ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ผ้าขาวม้า"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 3:
 
== '''ประวัติ''' ==
'''"ผ้าขาวม้า"''' ไม่ใช่คำไทยแท้ แต่เป็นภาษาเปอร์เซียที่มีคำเต็มว่า '''"กามาร์บันด์"''' (Kamar Band) ซึ่ง "กามาร์" นั้นหมายถึง เอว หรือ ท่อนล่างของร่างกาย ส่วน "บันด์" หมายถึง การพัน รัด หรือ คาด โดยเมื่อนำทั้งสองคำมารวมกันจะหมายถึง เข็มขัด ผ้าพัน หรือ คาดสะเอว ซึ่งคำว่า "กามาร์บันต์" ยังปรากฏอยู่ในภาษาอื่นๆ อีก เช่น ภาษามลายู มีคำว่า "กามาร์บัน" ภาษาฮินดี้ใช้คำว่า "กามาร์บันด์" เช่นเดียวกับภาษาเปอร์เซีย แต่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "คัมเมอร์บันด์" (Commer band) หมายถึง ผ้าขาวม้าเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า "กามา"ผ้ารัดเอวในชุดทัคซิโด้ (KamarTuxedo) ซึ่งเป็นภาษาอิหร่านที่ใช้กันอยู่ในประเทศสเปนชุดสำหรับงานราตรีสโมสร เพราะในประวัติศาสตร์<ref>(อาภรณ์ ประเทศทั้งสองมีการติดต่อกันมาช้านานจันทร์สว่าง. ต่อมาประเทศไทยได้รับอิทธิพลทางภาษามาด้วย2523)</ref>
 
ผ้าขาวม้าเป็นผ้าโบราณ คนไทยรู้จักการใช้ผ้าขาวม้าตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งตรงกับยุคสมัยเชียงแสน โดยในสมัยเชียงแสนผู้หญิงมักจะนุ่งผ้าถุง ส่วนผู้ชายใช้ผ้าเคียนเอว (ผ้าขาวม้า) ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมมาจากไทยใหญ่ แต่ชาวไทยใหญ่ใช้ผ้าขาวม้าในการโพกศรีษะ โดยคนไทยเรียนรู้จากเชียงแสนโดยใช้มาเคียนเอว จากนั้นเริ่มปรับประยุกต์ใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย เช่น ใช้ห่อเก็บสัมภาระเดินทาง ห่ออาวุธ นุ่งเวลาอาบน้ำ เช็ดตัว หรือปูนอน <ref name=":0">สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง. (http://www.lib.ru.ac.th/journal/loincloth.html)</ref>
หลักฐานที่แสดงว่าคนไทยเริ่มใช้ผ้าขาวม้ามีข้อมูลว่าตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ราวยุคสมัยเชียงแสน โดยได้รับอิทธิพลจากชาวไทยใหญ่ที่ใช้ผ้าขาวม้า โพกศีรษะ ต่อมาผู้ชายไทยใช้ผ้าเคียนเอว (ผูกเอว) และยังประยุกต์ใช้ประโยชน์หลากหลาย เช่น ใช้ห่อเก็บสัมภาระเดินทาง ห่ออาวุธ นุ่งเวลาอาบน้ำ เช็ดตัว หรือปูนอน และยังมีปรากฏให้เห็นจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์ จ.น่าน และเมื่อดูการแต่งกายของหญิง-ชายไทยในสมัยอยุธยาจากภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 22 จะเห็นชาวอโยธยานิยมใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง หรือนุ่งโจงกระเบนแล้วใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอตลบห้อยชายทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ส่วนสมัยรัตนโกสินทร์ ความนิยมใช้ประโยชน์ไม่จำกัดแต่เพียงเพศชายเหมือนในอดีต และไม่จำกัดเฉพาะทำเป็นเครื่องตกแต่งร่างกาย  ผ้าขาวม้าเป็นอาภรณ์อเนกประสงค์ มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนใหญ่ทอมาจากฝ้าย แต่ก็มีที่ทอจากเส้นไหมด้วยเช่นกัน หรือบางท้องถิ่นทอจากเส้นด้ายดิบและเส้นป่าน นิยมทอสลับสีเป็นลายตาหมากรุก หรือเป็นลายทาง โดยมากผลิตในแถบภาคเหนือหรือภาคอีสาน มีขนาดโดยทั่วไปกว้างประมาณ 3 คืบ ยาว 5 คืบ คุณสมบัติที่สำคัญของผ้าขาวม้าคือ เป็นผ้าทอลายทางตรงและขวางตัดกันมีขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าพอเหมาะ ใช้งานได้หลากหลายสารพัดนึกยิ่งใช้นานยิ่งนุ่ม ซับน้ำได้ดี แห้งเร็ว ทนทานนานนับปี บางประเภทเป็นผ้าทอจากเส้นไหมราคาสูง มักใช้เป็นผ้าพาดไหล่ จนกระทั่งมีการนำผ้าขาวม้ามาเป็นชุดไทยพระราชทานชุดคาดเอว ถือเป็นจุดสำคัญที่ผ้าขาวม้าได้กลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ไทยสำหรับราคาจะแตกต่างกันออกไปตามวัสดุที่ใช้ (ถ้าเป็นผ้าไหมเนื้อดีจะมีราคาแพง นิยมใช้แตะพาดบ่าหรือพาดไหล่) ในยุคแรกคนไทยจะเรียกผ้าสารพัดประโยชน์ผืนนี้ว่า ‘ผ้าเคียนเอว’ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ‘ผ้าขาวม้า’ ในภายหลัง
 
โดยหลักฐานที่ปรากฏให้เห็นว่าคนไทยเริ่มใช้ผ้าขาวม้าในสมัยเชียงแสน มีปรากฏให้เห็นจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์ จ.น่าน และเมื่อดูการแต่งกายของหญิง - ชายไทยในสมัยอยุธยาจากภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 22 จะเห็นชาวอโยธยานิยมใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง หรือนุ่งโจงกระเบนแล้วใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอตลบห้อยชายทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ส่วนสมัยรัตนโกสินทร์ ความนิยมใช้ประโยชน์ไม่จำกัดแต่เพียงเพศชายเหมือนในอดีต และไม่จำกัดเฉพาะทำเป็นเครื่องตกแต่งร่างกาย <ref name=":0" />
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของผ้าขาวม้ายังมีการถ่ายทอดผ่านความเชื่อจากเรื่องเล่า “นิทานกำเนิดผ้าขาวม้า” จากบันทึกของผ้าขาวม้ารำลึกตามรอยผ้าขาวม้าของพ่อ กล่าวว่า  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีช่างทอผ้าผู้หนึ่ง  เกิดอุตริไปปัสสาวะรดต้นไม้ใหญ่ในป่าที่มีนางไม้สิงสถิตอยู่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นางไม้ด้วยความโกรธแค้นจึงแปลงร่างเป็นมดคันไฟเข้าไปกัดบริเวณที่ลับช่างทอผ้าจนบวมแดง ช่างทอผ้าหลังจากโดนนางไม้กัด (มดคันไฟ) ทุนรนทุรายอยู่หลายวัน ทั้งแสบทั้งคัน คิดว่าไม่นานอาการคงจะดีขึ้น คิดเพียงว่าแค่มดคันไฟกัดเดี๋ยวเดียวคงหาย ต่อมาปรากฏว่าอาการไม่ดีขึ้น ภรรยาของเขาจึงรีบไปตามหมอมารักษาอาการของช่างทอผ้า  ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะหาย ต่อมาเดือดร้อนถึงพระภูมิเจ้าที่ประจำบ้านที่อดสมเพชเวทนาไม่ได้  จึงได้มาเข้าฝันช่างทอผ้าในค่ำคืนหนึ่ง เพื่อบอกถึงสาเหตุความทุกข์ทรมานของช่างทอผ้าและบอกวิธีการแก้ไข ในฝันพระภูมิบอกกับช่างทอผ้าว่า  ให้เขาทอผ้าฝ้ายเป็นลายตารางหมากรุก สลับสีสลับลายให้สวยงามแล้วนำไปกราบไหว้ขอขมากับนางไม้ตรงบริเวณต้นไม้ที่ช่างทอผ้าไปยืนปัสสาวะรด โดยให้นำผ้าที่ทอนั้นไปพันไว้โคนต้นไม้เป็นเวลาสามวัน หลังจากสามวันแล้วให้นำผืนผ้านั้นกลับมานุ่งแทนเสื้อผ้าเป็นเวลาสามวัน แล้วช่างทอผ้าก็จะหายจากอาการที่เป็นอยู่ วันรุ่งขึ้นพอช่างทอผ้าตื่นขึ้นมา ได้เล่าความฝันให้ภรรยาฟัง ภรรยาถามเขาว่าได้ไปปัสสาวะรดต้นไม้ใหญ่จริงหรือไม่  ช่างทอผ้าตอบว่าจริง นางจึงบอกให้สามีรีบเร่งไปขอขมากับนางไม้ตามที่พระภูมิเจ้าที่มาเข้าฝันโดยเร็ว  หลังจากช่างทอผ้าได้ทำการขอขมากับนางไม้ตามที่พระภูมิเจ้าที่  อาการของช่างทอผ้าได้หายเป็นปลิดทิ้ง แม้นเขาจะหายจากอาการคันแล้ว  เขาก็ยังนุ่งผ้าขาวม้าที่ใช้ขอขมานางไม้มาโดยตลอด มิหนำซ้ำเขายังได้แจกจ่ายผ้าขาวม้าให้กับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ได้นำไปใช้ประโยชน์อีกด้วย ซึ่งภายหลังผ้าขาวม้าจึงได้รับความนิยมเรียกกันติดปากว่า “ผ้าขมา” ผ้าที่ใช้แทนการขอโทษหรือแทนคุณ จนกระทั่งปัจจุบันได้เพี้ยนมาเป็น “ผ้าขาวม้า” ในที่สุด
 
หลักฐานที่แสดงว่าคนไทยเริ่มใช้ผ้าขาวม้ามีข้อมูลว่าตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ราวยุคสมัยเชียงแสน โดยได้รับอิทธิพลจากชาวไทยใหญ่ที่ใช้ผ้าขาวม้า โพกศีรษะ ต่อมาผู้ชายไทยใช้ผ้าเคียนเอว (ผูกเอว) และยังประยุกต์ใช้ประโยชน์หลากหลาย เช่น ใช้ห่อเก็บสัมภาระเดินทาง ห่ออาวุธ นุ่งเวลาอาบน้ำ เช็ดตัว หรือปูนอน และยังมีปรากฏให้เห็นจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์ จ.น่าน และเมื่อดูการแต่งกายของหญิง-ชายไทยในสมัยอยุธยาจากภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 22 จะเห็นชาวอโยธยานิยมใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง หรือนุ่งโจงกระเบนแล้วใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอตลบห้อยชายทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ส่วนสมัยรัตนโกสินทร์ ความนิยมใช้ประโยชน์ไม่จำกัดแต่เพียงเพศชายเหมือนในอดีต และไม่จำกัดเฉพาะทำเป็นเครื่องตกแต่งร่างกาย  ผ้าขาวม้าเป็นอาภรณ์อเนกประสงค์ มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนใหญ่ทอมาจากฝ้าย แต่ก็มีที่ทอจากเส้นไหมด้วยเช่นกัน หรือบางท้องถิ่นทอจากเส้นด้ายดิบและเส้นป่าน นิยมทอสลับสีเป็นลายตาหมากรุก หรือเป็นลายทาง โดยมากผลิตในแถบภาคเหนือหรือภาคอีสาน มีขนาดโดยทั่วไปกว้างประมาณ 3 คืบ ยาว 5 คืบ คุณสมบัติที่สำคัญของผ้าขาวม้าคือ เป็นผ้าทอลายทางตรงและขวางตัดกันมีขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าพอเหมาะ ใช้งานได้หลากหลายสารพัดนึกยิ่งใช้นานยิ่งนุ่ม ซับน้ำได้ดี แห้งเร็ว ทนทานนานนับปี บางประเภทเป็นผ้าทอจากเส้นไหมราคาสูง มักใช้เป็นผ้าพาดไหล่ จนกระทั่งมีการนำผ้าขาวม้ามาเป็นชุดไทยพระราชทานชุดคาดเอว ถือเป็นจุดสำคัญที่ผ้าขาวม้าได้กลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ไทยสำหรับราคาจะแตกต่างกันออกไปตามวัสดุที่ใช้ (ถ้าเป็นผ้าไหมเนื้อดีจะมีราคาแพง นิยมใช้แตะพาดบ่าหรือพาดไหล่) ในยุคแรกคนไทยจะเรียกผ้าสารพัดประโยชน์ผืนนี้ว่า "ผ้าเคียนเอว’เอว" ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ‘ผ้าขาวม้า’"ผ้าขาวม้า" ในภายหลัง <ref name=":0" />
คำบอกเล่าเกี่ยวกับความเชื่อของผ้าขาวม้ายังเกี่ยวข้องกับเรื่องเวทมนต์ ดังเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อพรหมวัดช่องแค  ตำบลตากฟ้า อำเภอตาคลี  จังหวัดนครสวรรค์ ชาติภูมิเดิมเป็นชาวตำบลบ้านแพรก  อำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2477 ได้ตระหนักและเล็งเห็นความสำคัญถึงรหัสปริศนา ผ้าขาวม้าของชาวบ้าน จึงนำเอาผ้าขาวม้าของชาวบ้าน ตำบลหนองน้ำใส อำเภอภาชี  ซึ่งมีรกรากจากชาวเวียงจันทน์  นำมาเสกด้วยพุทธาคม เป็น “ผ้าขาวม้ามหาเวทย์”   เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน และใช้ในพิธีสำคัญ ต่างๆ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ชาวบ้านจะนำผ้าขาวม้ามาผูกไว้ที่เสาเอกแขวนไว้ที่ขื่อ  ซึ่งมีความเชื่อว่าสามารถป้องกันขโมยลักวัว ควาย  เป็ด ไก่ได้ บางแห่งนำไปขับไล่สิ่งไม่ดี  ขับไล่นก หนู  แมลง  เพลี้ยกระโดด ไม่ให้ไปทำลายข้าวที่ตั้งไว้ในท้องไร่ท้องนา  ความเชื่อในความมหัศจรรย์  จากปริศนาแห่งโชคชะตา  บนเส้นใยผ้าขาวม้า  สรุปได้ว่า “ผ้าขาวม้าแห่งโชคชะตา  ทรงคุณค่าสู่สากล”  วัฒนธรรมผ้าขาวม้า ของชาวอยุธยาจึงมีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 150 ปี  จากบรรพชนสู่เยาวชน  ในรุ่นปัจจุบัน  (หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค. 2539) 
 
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของผ้าขาวม้ายังมีการถ่ายทอดผ่านความเชื่อจากเรื่องเล่า '''“นิทานกำเนิดผ้าขาวม้า”''' จากบันทึกของผ้าขาวม้ารำลึกตามรอยผ้าขาวม้าของพ่อ กล่าวว่า  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีช่างทอผ้าผู้หนึ่ง  เกิดอุตริไปปัสสาวะรดต้นไม้ใหญ่ในป่าที่มีนางไม้สิงสถิตอยู่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  นางไม้ด้วยความโกรธแค้นจึงแปลงร่างเป็นมดคันไฟเข้าไปกัดบริเวณที่ลับช่างทอผ้าจนบวมแดง  ช่างทอผ้าหลังจากโดนนางไม้กัด (มดคันไฟ) ทุนรนทุรายอยู่หลายวัน  ทั้งแสบทั้งคัน  คิดว่าไม่นานอาการคงจะดีขึ้น คิดเพียงว่าแค่มดคันไฟกัดเดี๋ยวเดียวคงหาย  ต่อมาปรากฏว่าอาการไม่ดีขึ้น  ภรรยาของเขาจึงรีบไปตามหมอมารักษาอาการของช่างทอผ้า  ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะหาย  ต่อมาเดือดร้อนถึงพระภูมิเจ้าที่ประจำบ้านที่อดสมเพชเวทนาไม่ได้  จึงได้มาเข้าฝันช่างทอผ้าในค่ำคืนหนึ่ง  เพื่อบอกถึงสาเหตุความทุกข์ทรมานของช่างทอผ้าและบอกวิธีการแก้ไข ในฝันพระภูมิบอกกับช่างทอผ้าว่า  ให้เขาทอผ้าฝ้ายเป็นลายตารางหมากรุก สลับสีสลับลายให้สวยงามแล้วนำไปกราบไหว้ขอขมากับนางไม้ตรงบริเวณต้นไม้ที่ช่างทอผ้าไปยืนปัสสาวะรด โดยให้นำผ้าที่ทอนั้นไปพันไว้โคนต้นไม้เป็นเวลาสามวัน หลังจากสามวันแล้วให้นำผืนผ้านั้นกลับมานุ่งแทนเสื้อผ้าเป็นเวลาสามวัน แล้วช่างทอผ้าก็จะหายจากอาการที่เป็นอยู่ วันรุ่งขึ้นพอช่างทอผ้าตื่นขึ้นมา ได้เล่าความฝันให้ภรรยาฟัง ภรรยาถามเขาว่าได้ไปปัสสาวะรดต้นไม้ใหญ่จริงหรือไม่  ช่างทอผ้าตอบว่าจริง นางจึงบอกให้สามีรีบเร่งไปขอขมากับนางไม้ตามที่พระภูมิเจ้าที่มาเข้าฝันโดยเร็ว  หลังจากช่างทอผ้าได้ทำการขอขมากับนางไม้ตามที่พระภูมิเจ้าที่  อาการของช่างทอผ้าได้หายเป็นปลิดทิ้ง แม้นเขาจะหายจากอาการคันแล้ว  เขาก็ยังนุ่งผ้าขาวม้าที่ใช้ขอขมานางไม้มาโดยตลอด มิหนำซ้ำเขายังได้แจกจ่ายผ้าขาวม้าให้กับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ได้นำไปใช้ประโยชน์อีกด้วย ซึ่งภายหลังผ้าขาวม้าจึงได้รับความนิยมเรียกกันติดปากว่า “ผ้าขมา” ผ้าที่ใช้แทนการขอโทษหรือแทนคุณ จนกระทั่งปัจจุบันได้เพี้ยนมาเป็น “ผ้าขาวม้า” ในที่สุด
 
ในฝันพระภูมิบอกกับช่างทอผ้าว่า ให้เขาทอผ้าฝ้ายเป็นลายตารางหมากรุก สลับสีสลับลายให้สวยงามแล้วนำไปกราบไหว้ขอขมากับนางไม้ตรงบริเวณต้นไม้ที่ช่างทอผ้าไปยืนปัสสาวะรด โดยให้นำผ้าที่ทอนั้นไปพันไว้โคนต้นไม้เป็นเวลาสามวัน หลังจากสามวันแล้วให้นำผืนผ้านั้นกลับมานุ่งแทนเสื้อผ้าเป็นเวลาสามวัน แล้วช่างทอผ้าก็จะหายจากอาการที่เป็นอยู่
 
วันรุ่งขึ้นพอช่างทอผ้าตื่นขึ้นมาได้เล่าความฝันให้ภรรยาฟัง ภรรยาถามเขาว่าได้ไปปัสสาวะรดต้นไม้ใหญ่จริงหรือไม่ ช่างทอผ้าตอบว่าจริง นางจึงบอกให้สามีรีบเร่งไปขอขมากับนางไม้ตามที่พระภูมิเจ้าที่มาเข้าฝันโดยเร็ว หลังจากนั้นช่างทอผ้าได้ทำการขอขมากับนางไม้ตามที่พระภูมิเจ้าที่ อาการของช่างทอผ้าได้หายเป็นปลิดทิ้ง แม้นเขาจะหายจากอาการคันแล้ว เขาก็ยังนุ่งผ้าขาวม้าที่ใช้ขอขมานางไม้มาโดยตลอด มิหนำซ้ำเขายังได้แจกจ่ายผ้าขาวม้าให้กับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ได้นำไปใช้ประโยชน์อีกด้วย ซึ่งภายหลังผ้าขาวม้าจึงได้รับความนิยมเรียกกันติดปากว่า '''“ผ้าขมา”''' ผ้าที่ใช้แทนการขอโทษหรือแทนคุณ จนกระทั่งปัจจุบันได้เพี้ยนมาเป็น '''“ผ้าขาวม้า”''' ในที่สุด
 
คำบอกเล่าเกี่ยวกับความเชื่อของผ้าขาวม้ายังเกี่ยวข้องกับเรื่องเวทมนต์ ดังเรื่องเล่าเกี่ยวกับ หลวงพ่อพรหมวัดช่องแค  ตำบลตากฟ้า  อำเภอตาคลี  จังหวัดนครสวรรค์  ชาติภูมิเดิมเป็นชาวตำบลบ้านแพรก  อำเภอบ้านแพรก  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2477 ได้ตระหนักและเล็งเห็นความสำคัญถึงรหัสปริศนา ผ้าขาวม้าของชาวบ้าน  จึงนำเอาผ้าขาวม้าของชาวบ้าน  ตำบลหนองน้ำใส  อำเภอภาชี  ซึ่งมีรกรากจากชาวเวียงจันทน์  นำมาเสกด้วยพุทธาคม เป็น “ผ้าขาวม้ามหาเวทย์”   เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน และใช้ในพิธีสำคัญ ต่างๆ เช่น การขึ้นบ้านใหม่ ชาวบ้านจะนำผ้าขาวม้ามาผูกไว้ที่เสาเอกแขวนไว้ที่ขื่อ  ซึ่งมีความเชื่อว่าสามารถป้องกันขโมยลักวัว ควาย  เป็ด ไก่ได้  บางแห่งนำไปขับไล่สิ่งไม่ดี  ขับไล่เช่น นก  หนู  แมลง  เพลี้ยกระโดด  ไม่ให้ไปทำลายข้าวที่ตั้งไว้ในท้องไร่ท้องนา  ความเชื่อในความมหัศจรรย์  จากปริศนาแห่งโชคชะตา  บนเส้นใยผ้าขาวม้า  สรุปได้ว่า “ผ้าขาวม้าแห่งโชคชะตา  ทรงคุณค่าสู่สากล”  วัฒนธรรมผ้าขาวม้า ของชาวอยุธยาจึงมีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 150 ปี  จากบรรพชนสู่เยาวชน  ในรุ่นปัจจุบัน  (<ref>หลวงพ่อพรหม  วัดช่องแค. 2539.</ref>
 
ผ้าขาวม้าอยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย   แม้โดยประวัติผ้าขาวม้าอาจไม่ใช่ผ้าของคนไทย แต่ระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 900 ปีที่ผ่านไป ผ้าขาวม้าจัดเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ของไทยอย่างแท้จริง เพราะอย่างน้อยด้วยรูปลักษณ์และลวดลายที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องได้รวมไว้ทั้งศาสตร์แห่งสีสันและศิลป์แห่งลายผ้าไทยที่นำมาผสมผสานอย่างกลมกลืน อำนวยความสะดวกให้กับคนไทยมาหลายศตวรรษ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสูญหายไปง่ายๆ เกี่ยวข้องกับวิถีดำรงชีวิตมากมายหลายอย่าง นับสิ่งมหัศจรรย์แห่งสายใยที่ถักทอไว้อย่างประณีต จากตำนานกาลเวลา และคุณค่าอันน่ายกย่อง สรุปได้ว่าประโยชน์ของผ้าขาวม้าใช้กันตั้งแต่เกิดจนตาย