 
ในช่วงทศวรรษที่ 1990 แบบจำลองรัฐสวัสดิการของสวีเดนเริ่มมีปัญหาอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์อุตสาหกรรมหนักเป็นผลให้การระดมทุนทางสังคมลดลง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนี้ทำให้สวีเดนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก และก่อให้เกิดปัญหาสังคมในหลายๆ ปีต่อมา
 
ในปี ค.ศ. 2006 ประเทศสวีเดนมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ซึ่งประเทศสวีเดนยังคงแยกเป็นกลุ่มฝ่ายซ้ายและกลุ่มฝ่ายขวา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะเป็นรัฐบาลผสมโดยมีพรรคฝ่ายขวาเป็นเสียงข้างมาก แนวโน้มของรัฐบาลก็ยังคงรักษาพื้นฐานของรัฐสวัสดิการด้วยการปรับปรุงบางอย่างเพื่อจะทำให้ลดการว่างงาน และทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไป ซึ่งไม่มีพรรคการเมืองสำคัญพรรคใดในสวีเดนที่มีนโยบายที่จะค่อย ๆ ยกเลิกรัฐสวัสดิการ เนื่องจากจะทำให้ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงทั้งกลุ่ม ที่สนับสนุนพรรคที่นิยมฝ่ายซ้ายและพรรคที่นิยมฝ่ายขวา ปัจจุบันประเทศสวีเดนมี [[GDP]] ต่อหัวต่ำกว่าประเทศสแกนดิเนเวียอื่น ๆ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน<ref>โสภณ พรโชคชัย, “[http://สนทนาเรื่องรัฐสวัสดิการกับอาจารย์บุญส่ง%20ชเลธร สนทนาเรื่องรัฐสวัสดิการกับอาจารย์บุญส่ง ชเลธร]”,ค้นเมื่อ 2017-03-31</ref><ref>กองแผนงานและสารสนเทศ สำนักงานประกันสังคม, ประเทศไทยกับการก้าวไปสู่…รัฐสวัสดิการ, ครั้งที่ 1, ไซเบอร์ ร็อก เอเยนซี่ กรุ๊ป จำกัด, 2550, 978-974-7894-43-1</ref>
 
==ตัวอย่างของระบบรัฐสวัสดิการของประเทศสวีเดน==
 
=== การศึกษา ===
ในประเทศสวีเดนเรื่องของการศึกษาถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยรัฐจะมีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้ามาเรียนฟรีตั้งแต่ชั้นประถมศึกษากระทั่งจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก โดยไม่มีการคิดค่าหน่วยกิตหรือการเรียกเก็บค่าเทอม ในส่วนของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยนั้น จะมีการเรียกเก็บเฉพาะ “ค่าบำรุงองค์การนักศึกษา” เท่านั้นที่มีการบังคับ ให้นักศึกษาต้องจ่าย นอกจากนี้ระบบการศึกษาของประเทศสวีเดนยังเน้นการสอนไปที่ความเป็นไปตามระดับพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย และนอกจากการเรียนฟรีแล้ว อุปกรณ์ในการเรียนรวมถึงอาหารกลางวันทุกอย่างก็ฟรีทั้งหมดอีกด้วย
 
=== การประกันสุขภาพ ===
รัฐจะมีการช่วยค่ารักษาพยาบาล ช่วยค่าการรักษาสุขภาพฟัน จ่ายค่านอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล จ่ายค่ายา รวมถึงมีการชดเชยรายได้ระหว่างเจ็บป่วยด้วย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความรัฐจะมีการช่วยจ่ายให้ทั้งหมด 100% ของค่าใช้จ่าย การที่รัฐเข้ามาช่วยนั้นจะมีเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกฎหมายด้วย เช่น การรักษาฟัน กรณีผู้มีอายุต่ำกว่า 17 ปีรักษาฟรีทั้งหมด ส่วนผู้ที่อายุเกิน 17 ปี ต้องมีการจ่ายค่ารักษาส่วนหนึ่ง คือ ถ้ารักษาไม่เกิน 1,000 [http://โครนเนอร์ โครนเนอร์] รัฐจะจ่าย 50% แต่ถ้าเกิน 1,000 โครนเนอร์ รัฐจ่ายให้ 75% ซึ่งอัตราการคิดเงินนี้รัฐบาลจะกำหนดไว้อย่างชัดเจน แพทย์จะคิดเงินเกินกว่าที่กำหนดไม่ได้ แต่อาจคิดต่ำกว่าได้ เป็นต้น<ref>คำนูณ สิทธิสมาน, “[http://รัฐสวัสดิการทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย รัฐสวัสดิการทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย]” , 2008-07-11</ref>
 
== อ้างอิง ==