ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มัลลิกา ภรรยาของพันธุลเสนาบดี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
PanyaPangya (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
PanyaPangya (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{ต้องการอ้างอิง}}
{{เก็บกวาด}}
'''นางมัลลิกา''' เป็นพระธิดาของกษัตริย์องค์หนึ่งใน[[แคว้นมัลละ]] ซึ่งภายหลังได้สมรสกับ[[พันธุลเสนาบดี]]
 
พันธุละธุลเสนาบดี เป็นโอรสของเจ้ามัลละในเมืองกุสินารา เป็นศิษย์ศึกษาศิลปวิทยาในสำนักเดียวกันกับปเสนทิกุมารแห่ง[[แคว้นโกศล]] และเมื่อศึกษาจบได้กลับไปยังกุสินารานคร และได้แสดงศิลปวิทยาที่ได้ศึกษามาให้เหล่ามัลละกษัตริย์ชมมัลลกษัตริย์ชม แต่ถูกเจ้ามัลละบางพวกแกล้ง ด้วยความน้อยใจ จึงหนีไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารของปเสนทิกุมาร ซึ่งต่อมาได้ครองราชย์เป็น[[พระเจ้าปเสนทิโกศล]] และได้ทรงสถาปนาพันธุละในตำแหน่งเสนาบดี พันธุละก็ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าปเสนทิโกศลด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
 
สำหรับพันธุละธุลเสนาบดีผู้นี้ได้สมรสกับเจ้าหญิงมัลลิกา แต่หลังจากแต่งงานเป็นเวลานานก็ยังไม่มีบุตร จนสามีคิดว่านางเป็นหมัน (ตามความเชื่อสมัยนั้น ถือว่าสตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้จะทำให้สามีเป็นคนอาภัพ ต้องถูกส่งตัวกลับตระกูลเดิม) จึงส่งนางกลับตระกูลของตน
 
ก่อนเจ้าหญิงมัลลิกากลับ ได้ถวายบังคมลาพระพุทธเจ้าที่พระเชตวัน พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า เธอจะไปไหน พระนางจึงกราบทูลไปว่า จะกลับไปยังเมืองมาตุภูมิ เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรแก่สามีได้ จึงถูกส่งตัวกลับ แต่พระพุทธองค์ตรัสอย่าด่วนกลับเลย
 
นางมัลลิกาคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ เห็นทีเราคงมีบุตรแน่ ๆแน่ๆ พระองค์จึงตรัสถามอย่างนี้ พระนางดีใจเป็นล้นพ้น และเดินทางกลับบ้านทันที
 
อยู่มาไม่นานพระนางก็แพ้ท้องอยากลงอาบและดื่มน้ำในสระโบกขรณี อันเป็นสระน้ำมงคลและเป็นที่หวงแหนของพระเจ้าลิจฉวี เมืองไพศาลี สระนี้ได้รับการอารักขาเป็นอย่างดี พันธุละอุ้มภริยาขึ้นรถถือธนูคู่ชีพ มุ่งหน้าไปยังเมืองไพศาลี
 
เมื่อถึงเมืองไพศาลีแล้ว ก็มุ่งตรงไปยังสระโบกขรณี และใช้แส้หวายหวดไล่เหล่าทหารที่อารักขาสระน้ำจนแตกกระจาย ให้ภริยาลงอาบน้ำ ดื่มน้ำ แล้วขึ้นรถห้อตะบึงกลับ
 
พวกเจ้าลิจฉวีเมื่อทราบว่ามีผู้บุกรุกก็ออกติดตาม มหาลิลิจฉวีสหายร่วมสำนักของพันธุละ ซึ่งบัดนี้ตาบอดทั้งสองข้าง และเป็นอาจารย์ของลิจฉวีราชกุมารทั้งหลาย ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าและล้อรถวิ่งผ่านไป รู้ทันทีว่าเป็นพันธุละธุลเสนาบดีผู้เกรียงไกร จึงร้องห้ามพวกลิจฉวีไม่ให้ตามไป เพราะจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตแต่พวกเจ้าลิจฉวีไม่เชื่อฟัง
 
พันธุละบอกภริยาว่า ถ้ารถม้าที่ตามมาปรากฏเป็นแนวเดียวกันเมื่อไรให้บอก และเมื่อนางมัลลิกาเห็นว่ารถได้เรียงแถวเป็นแนวเดียวกันแล้วจึงบอก พันธุละจึงโก่งคันศรปล่อยธนูไปด้วยความแรง ลูกธูนออกธนูออกจากแล่งด้วยความเร็วเจาะเกราะทะลุหัวใจของมัลลกษัตริย์ 500 คน พร้อมกัน ล้มลงสิ้นชีวิตหมดสิ้น
 
ต่อมานางมัลลิกาก็คลอดบุตรชายแฝด 16 ครั้ง ครั้งละ 2 คนบุตรทั้งหมดเจริญเติบโตเต็มวัยแล้วได้เรียนศิลปวิทยาสำเร็จกันจนหมดแต่ละคนก็มีบุรุษบริวารนับพันคน
 
อยู่มาวันหนึ่ง พันธุละธุลเสนาบดี ได้ทราบว่าพวกอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดี วินิจฉัยคดีด้วยความไม่ยุติธรรมเก่เจ้าทุกข์ จึงวินิจฉัยเสียเอง ทำให้ประชาชนมีความยุติธรรม เรื่องรู้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์จึงทรงมอบหน้าที่วินิจฉัยคดีแก่พันธุละอีกตำแหน่งหนึ่ง
 
พวกอำมาตย์ไม่พอใจ จึงยุยงให้พระเจ้าปเสนทิโกศลส่งให้พันธุละไปปราบโจรที่ชายแดน และส่งทหารไปดักฆ่าพันธุละและพร้อมกับบุตรชาย ๓๒32 คนจนสิ้นชีวิตหมดสิ้น
 
วันที่พันธุละและบุตรทั้งหมดถูกฆ่า นางมัลลิกานิมนต์พระอัครสาวกทั้งสอง พร้อมภิกษุ ๕๐๐500 รูปไปฉันภัตตาหารที่บ้าน เช้าวันนั้นมีคนนำจดหมายมาแจ้งว่าสามีและบุตรของพระนางถูกโจรฆ่าตายหมดสิ้น นางมัลลิกาจึงนำจดหมายออกจากชายพกและเรียนต่อพระเถระว่า "เมื่อเช้านี้ ดิฉันได้ข่าวว่าสามีและบุตรชายทั้ง ๓๒32 คน ได้ตายเสียแล้ว เมื่อเช้านี้ยังไม่คิดอะไร เพียงแค่ถาดเนยใส่แตกจะคิดอะไรเล่า"
 
นางมัลลิกาเรียกสะใภ้ทั้ง 32 คน มาให้โอวาทว่า สามีของพวกเธอไม่มีความผิด แค่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน พวกเธออย่าได้เศร้าโศกไปเลย จากนั้นบุรุษที่พระเจ้าปเสนทิโกศลส่งคนมาสอดแนม ได้นำข้อความที่นางมัลลิกาสอนแก่สะใภ้ไปกราบทูลให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบ พระองค์ทรงสลดพระราชหฤทัยที่หลงเชื่อคนผิด ทำให้พันธุละเพื่อนผู้ซื่อสัตย์พร้อมบุตรต้องเสียชีวิต
 
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ลงโทษประหารพวกอำมาตย์ที่ทูลความเท็จและทรงไปกล่าวขอโทษกับนางมัลลิกาพร้อมลูกสะใภ้ด้วยพระองค์เอง นางไม่ได้โกรธอะไรแต่นางได้ขอพระราชราชาอนุญาตว่าจะกลับไปยังเมืองมาตุภูมิพร้อมกับลูกสะใภ้ทั้งหมด พระองค์ก็ทรงอนุญาต และรับทีการายนะผู้เป็นหลานชายของพันธุละเป็นอำมาตย์ หลังจากที่นางมัลลิกาพร้อมกับสะใภ้ทั้ง 32 คนได้กลับไปยังเมืองมาตุภูมิแล้ว พวกนางไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย จนกระทั่งหลังจากพระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา แคว้นมมัละมัลละ พวกมัลละมัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราได้อัญเชิญพระพุทธสรรีระสรีระไปถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ โดยนำขบวนเคลื่อนที่จากทิศเนหือเหนือไปยังทิศตะวันออกของเมืองกุสินารา ระหว่างทางขบวนเคลื่อนที่ นางมัลลิกาได้ขอให้ขบวนหยุดแล้วนำ[[มหาลดาปสาธน์]] เครื่องประดับของนางมาถวายแก่พระพุทธสรรีระสรีระจนพระพุทธสรรีระสรีระเปล่งแสงประกายอย่างน่าอัศจรรย์
 
ในบั้นปลายชีวิต คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ระบุว่านางเสียชีวิตเมื่อใด แต่คงดำรงขันธ์อยู่พอสมควรแก่กาลจึงอันตรธานไป
 
[[หมวดหมู่:บุคคลในพุทธประวัติ]]