ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไตรจีวร"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
PanyaPangya (คุย | ส่วนร่วม) ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 2:
[[ไฟล์:Buddhism in Belgium.JPG|thumb|250px|พระภิกษุในพระพุทธศาสนามีการนุ่งห่มจีวรด้วยสีต่างๆ ตามคติและวินัยในแต่ละนิกาย]]
'''ไตรจีวร'''
นอกจากนี้ยังมีอีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกไตรจีวรทั้งนิกาย[[เถรวาท]]และ[[มหายาน]]คือคำว่า '''กาสาวะ กาสายะ''' หรือ '''
== ความเป็นมาของจีวร ==
ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช ก็มีหลักฐาน
=== ลายคันนาบนจีวร ===
[[ไฟล์:Central Asian Buddhist Monks.jpeg|170px|thumb|left|จิตรกรรมรูปพระภิกษุจีนและพระภิกษุชาวเอเชียกลาง สมัยพุทธศตวรรษที่ 14-15 โปรดสังเกตลวดลายของจีวร ซึ่งเป็นลายสี่เหลี่ยมเลียนแบบลายตารางคันนา อันเป็นเอกลักษณ์ของจีวรในพุทธศาสนาทุกนิกาย ไม่ว่าจะทำด้วยวัสดุใดและเป็นสีใดก็ตาม]]
{{พุทธศาสนา}}
จนต่อมาพระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรนาของชาวมคธ จึง
"''อานนท์ เธอเห็นนาของชาวมคธ ซึ่งเขาพูนดิน
พระอานนท์ตอบว่า "''สามารถ พระพุทธเจ้าข้า.''"
บรรทัด 22:
"''ขอพระผู้มีพระภาคจงทอดพระเนตรจีวรที่ข้าพระพุทธเจ้าแต่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.''"
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำ
"''
=== ไตรจีวร ===
บรรทัด 32:
ต่อมาทรงอนุญาต '''ไตรจีวร''' คือ ผ้าสังฆาฏิสองชั้น จีวร และสบง ทั้งนี้เพื่อให้พระสงฆ์ ใช้ป้องกันความหนาวเย็น และรับสั่งว่า ภิกษุไม่พึงมีจีวรมากกว่านี้ (รูปใดมีมากกว่านี้ เป็นอาบัติ)
'''อติเรกจีวร''' คือ จีวรที่มีเกินกว่าผ้าที่อธิษฐานเป็นไตรจีวร ตามพระวินัย ภิกษุสามารถเก็บไว้ได้ไม่เกิน 10 วัน และสามารถทำเป็น '''วิกัปอติเรกจีวร''' คือ ทำให้เป็น
ความเป็นมาของเรื่องอติเรกจีวรนี้ เนื่องจากมีผู้ถวายจีวรแก่พระอานนท์ แล้วท่านประสงค์จะเก็บไว้ ถวาย[[พระสารีบุตร]] ซึ่งขณะนั้นอยู่ต่างเมือง ประมาณ 10 วัน จึงจะเดินทางมาถึง พระอานนท์ได้เข้าไป ทูลถามพระพุทธองค์ว่า จะปฏิบัติอย่างไร กับอติเรกจีวรดี จึงทรงมีพุทธบัญญัติ ให้เก็บรักษาอติเรกจีวร ไว้ได้ไม่เกิน 10 วัน
บรรทัด 48:
ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 บันทึกว่า แต่เดิมนั้นพระภิกษุย้อมสีจีวรต่างกันไป พระโคตมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า<ref>{{citeweb|title=พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒|url=http://www.etipitaka.com/compare?lang1=thai&lang2=pali&p1=158&p2=201&volume=5|publisher=โปรแกรมตรวจหาและเทียบเคียงพุทธวจน|date=ม.ป.ป.|accessdate=2556-01-16}}</ref>
<blockquote>"
ส่วนสีที่ทรงห้ามมี 7 สี คือ สีเขียวครามเหมือนดอกผักตบชวา, สีเหลืองเหมือนดอกกรรณิการ์, สีแดงเหมือนชบา, สีหงสบาท (สีแดงกับเหลืองปนกัน), สีดำเหมือนลูกประคำดีควาย, สีแดงเข้มเหมือนหลังตะขาบ และสีแดงกลายแดงผสมคล้ายใบไม้แก่ใกล้ร่วงเหมือนสีดอกบัว<ref name = "pyo">{{citeweb|title=ทำไมสีจีวรของพระจึงต่างกัน เพราะอะไร|url=http://pyo.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=228:2009-09-15-23-00-11&catid=41:2008-10-29-14-40-50&Itemid=100|publisher=สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพะเยา|date=ม.ป.ป.|accessdate=2556-01-16}}</ref>
บางแห่งระบุว่า สีต้องห้าม คือ สีดำ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด และสีชมพู<ref name = "pyo"/>
การครองจีวร หรือ
▲== กาษายะของพุทธศาสนายุคแรก ==
▲การครองจีวร หรือ กาษายะในช่วงพุทธศาสนายุคแรก หรือในยุคที่พุทธศาสนายังรุ่งเรืองในอินเดีย (Indian Buddhism) มีความแตกต่างหลากหลายไปตามคณะนิกายต่างๆ ความแตกต่างนี้ไม่เพียงสื่อถึงสำนักนิกายในสังกัดเท่านั้น แต่ยังสื่อถึงความแตกต่างในพระวินัยอีกด้วย ระหว่างปี ค.ศ. 148 - 170 อันซื่อเกา (安世高) พระภิกษุชาวปาร์เตีย (Parthia) จาริกมาถึงแผ่นดินจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่าน ได้แปลปกรณ์วิเศษเกี่ยวกับการครองผ้า และสีสันจีวรของ 5 นิกายหลักของพุทธศาสนาในอินเดีย ปกรณ์วิเศษที่ว่านี้มีชื่อว่า "มหาภิกษุเสขิยะวัตร 3,000 ประการ" (大比丘三千威儀) อีกปกรณ์ที่พรรณนาถึงการครองผ้าและสีจีวรในลักษณะเดียวกันคือคัมภีร์ศาริปุตรปริปฤจฉา ข้อแตกต่างระหว่าง 2 คัมภีร์ก็คือ สีจีวรของนิกายสรวาสติวาทกับนิกายธรรมคุปตกะสลับกัน
{| class="wikitable"
|-
! นิกาย !! มหาภิกษุเส
|-
| สรวาสติวาท || แดงเข้ม || ดำ
เส้น 70 ⟶ 67:
| มหาสังฆิกะ || เหลือง || เหลือง
|-
|
|-
| กา
|}
==
'''กาสาวะในจีน''' พุทธจักรในจีน เรียกจีวร หรือผ้า
▲พุทธจักรในจีน เรียกจีวร หรือผ้ากาษายะว่า "เจียซา" (袈裟) ในสำเนียงมาตรฐานปัจจุบัน แต่ในสำเนียงจีนโบราณออกเสียงว่า "เกียซา" หรือ "กาซา" ในช่วงแรกที่พุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่แผ่นดินจีนนั้น พระภิกษุครองจีวรสีแดงเป็นหลัก แต่ต่อมาคณะนิกายมีความแตกต่างหลากหมายมากขึ้นสีสันจึงมีความแตกต่างมากขึ้นดังเช่นคณะนิกายในอินเดีย อย่างไรก็ตาม ในกรณีของจีนนั้น สีของกาษายะมักแตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ต่างๆ เป็นสำคัญ มากกว่าที่จะใช้แยกแยะความแตกต่างระหว่างคณะนิกาย โดยในแถบเจียงหนาน ทางภาคใต้ มักครองสีดำเข้ม ขณะที่แถบไคเฟิง ทางภาคกลางมักครองสีกรัก เป็นต้น
ในเวลาต่อมาสายการอุปสมบทในจีนเหลือเพียงสายที่อิงกับพระวินัยของนิกายธรรมคุปตกะเท่านั้น ดังนั้นความแตกต่างระหว่างสี
นอกจากสีดำแล้ว ในสมัยราชวงศ์ถังยังมีธรรมเนียมการถวายจีวรสีม่วงให้กับพระภิกษุสงฆ์ผู้ประกอบด้วยคุณงามความดีอันยอดยิ่ง โดยธรรมเนียมนี้มีที่มาจากตำนานเล่าขานเกี่ยวกับพระศาณะวาสิน ศิษย์ของพระอานนท์ ที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับจีวร ต่อมาในแผ่นดินจีนมีเรื่องราวคล้ายคลึงกัน โดยพระภิกษุรุปหนึ่ง นามว่า ฮุ่ยเหลิง (慧稜) ถือกำเนิดมาพร้อมกับจีวรเช่นกัน แต่เป็นจีวรสีม่วง ประจวบเหมาะกับสีม่วงเป็นสีเครื่องแบบของขุนนางชั้นสูง ด้วยเหตุนี้ ตามธรรมเนียมจีน
อย่างไรก็ตาม พระภิกษุที่เคร่งครัดในสมัยราชวงศ์ถังไม่ยินดีนักกับการครอง
'''
พุทธจักรในเกาหลีเรียกจีวรว่า กาซา หรือ คาซา (อักษรฮันจา 袈裟 อักษรฮันกึล 가사) นับตั้งแต่พุทธศาสนาเผยแพร่เข้าสู่คาบสมุทรเกาหลี การครองจีวรส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากจีน ซึ่งแตกต่างไปตามนานานิกาย อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ราชวงศ์โชซอน (1392–1910) เป็นต้นมา ภิกษุส่วนใหญ่ครอง
'''
พุทธจักรในญี่ปุ่นเรียก
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักครองผ้าสีดำหรือสีเทาในยามปกติ นอกจากนี้ ยังรับธรรมเนียมการถวาย
'''
พุทธจักรในเวียดนามครอง
'''
พุทธจักรในทิเบตถือตามพระวินัยของนิกายมูลสรวาสติวาท
== ตัวอย่างการห่มจีวร ==
|