ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อำเภอธาตุพนม"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Depanom (คุย | ส่วนร่วม)
Depanom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 25:
'''พระนม''' ในพงศาวดารย่อเมืองเวียงจันทน์ แผนเมืองเวียงจันทน์ ใบลานพงศาวดารเมืองมุกดาหาร และพงศาวดารล้านช้างออกนามเมืองว่า '''พนม'''<ref>องค์การค้าของคุรุสภา. ''ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๔ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ (ต่อ)-๗๑) เรื่องเมืองนครจำปาศักดิ์ (ต่อ) พงศาวดารละแวก''. ม.ป.ท.. ๒๕๑๒.</ref> ในจารึกฐาปนาอูบสำริดเมืองจันทปุระของพ่อออกขนานโคษออกนามว่า '''ธาตุประนม'''<ref>ศิริวรรณ์ กาญจนโหติ. ''การสร้างคำในศิลาจารึกอีสาน ช่วง พ.ศ. ๒๐๗๓-พ.ศ. ๒๔๖๖''. ม.ป.ท. ๒๕๓๒.</ref> ในจารึกศิลาเลกบูรณพระธาตุพนม พ.ศ. ๒๔๔๔ ออกนามว่า '''ภนม''' ส่วนคัมภีร์อุรังคธาตุฉบับวัดอับเปวันนัง บ้านบกท่ง เมืองจำพอน แขวงสะหวันนะเขด แสดงฐานะของธาตุพนมว่าเป็นนครใหญ่แห่งหนึ่งโดยออกนามเมืองว่า '''นครต่อนดินพระมหาธาตุเจ้า'''<ref>อุลังกทาดผูกเดียว ฉบับวัดอับเปวันนัง บ้านบกท่ง เมืองจำพอน แขวงสะหวันนะเขด หน้าลานที่ ๑๓-๑๖</ref> นับเป็นเมืองโบราณเก่าแก่บริเวณลุ่มน้ำโขงที่มีอาณาเขตกินไปถึงปากเซบั้งไฟทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มาหลังเมืองศรีโคตรบูรและก่อนเมืองมรุกขนครเล็กน้อย ก่อตั้งก่อนรัชกาลพระเจ้าฟ้างุ้มมหาราชแห่งล้านช้าง (ก่อน พ.ศ. ๑๘๙๖) ก่อตั้งก่อนเมืองนครพนมและเมืองมุกดาหาร นับเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาหัวเมืองในอาณาเขตจังหวัดนครพนม มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์บริเวณตำบลกุดฉิม และในตัวเมืองปรากฏโบราณวัตถุในอารยธรรมหินตั้ง นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยศรีโคตรบูร (ก่อนทวารวดีอีสาน) สมัยจามปา สมัยขอม และสมัยล้านช้างทั้งในตัวเมืองและปริมณฑลกระจัดกระจายทั่วไปหลายแห่ง เฉพาะหลักฐานสมัยศรีโคตรบูรนั้นค้นพบว่ามีมากกว่า ๘ แห่ง ทั้งในตัวเมือง รอบตัวเมืองและตำบลใกล้เคียง นักโบราณคดีเชื่อว่าเมืองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาเถรวาทที่สำคัญแห่งหนึ่งของดินแดนสุวรรณภูมิและภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากมีการค้นพบหลักศิลาจารึกใบเสมายุคศรีโคตรบูรร่วมสมัยกับยุคทวารวดีที่วัดศิลามงคล ตำบลพระกลางทุ่ง จารึกคาถา [[เย ธมฺมา]] เช่นเดียวกับที่ปรากฏในนครปฐม อู่ทอง และซับจำปา <ref>www.retc.ac.th/v3/programe/roiet57.pdf</ref> ในอุรังคธาตุนิทานกล่าวว่า เมืองพนมถูกก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าพระยาทั้ง ๕ นคร คือหลังจากได้มีการสร้างอูบมุงภูกำพร้าเสร็จแล้ว เจ้าพระยาทั้ง ๕ ได้ให้คนไปนำหลักหิน หินรูปอัสสมุขี หินรูปม้าวลาหก และหินรูปม้าอาซาไนมาปักไว้ตามทิศต่างๆ เพื่อเป็นหลักเขตหมาย[[เมืองมงคลในชมพูทวีป]]<ref>อุดร จันทวัน. ''นิทานอุรังคะทาด : นิทานอุรังคธาตุ ฉบับลาว''. ขอนแก่น. ๒๕๔๗.</ref> เมืองพนมประกอบด้วยหมู่บ้านข้าโอกาสจำนวนหลายหมู่บ้าน นับจากยุคแรกเริ่มจนปฏิรูปการปกครองมีจำนวนมากกว่า ๓๐ หมู่บ้าน หลายหมู่บ้านตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง แต่มีศูนย์กลางการปกครองที่บ้านธาตุพนมซึ่งตั้งอยู่ที่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง ภายในตัวเมืองมีกำแพง ๓ ชั้นล้อมรอบเวียงพระธาตุตามคติตรีบูรของขอมโบราณ โดยมีวัดหัวเวียงรังสีตั้งอยู่ทิศหัวเมือง
 
คำว่า พนม มาจากภาษา[[เขมร]] แปลว่า [[ภูเขา]] จารึกบางแห่งเขียนเป็น พระนม'''พฺระนม''' (พฺระนมพระนม)<ref>http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=2169 </ref> ชาว[[ลาว]]ออกสำเนียงว่า '''ปะนม''' หรือ [['''ประนม]]''' คนท้องถิ่นจึงนิยมออกนามเมืองว่า เมืองปะนม คู่กับเมืองละคร (เมืองนครพนม) ในสมัยโบราณเรียกบริเวณที่ตั้งศูนย์กลางเมืองแห่งนี้ว่า [['''กปณคีรี]]''' (ภูเพียงกำพร้าเข็ญใจ) คนทั่วไปออกนามว่า [['''ภูกำพร้า]]''' เมืองพนมเป็นที่ตั้งของพระบรมมหาธาตุโบราณอันเก่าแก่ และศักดิ์สิทธิ์ และเป็นปฐมเจดีย์แห่งแรกของแผ่นดินลาวนามว่า '''พระมหาธาตุเจ้าพระนมบุรมมะเตชะเจดีย์''' หรือธาตุภูกำพร้า คนทั่วไปออกนามว่า ธาตุปะนม<ref>อุดร จันทวัน. ''นิทานอุรังคธาตุ : ฉบับลาว''. ขอนแก่น. ๒๕๔๗.</ref> ปัจจุบันคือ [[พระธาตุพนม]] [[วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร]] ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า วัดพนม วัดธาตุ หรือวัดพระธาตุ นับถือกันมาแต่โบราณว่าพระมหาธาตุแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (อรกธาตุหรือธาตุหัวอกของพระพุทธเจ้า) และชาวลาวเชื่อทั้งสองฝั่งโขงนับถือว่าเป็นพระธาตุปฐมเจดีย์แห่งแรกของลาว ในเอกสารพื้นเวียงจันทน์ยกย่องว่า ธาตุพนมคือ[[หลักโลก]]ของชาวลาว <ref>เอกสารพื้นเวียงจันทน์กล่าวว่า ก่อนราชวงศ์เวียงจันทน์จะล่มสลายจากการเผานครเวียงจันทน์ของสยามได้เกิดนิมิตอาเภทขึ้นคือ ยอดพระธาตุพนมหักลง ต่อมาสมเด็จพระเจ้าอนุวงษ์ได้เสด็จมายกยอดฉัตรขึ้นใหม่ จำนวนชั้นมี ๗ ชั้นเท่าของเดิม ภายหลังเมื่อสยามปกครองธาตุพนมแล้วจึงเปลี่ยนยอดฉัตรลงเหลือ ๕ ชั้นในปัจจุบัน</ref> ส่วนตำนานบ้านชะโนดนั้นยกย่องว่า ธาตุพนมคือ[[เสใหญ่]] (หลักเมือง) ของลาว <ref>เส หมายถึง เสาหลักหรือหลักเมือง</ref> ตำนานโบราณของพระพุทธศาสนาในล้านช้างก่อนการเข้ามาของพระพุทธศาสนาธรรมยุติกนิกายจากสยาม มีความเชื่อว่า ธาตุพนมคือสถานที่ประสูติและบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระยานกคุ่มไฟ ทำให้ธาตุพนมมีอีกนามหนึ่งว่า [['''ธาตุนกคุ่ม]]''' (พระวฏฺฏกธาตุนกคุ่ม) <ref>https://www.youtube.com/watch?v=DzuVAq-c6ng</ref> ในพื้นตำนานขุนบุรมราชาธิราชของลาวกล่าวว่า เมืองพนมเป็นเมืองสำคัญ ๑ ใน ๗ หัวเมืองทางศาสนาของสุวรรณภูมิประเทศที่ได้รับการประดิษฐานพระบรมธาตุก่อนหัวเมืองทั้งหลาย หลักฐานบางแห่งออกนามเมืองเป็นสร้อยต่อท้ายเมืองมรุกขนครว่า '''มะรุกขะนะคอน บํวอนพะนม ปะถมมะเจดี''' (มรุกขนคร บวรพนม ประถมเจดีย์)<ref>ดำรง พ. ทัมมิกะมุนี. ''พระพุทธศาสนาในประเทศลาว : ศึกษาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน''. กรุงเทพ. : สุขภาพใจ. ๒๕๕๓. น. ๔๐.</ref>
 
ในคัมภีร์อุรังคธาตุได้กล่าวถึงสถานะของเมืองพนมว่าเป็น[[ '''พุทธศาสนานคร]]''' หรือ [[ศาสนานคร]] เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองพนมจึงถูกเรียกว่า [['''ศาสนานครนิทาน]]''' ดังนั้น ในจารึกเจ้าพระยาหลวงนครพิชิตราชธานีศรีโคตรบูรหลวงจึงออกนามเมืองนี้ว่า [['''ศาสนาพระนม]]''' สถานะการเป็นพุทธนครของเมืองพนมนั้น<ref>ประวิทย์ คำพรหม. ''ประวัติอำเภอธาตุพนม''. กาฬสินธุ์. ๒๕๔๖.</ref> หมายถึง เมืองศักดิ์สิทธิ์หรือเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนา ศูนย์กลางทางจิตวิญญาณ ศรัทธาและความเชื่อของชาวลาวและชาติพันธุ์ต่างๆ ในอาณาจักรล้านช้าง ถึงขนาดชาวต่างชาติขนานนามเมืองว่า '''เมืองเมกกะของลาว''' เมืองพนมเป็นเมืองที่พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักร[[ศรีโคตรบูร]]โบราณ และพระมหากษัตริย์แห่ง[[อาณาจักรล้านช้าง]]ถวายเป็นเมือง[[กัลปนา]]แด่พระมหาธาตุเจ้าพระนม อีกนัยหนึ่งเรียกว่า เมือง[[ข้าโอกาส]]หยาดทาน หรือเมือง[[ข้อย]]โอกาส เจ้าผู้ปกครองเมืองธาตุพนมมีสถานะพิเศษต่างจากเจ้าเมืองทั่วไป ในจารึกผูกพัทธสีมาวัดธาตุพนมของเจ้าเมืองมุกดาหารออกนามเจ้าผู้ปกครองธาตุพนมว่า [['''ขุนโอกาส]]''' (ขุนเอากฺลาษฺ) <ref>กรมศิลปากร. ''จดหมายเหตุการณ์บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม : ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๒๒''. กรุงเทพฯ. ๒๕๒๒.</ref> ส่วนคัมภีร์อุรังคธาตุฉบับบ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี ทั้ง ๒ ฉบับบออกนามเจ้าผู้ปกครองธาตุพนมว่า [['''เจ้าโอกาส]]''' (เจ้าโอกาด)<ref>หนังสืออุลังคนีทาน (อุลังคะนิทาน) ฉบับหอสมุดแห่งชาติ บ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี หน้าลานที่ ๓๐-๓๒</ref> <ref>พื้นอุลํกาธา ฉบับหอสมุดแห่งชาติ บ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี หน้าลานที่ ๒๙-๓๐</ref> หมายถึงเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งข้าโอกาสพระธาตุพนม สถานะเช่นนี้เทียบได้กับบรรดาศักดิ์ของขุนสัจจพันธคีรีรัตนไพรวัน เจติยาสันคามวาสี นพคูหาพนมโขลน [[ขุนโขลน]]<ref>http://th.wikisource.org/wiki</ref> '''ขุนโขลน''' หรือเจ้า[[เมืองพระพุทธบาท]]หรือ (เมืองสุนาปรันตประเทศ) หัวเมืองกัลปนาชั้นจัตวาของฝ่ายสยาม<ref>กรมศิลปากร. ''ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗ : คำให้การขุนโขลน''. กรุงเทพ. ๒๔๖๐.</ref> และสามารถเทียบได้กับบรรดาศักดิ์[[ '''โขลญพล]]''' (โขฺลญฺ วล กํมฺรเตงฺ อญฺ) เจ้าเมืองกัลปนาของ[[เขมร]]โบราณ เช่น เมืองลวปุระหรือเมืองลพบุรี ในสมัยขอมเรืองอำนาจ<ref>http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/index.php</ref> ลักษณะการปกครองเช่นนี้ยังพบว่าปรากฏอยู่ในอาณาจักรล้านช้างหลายแห่งคือ เทียบได้กับสถานะของกวานนาเรือเมืองนาขาม เมืองหินซน และเมืองชนู เมืองที่ถูกแบ่งเขตกัลปนาแถบถ้ำสุวรรณคูหาในจังหวัดหนองบัวลำภู สมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เป็นต้น <ref>http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=2233</ref> ในเอกสารบันทึกการเดินทางในลาวของเอเจียน เอมอนิเย กล่าวว่า ขุนโอกาสเมืองพนมนั้นเป็นเครือญาติใกล้ชิดกันกับเจ้าเมืองมุกดาหารและเจ้าพระยาหลวงเมืองแสน อำนาจของขุนโอกาสในสมัยล้านช้างนั้นมีมากกว่าเจ้าเมืองในแถบลุ่มน้ำโขงหลายเมือง
 
ในสมัยโบราณเมืองพนมยังถูกรายล้อมด้วยเวียงข้าพระธาตุพนมอีก ๔ แห่ง คือ เวียงปากเซหรือเมืองกะบอง (ปัจจุบันคือเมืองหนองบก ประเทศสาธาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) เวียงปากก่ำกรรมเวรหรือเมืองปากก่ำ (ปัจจุบันคือตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม) เวียงขอมกระบินหรือเมืองกบิล (ปัจจุบันคืออำเภอนาแก)<ref>http://na-kae.blogspot.com/</ref> เวียงหล่มหนองหรือเมืองมรุกขนคร (ปัจจุบันคือตำบลพระกลางทุ่ง) นอกจากนี้ เมืองพนมยังมีภูมิศาสตร์การวางผังเมืองขนานยาวกับแม่น้ำโขงแบบนาคนาม และมีโครงสร้างการวางผังเมืองตามคติจักรวาลวิทยาของขอมโบราณ คือประกอบด้วยกำแพงล้อมรอบถึง ๓ ชั้น ประกอบด้วยพื้นที่สำคัญของเมือง ๓ ส่วน ส่วนแรกคือส่วนหัวเมือง เป็นที่ตั้งของ [['''วัดหัวเวียง''']] (ปัจจุบันคือ[[วัดหัวเวียงรังษี]]) หรือวัดสวนสั่ง (วัดสวนสวัร) และเป็นที่ตั้งของชุมชนข้าโอกาสพระธาตุพนมดั้งเดิมคือ [[บ้านหัวบึง]] ส่วนต่อมาคือส่วนกลางเมืองหรือส่วนตัวเมือง เป็นที่ตั้งขององค์พระธาตุพนมซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจพุทธหรือฝ่ายศาสนจักร ในจารึกวัดพระธาตุพนมแสดงให้เห็นว่าวัดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ประทับของพระสังฆราช นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของหอเจ้าเฮือน ๓ พระองค์ซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจผี เป็นที่ตั้งของ[[บึงธาตุ]]ซึ่งเป็นตัวแทนของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองโบราณทิศตะวันออกริมฝั่งโขงซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจการปกครองของเจ้านาย ส่วนทางทิศตะวันตกของส่วนตัวเมืองนั้นเป็นที่ตั้งของชุมชนข้าโอกาสพระธาตุพนมดั้งเดิมคือ [[บ้านดอนกลาง]]หรือ[[บ้านดอนจัน]] ส่วนสุดท้ายคือส่วนท้ายเมืองหรือปลายเมือง เป็นที่ตั้งของแม่น้ำเก่าแก่คือ[[แม่น้ำก่ำ]] ซึ่งอุรังคธาตุนิทานกล่าวว่า เดิมตอนใต้แม่น้ำแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งราชสำนักของกษัตริย์ที่มาร่วมสร้างพระธาตุพนม และยังเป็นที่ตั้งของชุมชนข้าโอกาสพระธาตุพนมดั้งเดิมคือ [[บ้านน้ำก่ำ]] อีกด้วย
 
ตำนานโบราณของเมืองธาตุพนมกล่าวว่า ในสมัย[[พระยานันทเสน]]เจ้า[[เมืองศรีโคตรบูร]] (ก่อน พ.ศ. ๑๘๙๖ ) พระองค์ทรงแต่งตั้งเจ้า ๓ พี่น้องซึ่งเป็นพระราชนัดดาของพระองค์ให้ปกครองข้าโอกาสพระธาตุพนมโดยแบ่งออกเป็น ๓ กอง ได้แก่ '''เจ้าแสนเมือง''' ปกครองกองข้าโอกาสนอกกำแพงพระมหาธาตุ '''เจ้าเมืองขวา''' ปกครองกองข้าโอกาสในกำแพงพระมหาธาตุ '''เจ้าโต่งกว้าง''' ปกครองกองข้าโอกาสฝั่งซ้ายน้ำโขงตลอดจนปาก[[น้ำเซ]]ไหลตกปาก[[น้ำก่ำ]] เจ้านายทั้ง ๓ พระองค์นี้ ต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็น[[มเหศักดิ์]][[หลักเมือง]]ธาตุพนมสืบมาจนถึงปัจจุบัน และนับถือกันกว่าทรงเป็นวิญญาณบรรพบุรุษรุ่นแรกของข้าโอกาสพระธาตุพนม เรียกว่า [['''เจ้าเฮือนทั้ง ๓''']] หรือ [['''เจ้าเฮือน ๓ พระองค์''']] ต่อมาในสมัยพระยาสุมิตธรรมวงศาเจ้าเมืองมรุกขนคร (ก่อน พ.ศ. ๑๘๙๖) พระองค์ได้แต่งตั้งให้มีนายด่านนายกองรักษาเมืองพนม พร้อมทั้งมอบเงินทองให้เป็นเครื่องตอบแทน ต่อมาเมื่ออาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลงในสมัยล้านช้างตอนต้นคือรัชกาลของพระเจ้าโพธิสาลราช (พ.ศ. ๒๐๖๓-๒๐๙๐) เมืองพนมถูกปกครองโดยขุนนางข้าหัตบาสใกล้ชิดของพระเจ้าโพธิสาลราชจากราชสำนักเมืองหลวงพระบางนามว่า [['''พันเฮือนหิน''']] พร้อมทั้งได้รับพระราชทานบริวารคอยติดตามจำนวนมากให้อีกราว ๓๐ นาย จนเป็นที่ระแวงสงสัยแก่ขุนพันกินเมืองทั้งหลายในแถบนั้น นอกจากนี้พระเจ้าโพธิสาลราชยังตั้ง [['''พันชะเอ็ง''']] ([[ข้าชะเอ็ง]]) พี่ชายของพันเฮือนหินให้เป็นผู้ช่วยรักษาพระธาตุพนมร่วมกันด้วย <ref>พระธรรมราชานุวัตร (แก้ว อุทุมมาลา), ''อุรังคธาตุนิทาน : ตำนานพระธาตุพนม (พิศดาร) ''. กรุงเทพฯ. ๒๕๓๗.</ref> จากนั้น ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมหาราช (พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๔) พระองค์ได้เสด็จมาบูรณะพระธาตุพนมที่เมืองพนมพร้อมทั้งโปรดเกล้าแต่งตั้ง[['''พระยาธาตุพระนม''']] หรือ '''พระยาพระมหาธาตุเจ้า'''<ref>พื้นอุลํกาธา ฉบับหอสมุดแห่งชาติ บ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลี หน้าลานที่ ๒๔</ref> ขึ้นเป็นเจ้าโอกาสรักษานครพระมหาธาตุพนม โดยมี '''พระยาทั้ง ๔''' เป็นผู้ช่วยราชการ<ref>อุลังกทาดผูกเดียว ฉบับวัดอับเปวันนัง บ้านบกท่ง เมืองจำพอน แขวงสะหวันนะเขด หน้าลานที่ ๑๓</ref> ต่อมาในสมัยหลังพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชแห่งนครเวียงจันทน์ [[เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก]]สังฆราชแห่งเวียงจันทน์ได้อพยพผู้คนจากนครเวียงจันทน์บางส่วนมาถวายไว้เป็นข้าพระธาตุพนมจำนวนมาก พร้อมทั้งต่อเติมเสริมยอดพระธาตุพนมให้สูงขึ้น ในตำนานบ้านดงนาคำซึ่งเป็นหมู่บ้านข้าโอกาสพระธาตุพนมทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงกล่าวว่า เจ้าราชครูหลวงได้ตั้งให้พระสงฆ์ฝ่ายปกครอง ๔ รูปปกครองวัดวาอารามทั้ง ๔ ทิศในเขตเมืองพนม เรียกว่า [['''เจ้าด้านทั้ง ๔''']] จากนั้นทรงขออนุญาตเจ้านายผู้ปกครองกองข้าโอกาสพระธาตุพนมซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ กอง ให้เป็นผู้นำพาประชาชนจากเวียงจันทน์ออกไปตั้งหมู่บ้านใหม่เพื่อให้ข้าโอกาสพระธาตุพนมมีจำนวนเพิ่มขึ้น คือ [['''แสนกลางน้อยศรีมุงคุล''']]หัวหน้าข้าโอกาสให้นำพาผู้คนไปตั้งบ้านหมากนาว<ref>เชื่อว่าเป็นองค์เดียวกันกับอาชญาหลวงกลางน้อยศรีวรมุงคุล (ศรี รามางกูร) เจ้าเมืองธาตุพนม แต่เมื่อเทียบศักราชช่วงที่ปกครองแล้วห่างกันมาก</ref> [['''แสนพนม''']]ให้นำพาผู้คนไปตั้งบ้านดงใน [['''แสนนามฮาช''']] (แสนนาม) ให้นำพาผู้คนไปตั้งบ้านดงนอก ทั้งสามท่านยังเป็นต้นตระกูลข้าโอกาสพระธาตุพนมทั้งสองฝั่งโขงสืบมาจนปัจจุบัน<ref>พระเทพรัตนโมลี, ''เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (ท่านเจ้าราชครูขี้หอม)''. กรุงเทพฯ. ๒๕๒๘.</ref>
 
ภายหลังการสถาปนาราชอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์แล้ว (พ.ศ. ๒๒๕๖) เมืองพนมได้กลายเป็นเมืองชายพระราชอาณาเขตหรือ[[เมืองขอบด่าน]] ต่อเขตแดนระหว่าง[[ราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์]]และ[[ราชอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์]] โดยมีเมืองละคร ([[นครพนม]]) ซึ่งขึ้นกับนคร[[เวียงจันทน์]] และมีเมืองบังมุก ([[มุกดาหาร]]) ซึ่งขึ้นกับนคร[[จำปาศักดิ์]] ทั้งสองเมือง เป็นผู้ร่วมกันรักษาดูแลเมืองพนม โดยแบ่งเขตแดนเมืองกันที่หน้าลานพระบรมธาตุเจ้าพนม ทำนองเดียวกันกับพระธาตุศรีสองรักแห่งเมืองด่านซ้าย ซึ่งเป็นเมืองขอบด่านต่อแดนระหว่างราชอาณาจักรศรีสัตนาคนหุตและราชอาณาจักรศรีอยุธยา<ref>http://place.thai-tour.com/loei/dansai/271</ref> ดังนั้นเมืองพนมจึงมีสถานะพิเศษแตกต่างจากหัวเมืองหลายเมืองในแผ่นดิน[[ลาว]]และ[[อีสาน]]<ref>http://www.thatphanom.com/2300.html</ref> อย่างไรก็ตาม โดยราชธรรมเนียมแล้วเจ้าเมืองนครพนมมักมีอำนาจในการแต่งตั้งเจ้านายชั้นสูงมาปกครองเมืองพนม อันเนื่องมาจากเมืองมุกดาหารเป็นหัวเมืองที่มีอำนาจน้อยกว่า ในจารึกลานเงินพระธาตุพนมสมัยปลายรัชกาลพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชหรือสมัยพระยาจันทสีหราช (พระยาเมืองแสน) กล่าวว่าเจ้านครวรกษัตริย์ขัติยราชวงศา (พ.ศ. ๒๒๓๘) ได้สิทธิพระพรนามกรมาให้ [['''แสนจันทรานิทธสิทธิมงคลสุนทรอมร''']] สันนิษฐานว่าแสนจันทรานิทธผู้นี้คือขุนโอกาสเมืองพนมในสมัยนั้น ต่อมาในสมัยปลายอยุธยา เมืองพนมได้ถูกปกครองโดยกลุ่มตระกูลเจ้านายจากราชวงศ์เวียงจันทน์พระนามว่า [['''เจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร)''']] ซึ่งในพื้นประวัติวงศ์เจ้าเมืองพนมออกพระนามเต็มว่าพระอาจชญาหลวงเจ้าพระรามราชปราณีสีสุธมฺมราชา สหสฺสาคามเสลามหาพุทฺธปริษทฺทะบัวระบัติ โพธิสตฺวขัตฺติยวรราชวงศา พระหน่อรามาพุทธังกูร เจ้าเอากาสศาสนานครพฺระมหาธาตุเจ้าพฺระนม พิทักษ์บุรมมหาเจติย วิสุทฺธิรตฺตนสถาน คนทั่วไปออกนามว่า '''เจ้าพ่อขุนราม''' หรือ '''เจ้าพ่อขุนโอกาส''' (พ.ศ. ๒๒๙๑-๒๓๗๑) จากนั้นในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๕ หรือสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๔๘-๒๓๗๑) ทรงแต่งตั้งพระโอรสของเจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร) คือ [['''เจ้าพระรามราชปราณีศรีมหาพุทธปริษัท (ศรี รามางกูร)''']] หรืออาชญาหลวงกลางน้อยศรีวรมุงคุล ขึ้นปกครองธาตุพนมต่อจากพระบิดา เจ้านายทั้ง ๒ พระองค์เป็นต้นตระกูล [[รามางกูร]] แห่งอำเภอธาตุพนม และเป็นเชื้อสายของสมเด็จพระเจ้าสิริบุญสารพระมหากษัตริย์แห่งนครเวียงจันทน์ (พ.ศ. ๒๒๙๔-๒๓๒๒) รวมทั้งเป็นญาติใกล้ชิดกับสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ด้วย ตระกูลนี้มีอำนาจบทบาทปกครองธาตุพนมสืบได้อีกอย่างน้อย ๔ ชั่วอายุคนและถือเป็นต้นตระกูลเก่าแก่หลายตระกูลของอำเภอธาตุพนมในปัจจุบัน เช่น ตระกูลบุคคละ ประคำมินทร์ [[จันทศ]] มันตะ สารสิทธิ์ ลือชา ทามนตรี ทศศะ พุทธศิริ รัตโนธร ครธน สุมนารถ มนารถ อุทา สายบุญ เป็นต้น ตระกูลเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มตระกูลใหญ่ที่มีบทบาททำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในเมืองธาตุพนมและวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เจ้านายและนายกองตลอดจนกรมการเมืองที่ปกครองธาตุพนมในยุคต่อๆ มามักมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองทางเครือญาติกับกลุ่มตระกูลนี้ <ref>มหาดวง รามางกูร (ท้าวดวง บุคคละ), "พื้นประวัติวงศ์เจ้าเมืองพนม (ประวัติตระกูลรามางกูรแห่งเมืองธาตุพนม)".ม.ป.ท.. ม.ป.ป..</ref> อย่างไรก็ตาม ในพื้นประวัติวงศ์เจ้าเมืองพนมกล่าวถึงจำนวนผู้ปกครองเมืองพนมโดยพิศดารก่อนการเข้ามาปกครองโดยราชวงศ์เวียงจันทน์ว่า มีเจ้าโอกาส (บ้างออกนามว่าขุนพนม เจ้าพระนม เพียพระนม กวานพนม) ปกครองเมืองพนมมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓๐ องค์จากราชวงศ์ศรีโคตรบูรซึ่งสืบเชื้อสายผ่านทางเจ้าเฮือนทั้ง ๓ พระองค์
 
ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ (พ.ศ. ๒๓๔๘-๒๓๗๑) เมืองพนมได้เกิดปัญหาการถูกรุกรานจากการแย่งชิงข้าเลกพระธาตุพนม อันเนื่องมาจากสยามได้ให้อำนาจเจ้าเมืองนครราชสีมาและเมืองกาฬสินธุ์มาสักเลขข้าพระธาตุพนม จนได้รับความเดือนร้อนวุ่นวายและกลายเป็นหนึ่งในชนวนเหตุสงครามเจ้าอนุวงศ์ด้วย<ref>ทรงพล ศรีจักร์. ''เพ็ชรพื้นเมืองเวียงจันทน์ : พงศาวดารลาวตอนเวียงจันทน์แตก''. กรุงเทพ. ๒๔๗๙. </ref> ปัญหาการแย่งชิงข้าเลกพระธาตุพนมนี้ยืดเยื้อยาวนานมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากเจ้าเมืองทั้ง ๓ คือเมืองนครพนม เมืองมุกดาหาร และเมืองสกลนครได้แย่งชิงข้าเลขพระธาตุพนมไปเป็นข้าเลขเมืองของตน (พ.ศ. ๒๔๓๒)<ref>เอกสาร ร.๕ ม.๒ (๑๒ ก.) เล่ม ๒๐ ร.ศ. ๑๐๗ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. </ref> เอกสารต่างชาติเรื่องบันทึกการเดินทางในลาว ตรงกับสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสของหัวเมืองลาวฝั่งซ้ายกล่าวถึงสาเหตุการแย่งชิงข้าเลกพระธาตุพนมว่า เดิมเมืองพนมเป็นเมืองอิสระจากอำนาจรัฐ (ก่อน พ.ศ. ๒๔๒๔) หลังการวิวาทของเจ้านายท้องถิ่นแล้ว ทางธาตุพนมจึงมีการขอความคุ้มครองจากเมืองนครพนมและเมืองมุกดาหาร เป็นเหตุให้ข้าพระธาตุพนมจำนวนมากถูกแย่งชิงไปขึ้นกับเมืองนครพนมและเมืองมุกดาหาร จนไม่เป็นที่พอใจแก่ประชาชนชาวธาตุพนม และเป็นสาเหตุที่ทำให้เมืองธาตุพนมไม่สามารถตั้งเจ้าเมืองได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง พร้อมทั้งไม่สามารถตั้งธาตุพนมให้เป็นเมืองในขอบขัณฑเสมาสยามได้ ต่อมาเจ้านายท้องถิ่นได้พยายามขอความคุ้มครองจากสยามแทน ในพื้นประวัติวงศ์เจ้าเมืองพนมกล่าวว่า ชนวนการวิวาทครั้งนี้เกิดจากการแย่งชิงกันขึ้นปกครองข้าโอกาสพระธาตุพนมของพระอัคร์บุตร (บุญมี บุคคละ) พระอุปฮาต (เฮือง รามางกูร) และพระปราณีศรีมหาพุทธบริษัท (เมฆ รามางกูร) ซึ่งทั้ง ๓ ต่างเป็นทายาทญาติใกล้ชิดของเจ้านายเดิมผู้ปกครองธาตุพนม<ref>มหาดวง รามางกูร (ท้าวดวง บุคคละ), "พื้นประวัติวงศ์เจ้าเมืองพนม (ประวัติตระกูลรามางกูรแห่งเมืองธาตุพนม)".ม.ป.ท.. ม.ป.ป..</ref>อย่างไรก็ตาม ในอุรังคธาตุฉบับม้วนอานิสงส์ ได้กล่าวถึงปัญหาการแย่งชิงข้าเลกพระธาตุพนมว่ามีมานานตั้งแต่สมัยก่อนเมืองมรุกขนครจะล่มสลายแล้ว ซึ่งสมัยนั้นตรงกับรัชกาลของพระยานิรุฏฐราช เอกสารนี้แสดงให้เห็นว่า การที่เมืองมรุกขนครล่มสลายลงก็เนื่องมาจาก พระยานิรุฏราชเจ้าเมืองมรุกขนครเข้ามาแย่งชิงข้าพระธาตุพนมไปใช้สอยในราชการ<ref>อุดร จันทวัน, "ศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาเรื่องอุรังคธาตุนิทาน : ภาษาทางศาสนาและอิทธิพลต่อสังคม".ม.ป.ท.. ๒๕๔๗.</ref>