ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 7:
|term_start = 21 มีนาคม ค.ศ. 1871
|term_end = 20 มีนาคม ค.ศ. 1890
|monarch = [[จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1 แห่งเยอรมนี|จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1]]<br/>[[จักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 แห่งเยอรมนี|จักรพรรดิฟรีดริชที่ 3]]<br/>[[จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี|จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2]]
|deputy = ออทโท ฟอน ชโตลแบร์ก-เวอร์นีเกอร์รอเดอ<br>คาร์ล ไฮน์ริช ฟอน เบิร์ททีเคอร์
|predecessor = ตำแหน่งใหม่
บรรทัด 19:
|term_start3 = 23 กันยายน ค.ศ. 1862
|term_end3 = 1 มกราคม ค.ศ. 1873
|monarch3 = จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1
|predecessor3 = เจ้าชายอดอล์ฟแห่งโฮเฮนโลเฮอ-อินเกิลฟินเกิน
|successor3 = อัลเบรชท์ ฟอน รูน
บรรทัด 25:
|term_start4 = 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1867
|term_end4 = 21 มีนาคม ค.ศ. 1871
|president4 = จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1
|predecessor4 = ตำแหน่งใหม่
|successor4 = ล้มเลิกตำแหน่ง
บรรทัด 35:
|successor5 = เลโอ ฟอน คาพรีวี
|birth_date = 1 เมษายน ค.ศ. 1815
|birth_place = เชินเฮาเซิน, มณฑลซัคเซิน </br>{{flagicon|Prussia}} [[ราชอาณาจักรปรัสเซีย]]<br><small>([[รัฐซัคเซิน-อันฮัลท์]]ในปัจจุบัน)</small>
|death_date = 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1898</br>(อายุ 83 ปี)
|death_place = ฟรีดริชซรู [[รัฐชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์]]</br>{{flagcountry|German Empire}}
|party = ไม่สังกัดพรรคการเมือง
|spouse = โยฮันนา ฟอน พุทท์คาเมอร์<br><small>(ค.ศ. 1847–94; เสียชีวิต)</small>
บรรทัด 57:
การทูต[[เรอัลโพลีทิค]] (realpolitik; การเมืองเชิงปฏิบัติ) ของเขา ประกอบกับอำนาจมหาศาลในปรัสเซีย ส่งผลให้บิสมาร์คได้รับสมญานามว่า "นายกรัฐมนตรีเหล็ก" [[การสร้างเอกภาพเยอรมนี]]และการเติบโตทางเศรษฐกิจอันรวดเร็วคือรากฐานของนโยบายด้านการต่างประเทศของเขา บิสมาร์คไม่นิยมชมชอบลัทธิ[[จักรวรรดินิยม]] แต่ก็ยังจัดตั้ง[[จักรวรรดิอาณานิคมเยอรมัน|จักรวรรดิอาณานิคมโพ้นทะเล]]แม้ไม่เต็มใจเนื่องจากถูทั้งฝ่ายอภิชนและสาธารณชนทั่วไปเรียกร้อง นอกจากนี้บิสมาร์คยังเล่นกลด้วยการจัดการประชุม การเจรจา และการร่วมเป็นพันธมิตรที่สอดประสานกันอย่างซับซ้อนหลายครั้ง ทั้งยังใช้ทักษะด้านการทูตในการดำรงสถานะของเยอรมนีและเพื่อถ่วงดุลอำนาจในทวีปยุโรปให้เกิดสันติสุขตลอดช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 และ 1880 ได้สำเร็จ
 
ไม่เพียงด้านการทูตและการต่างประเทศเท่านั้น บิสมาร์คยังเป็นปรมาจารย์ด้านการเมืองในประเทศบ้านเกิด เขาคือบุคคลที่ริเริ่ม[[รัฐสวัสดิการ]]ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกสมัยใหม่ มีเป้าหมายเพื่อดึงการสนับสนุนของมวลชนจากชนชั้นแรงงานให้มาเข้าร่วมกับฝ่ายของเขา ซึ่งมิเช่นนั้นแล้วมวลชนเหล่านี้อาจไปเข้าร่วมกับฝ่ายสังคมนิยมซึ่งเป็นศัตรูของเขาได้<ref>Steinberg, 2011, pp.8, 424, 444; Bismarck specifically referred to Socialists, among others, as "Enemies of the Reich".</ref> ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 เขาได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายเสรีนิยม (ผู้ชื่นชอบนิยมอัตราภาษีศุลกากรระดับต่ำและต่อต้านศาสนจักรคาทอลิก) และต่อสู้กับศาสนจักรคาทอลิกที่ซึ่งถูกขนานนามว่า ''คุลทูร์คัมพฟ์'' ({{lang-de|Kulturkampf}}; การต่อสู้ทางวัฒนธรรม) แต่พ่ายแพ้ โดยฝ่ายศาสนจักรตอบโต้ด้วยการจัดตั้งพรรคกลาง (Centre Party; Zentrum) อันทรงพลังและใช้สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของเพศชายมาจัดตั้งเป็นฐานคะแนนเสียงสำหรับเพื่อให้ได้ที่นั่งในสภา ด้วยเหตุนี้บิสมาร์คจึงกลับลำท่าทีของตนเอง, ล้มเลิกปฏิบัติการคุลทูร์คัมพฟ์, ตัดขาดกับฝ่ายเสรีนิยม, ประกาศขึ้นอัตรากำหนดภาษีศุลกากรเพื่อปกป้องธุรกิจในประเทศแบบคุ้มกัน และร่วมเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคกลางเพื่อต่อกรกับฝ่าย[[สังคมนิยม]] นอกจากนี้ บิสมาร์คยังซึ่งเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาใน[[ลูเทอแรน|นิกายลูเทอแรน]]อย่างมาก ทั้งยังจึงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของตนผู้ซึ่งมีทัศนะขัดแย้งกับเขา แต่ในท้ายที่สุดก็ทรงโอนอ่อนและสนับสนุนเขาจากคำแนะนำของพระมเหสีและพระรัชทายาท ในขณะนั้นสภา ''รัฐสภา[[ไรชส์ทาค (จักรวรรดิเยอรมัน)|ไรชส์ทาค]]'' มีฐานะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติเยอรมันและมีสมาชิกไรชส์ทาคได้รับเลือกมาจากสาธารณชนเพศชายผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งแบบสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชาย แต่ไรชส์ทาคไม่มีอำนาจในการควบคุมนโยบายของรัฐบาลมากนัก ดังนั้นบิสมาร์คผู้ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยจึงปกครองผ่านระบบเจ้าขุนมูลนายข้าราชการประจำที่แข็งแกร่งและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี อันในมือของอภิชน[[ยุนเคอร์]]เดิมซึ่งประกอบไปด้วยชนชั้นขุนนางศักดินา ''ยุนเคอร์'' ที่สืบทอดกันมาแต่สมัยก่อนผู้เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากในปรัสเซียตะวันออก ในรัชกาลของพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 เขาเป็นผู้ควบคุมกิจการภายในในประเทศและกิจการการต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเมื่ออายุ 75 ปี โดย[[จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี|จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2]] ถอดเขาจากตำแหน่งในปี ค.ศ.1890 1890เมื่อเขาอายุได้ 75 ปี
 
บิสมาร์คผู้เป็นขุนนางศักดินา ''ยุนเคอร์'' มีบุคคลิกเด่น ๆ คือหัวรั้น ปากกล้า และบางครั้งเอาแต่ใจ แต่ในขณะเดียวกันก็สุภาพ มีเสน่ห์ และมีไหวพริบด้วยเช่นกัน ในบางโอกาสเขาก็เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง บิสมาร์ครักษาอำนาจของเขาด้วยการเล่นละครแสดงบทบาทอ่อนไหวพร้อมขู่ว่าจะลาออกจากตำแหน่งอยู่ซ้ำ ๆ ซึ่งมักจะทำให้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 ทรงขลาดกลัว นอกจากนี้บิสมาร์คไม่เพียงแต่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับกิจการภายในและต่างประเทศอันยาวไกลเท่านั้น แต่ยังมีทักษะที่สามารถเล่นกลทางการเมืองเพื่อแทรกแซงสถานการณ์อันซับซ้อนที่กำลังดำเนินไปในระยะสั้นได้ด้วย จนกลายเป็นผู้นำที่ถูกนักประวัติศาสตร์ขนานนามว่าเป็น "ฝ่ายอนุรักษนิยมสายปฏิวัติ" (revolutionary conservatism)<ref>{{cite book| authorlink=Isabel V. Hull| last=Hull| first=Isabel V.| title=The Entourage of Kaiser Wilhelm II, 1888–1918| url=https://books.google.com/books?id=pesmqV6vskkC&printsec=frontcover#v=onepage&q&f=false| year=2004| page=85| isbn=9780521533218}}</ref> สำหรับนักชาตินิยมเยอรมัน บิสมาร์คคือวีรบุรุษของพวกเขา มีการจัดสร้างอนุสาวรีย์ของบิสมาร์คหลายแห่งเพื่อเชิดชูเกียรติผู้ก่อตั้ง ''จักรวรรดิไรซ์'' ยุคใหม่ นักประวัติศาสตร์หลายคนเองก็ชื่นชมเขาในฐานะผู้มีวิสัยทัศน์ไกล ผู้ซึ่งมีส่วนสำคัญในการรวมเยอรมนีให้เป็นหนึ่งเดียวและช่วยให้ยุโรปดำรงสันติภาพเอาไว้ได้ผ่านการทูตอันชาญฉลาดของเขา