ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
Wasd2546 (คุย | ส่วนร่วม)
ๆไำๆไำไๆำๆไำๆไำๆไำๆไำ
บรรทัด 1:
{{สำหรับ|บทนำที่เข้าใจง่ายกว่าและใช้ศัพท์เทคนิคน้อยกว่าของหัวข้อนี้|บทนำทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป}}
{{ปรับภาษา}}[[regehwhwygw]]<nowiki/>w[[ไฟล์:Cassini-science-br.jpg|thumb|right|236px|การทดสอบสัมพัทธภาพทั่วไปความเที่ยงสูงโดยยานอวกาศ[[แคสซินี]] สัญญาณวิทยุที่ส่งระหว่างโลกและยาน (คลื่นสีเขียว) ถูกหน่วงโดยการบิดของ[[ปริภูมิ-เวลา]] (เส้นสีน้ำเงิน) เนื่องจากมวลของ[[ดวงอาทิตย์]]]]
{{ปรับภาษา}}
[[ไฟล์:Cassini-science-br.jpg|thumb|right|236px|การทดสอบสัมพัทธภาพทั่วไปความเที่ยงสูงโดยยานอวกาศ[[แคสซินี]] สัญญาณวิทยุที่ส่งระหว่างโลกและยาน (คลื่นสีเขียว) ถูกหน่วงโดยการบิดของ[[ปริภูมิ-เวลา]] (เส้นสีน้ำเงิน) เนื่องจากมวลของ[[ดวงอาทิตย์]]]]
 
'''สัมพัทธภาพทั่วไป'''หรือ'''ทฤษฎีสัมพัทธภาพสัมพัทegwegwgwธภาพทั่วไป''' ({{lang-en|general relativity หรือ general theory of relativity}}) เป็นทฤษฎี[[ความโน้มถ่วง]]แบบ[[เรขาคณิตเชิงอนุพันธ์|เรขาคณิต]]ซึ่ง[[อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์]]จัดพิมพ์ใน ค.ศ. 1916<ref>{{cite web|title=Nobel Prize Biography|url=http://www.nobelprize.org/nobel_prizes/physics/laureates/1921/einstein-bio.html|work=Nobel Prize Biography|publisher=Nobel Prize|accessdate=25 February 2011}}</ref> และเป็นการพรรณนาความโน้มถ่วงปัจจุบันในวิชา[[ฟิสิกส์สมัยใหม่]] สัมพัทธภาพทั่วไปวางนัยทั่วไป[[สัมพัทธภาพพิเศษ]]และ[[กฎความโน้มถ่วงสากลของนิวตัน]] โดย1gwให้การพรรณนารวมความโน้มถ่วงเป็นคุณสมบัติเรขาคณิตเร ขาคณิตของ[[ปริภูมิ]]และเวลา หรือ[[ปริภูมิ-เวลา]] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง [[ความโค้ง]]ของปริภูมิ-เวลาสัมพันธ์โดยตรงกับ[[พลังงาน|พลังงา]]และ[[โมเมนตัม]]<nowiki/>egางมากจากการทำนายของ[[สสาร]]และ[[รังสีฟิสิกส์แบบฉบับ]] โดยเฉพาะที่มีอยู่ทั้งหมดเกี่ยวกับการผ่านของเวลา ความสัมพันธ์นี้เจาะจงโดยเรขาคณิตของปริภูมิ การเคลื่อนที่ของเทห์ (body) ใน[[สมการฟีลด์ไอน์สไตน์การตกอิสระ]] Rและการแพร่Yลี่ยนขนาดของเวลาเชิงโน้มถ่วง ttttttttttttttttttttt2Eงด้วย ทว่า ยังเหลือคำถามซึ่งไม่มีคำตอบและเป็นระบบ[[สมการเชิงอนุพันธ์ย่อย]]หลักมูลที่สุดว่า สัมพัทธภาพทั่วไปได้รับการยืนยันในทุกการสังเกตและQW3
 
ทฤษฎีของไอน์สไตน์มีการส่อความทาง[[ฟิสิกส์ดาราศาสตร์]]สำคัญ ตัวอย่างเช่น มันส่อTความการมี[[หลุมดำ]] บริเวณของปริภูมิซึ่งปริภูมิและเวลาซึ่งบิดเบี้ยวจนไม่มีสิ่งใด กระทั่งแสง สามารถออกมาได้ โดยเป็นจุดจบของดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ มีหลักฐานมากพอว่า รังสีเข้มซึ่งแผ่จากวัตถุทางดาราศาสตร์บางชนิดเนื่องจากหลุมดำ เช่น ไมโครควาซาร์ (microquasar) และ[[นิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์]] ซึ่งเกิดจากกgwegwegweg2346t4ttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttttwwgeารมีหลุมดำดาวฤกษ์และหลุมดำชนิดใหญ่ยักษ์กว่ามากตามลำดับ การโค้งของแสงโดยความโน้มถ่วงสามารถนำไปสู่Q
การทำนายของสัมพัทธภาพทั่วไปบางอย่างแตกต่างมากจากการทำนายของ[[ฟิสิกส์แบบฉบับ]] โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการผ่านของเวลา เรขาคณิตของปริภูมิ การเคลื่อนที่ของเทห์ (body) ใน[[การตกอิสระ]] และการแพร่กระจายของแสง ตัวอย่างความต่างเหล่านี้มีการเปลี่ยนขนาดของเวลาเชิงโน้มถ่วง [[เลนส์ความโน้มถ่วง]] การเคลื่อนไปทางแดงเชิงโน้มถ่วงของแสง และการเปลี่ยนขนาดของเวลาเชิงโน้มถ่วง การทำนายของสัมพัทธภาพทั่วไปจนปัจจุบัน แม้สัมพัทธภาพทั่วไปมิใช่เพียงทฤษฎีความโน้มถ่วงสัมพัทธนิมเท่านั้น แต่เป็นทฤษฎีง่ายที่สุดซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงทดลองด้วย ทว่า ยังเหลือคำถามซึ่งไม่มีคำตอบและเป็นหลักมูลที่สุดว่า สัมพัทธภาพทั่วไปได้รับการยืนยันในทุกการสังเกตและการทดลภาพจะสามารถเข้ากับกฎ[[ฟิสิกส์ควอนตัม]]เพื่อสร้างทฤษฎี[[ความโน้มถ่วงควอนตัม]]ที่สมบูรณ์และต้องกันในตัวเองได้อย่างไร
 
ทฤษฎีของไอน์สไตน์มีการส่อความทาง[[ฟิสิกส์ดาราศาสตร์]]สำคัญ ตัวอย่างเช่น มันส่อความการมี[[หลุมดำ]] บริเวณของปริภูมิซึ่งปริภูมิและเวลาซึ่งบิดเบี้ยวจนไม่มีสิ่งใด กระทั่งแสง สามารถออกมาได้ โดยเป็นจุดจบของดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ มีหลักฐานมากพอว่า รังสีเข้มซึ่งแผ่จากวัตถุทางดาราศาสตร์บางชนิดเนื่องจากหลุมดำ เช่น ไมโครควาซาร์ (microquasar) และ[[นิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์]] ซึ่งเกิดจากการมีหลุมดำดาวฤกษ์และหลุมดำชนิดใหญ่ยักษ์กว่ามากตามลำดับ การโค้งของแสงโดยความโน้มถ่วงสามารถนำไปสู่ปรากฏการณ์เลนส์ความโน้มถ่วง ซึ่งสามารถเห็นภาพหลายภาพของวัตถุดาราศาสตร์ที่ระยะทางเท่ากันหลายภาพบนฟ้า สัมพัทธภาพทั่วไปยังทำนายการมีคลื่นความโน้มถ่วง ซึ่งมีการสังเกตโดยอ้อมนับแต่นั้น การวัดโดยตรงเป็นเป้าหมายของโครงการอย่าง LIGO และสายอากาศอวกาศอินเตอร์เฟอโรเมทรีเลเซอร์ (Laser Interferometer Space Antenna) ของ[[นาซา]]/[[องค์การอวกาศยุโรป|อีเอสเอ]] และแถวลำดับตั้งจังหวะพัลซาร์ (pulsar timing array) จำนวนมาก นอกจากนี้ สัมพัทธภาพทั่วไปยังเป็นพื้นฐานของแบบจำลอง[[จักรวาลวิทยา]]เอกภาพขยายต่อเนื่องปัจจุบัน
 
== จากกลศาสตร์แบบฉบับสู่สัมพัทธภาพทั่วไป ==
 
===สมการของไอน์สไตน์===
หลังคิดได้ผลของความโน้มถ่วงฉบับสัมพัทธนิยมและเรขาคณิตแล้ว แต่คำถามที่มาของความโน้มถ่วงยังอยู่ ในความโน้มถ่วงแบบนิวตัน ที่มานั้นคือมวล ในสัมพัทธภาพพิเศษ กลายเป็นว่ามวลเป็นส่วนหนึ่งของปริมาณทั่วไปกว่า เรียก เทนเซอร์พลังงาน–โมเมนตัม (energy–momentum tensor) ซึ่งมีทั้งความหนาแน่นของพลังงานและโมเมนตัม ตลอดจนความเครียด (คือ ความดันและความเฉือน) โดยใช้หลักการสมมูล เทนเซอร์นี้ถูกวางนัยทั่วไปพร้อมเป็นปริภูมิ-เวลาโค้งแล้ว โดยลากต่อบนอุปมากับความโน้มถ่วงแบบนิวตันเชิงเรขาคณิต จึงเป็นธรรมชาติที่จะสันนิษฐานว่าสมการฟีลด์สำหรับความโน้มถ่วงเชื่อมเทนเซอร์นี้กับเทนเซอร์ริตชี (Ricci tensor) ซึ่งอธิบายผลขึ้นลงชั้นเฉพาะหนึ่ง คือ การเปลี่ยนแปลงปริมาตรของอนุภาคทดสอบคลาวด์ (cloud) เล็กซึ่งทีแรกเป็นขณะพัก แล้วตกอิสระ ในสัมพัทธภาพพิเศษ การอนุรักษ์พลังงาน-โมเมนตัมสมนัยกับข้อความว่าเทนเซอร์พลังงาน-โมเมนตัมอนุภQRนตัมปลอดการลู่ออก เช่นเดียวกันเดียว3Rกัน สูตรนี้ถูกวางนัยทั่วไปพร้อมเป็นปริภูมิ-เวลาโค้งโดยการแทนอนุพันธ์ย่อยด้วยอนุพันธ์แมนิโฟลด์ (manifold) โค้งแทน ซึ่งเป็นอนุพันธ์แปรปรวนร่วมเกี่ยวที่ศึกษาในเรขาคณิคเชิงอนุพันธ์ ด้วยเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้นมานี้ การลู่ออกแปรปรวนร่วมเกี่ยวของเทนเซอร์พลังงาน-โมเมนตัม และอะไรเQรก็ตามที่อยู่อีกข้างหนึ่งของสมการ เป็นศูนย์ เซตสมการง่ายที่สุดจึงเป็นสิ่งที่เรียก สมการสนามของไอน์สไตน์:
 
{{Equation box 1
เส้น 19 ⟶ 14:
|equation=<math>G_{\mu\nu}\equiv R_{\mu\nu} - {\textstyle 1 \over 2}R\,g_{\mu\nu} = {8 \pi G \over c^4} T_{\mu\nu}\,</math>
|cellpadding
QRQRQR3QRQR|border
RQRQRQ3W|border colour = #50C87850C878QRQR2QRQ
|background colour = #ECFCF4ECFCF4QRQ2RQ}}
 
ข้างซ้ายมือเป็นเทนเซอร์ไอน์สไตน์ การจัดหมู่เทนเซอร์ริตชีแบบปลอดการลู่ออกเฉพาะ <math>R_{\mu\nu}</math> กับเทนเซอร์เมตริก โดยที่ <math>G_{\mu\nu}</math> สมมาตร โดยเฉพาะ
 
:<math>R=g^{\mu\nu}R_{\mu\nu}\,</math>QRQ3R
 
เป็นสเกลาร์ความโค้ง เทนเซอร์ริตชีเองสัมพันธ์กับเทนเซอร์ความโค้งรีมันน์ (Riemann curvature tensor) ทั่วไปกว่า โดยที่
เส้น 31 ⟶ 26:
:<math>R_{\mu\nu}={R^\alpha}_{\mu\alpha\nu}\,</math>
 
ข้างขวามือ ''<math>T_{\mu\nu}</math>'' เป็นเทนเซอร์พลังงาน–โมเมนตัม เทนเซอร์ทั้งหมดเขียนด้วยสัญกรณ์ดัชนีนามธรรม (abstract index notation)<ref>{{Harvnb|Ehlers|1973|pp=19–22}} for similar derivations, see sections 1 and 2 of ch. 7 in {{Harvnb|Weinberg|1972}}. The Einstein tensor is the only divergence-free tensor that is a function of the metric coefficients, their first and second derivatives at most, and allows the spacetime of special relativity as a solution in the absence of sources of gravity, cf. {{Harvnb|Lovelock|1972}}. The tensors on both side are of second rank, that is, they can each be thought of as 4×4 matrices, each of which contains ten independent terms; hence, the above represents ten coupled equations. The fact that, as a consequence of geometric relations known as [[Bianchi identities]], the Einstein tensor satisfies a further four identities reduces these to six independent equations, e.g. {{Harvnb|Schutz|1985|loc=sec. 8.3}}</ref> การจับคู่การทำนายของทฤษฎีดังกล่าวกับผลการสังเกตสำหรับวงโคจรดาวเคราะห์ (หรือเทียบเท่าการประกันขีดจำกัดความโน้มถ่วงอ่อน ความเร็วต่ำเป็นกลศาสตร์แบบนิวตัน) ค่าคงตัวความได้สัดส่วน (proportionality constant) สามารถคงเป็น κ = 8π''G''/''c''<sup>4</sup> โดยที่ ''G'' เป็น[[ค่าคงตัวความโน้มถ่วง]] และ ''c'' เป็น[[ความเร็วแสง]]<ref>{{Harvnb|Kenyon|1990|loc=sec. 7.4}}</ref> เมื่อไม่มีมวล เพื่อให้เทนเซอร์พลังงาน–โมเมนตัมหมดไป ผลคือ สมการไอน์สไตน์สุญญากาศ (vacuum Einstein equation)เ12E21EQEQEQEQE2EQEQ2ER1QrqRGI3UYRT2IURGJHRGQOUryho;iuwrgy;qou3rgeourfgejfq
 
we
 
gw
 
g
 
weg
 
we
 
g
 
weg
 
s
 
g
 
se
 
gs
 
g
 
e
 
g
 
s
 
gร็วต่ำเป็นกลศาสตร์แบบนิวตัน) ค่าคงตัวความได้สัดส่วน (proportionality constant) สามารถคงเป็น κ = 8π''G''/''c''<sup>4</sup> โดยที่ ''G'' เป็น[[ค่าคงตัวความโน้มถ่วง]] และ ''c'' เป็น[[ความเร็วแสง]]<ref>{{Harvnb|Kenyon|1990|loc=sec. 7.4}}</ref> เมื่อไม่มีมวล เพื่อให้เทนเซอร์พลังงาน–โมเมนตัมหมดไป ผลคือ สมการไอน์สไตน์สุญญากาศ (vacuum Einstein equation)
 
:<math>R_{\mu\nu}=0\,</math>
เส้น 38 ⟶ 65:
 
== บทนิยามและการประยุกต์พื้นฐาน ==
สัมพัทธภาพทั่วไปเป็นทฤษฎีความโน้มถ่วงเมตริก ณ ใจกลางของมันเป็นสมการของไอน์สไตน์ ซึ่งอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเรขาคณิตของแมนิโฟลด์สี่มิติ แบบรีมันน์เทียม (pseudo-Riemannian) ซึ่งเป็นตัวแทนของปริภูมิ-เวลาและ[[พลังงาน-โมเมนตัม]]ซึ่งอยู่ในปริภูมิ-เวลานั้น<ref>{{Harvnb|Wald|1984|loc=ch. 4}},เวwrwerwerwe
 
rwe
 
rwe
 
rw
 
er
 
we
 
rwe
 
r
 
wet
 
หีหีหีหีหีหีหีีหีหีหีหีหีหีหีหีหีหีีหีหีหีหีหีหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหีหีหีีหีีลานั้น<ref>{{Harvnb|Wald|1984|loc=ch. 4}},
{{Harvnb|Weinberg|1972|loc=ch. 7}} or, in fact, any other textbook on general relativity</ref> ปรากฏการณ์ซึ่งใน[[กลศาสตร์แบบฉบับ]]ให้เหตุผลว่าเป็นกิริยา (action) ของแรงโน้มถ่วง (เช่น การตกอิสระ การเคลื่อนที่แบบ[[โคจร]] และ[[แนววิถี]][[อวกาศยาน]]) สอดคล้องกับการเคลื่อนที่เฉื่อยภายในเรขาคณิตโค้งของปริภูมิ-เวลาในสัมพัทธภาพทั่วไป ไม่มีแรงโน้มถ่วงเบนวัตถุจากวิถีธรรมชาติเป็นเส้นตรงของมัน แต่ความโน้มถ่วงสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของปริภูมิและเวลา ซึ่งเปลี่ยนวิถีเส้นตรงที่สุดที่เป็นไปได้ซึ่งวัตถุจะดำเนินโดยธรรมชาติเป็นลำดับ<ref>At least approximately, cf. {{Harvnb|Poisson|2004}}</ref> ส่วนความโค้งนั้นเกิดจากพลังงาน–โมเมนตัมของสสารอีกทอดหนึ่ง ถอดความจากนักสัมพัทธนิยม จอห์น อาร์ชิบัลด์ วีเลอร์ (John Archibald Wheeler) ปริภูมิ-เวลาบอกสสารว่าจะเคลื่อนที่อย่างไร สสารบอกปริภูมิ-เวลาว่าจะโค้งอย่างไร<ref>{{Harvnb|Wheeler|1990|p=xi}}</ref>
 
ขณะที่สัมพัทธภาพทั่วไปแทนศักยะความโน้มถ่วงสเกลาร์ของกลศer5yerywtywuitypw8904ye0iytw4pi6ye9pu67e8o5iuw
ขณะที่สัมพัทธภาพทั่วไปแทนศักยะความโน้มถ่วงสเกลาร์ของกลศาสตร์แบบฉบับด้วยเทนเซอร์ค่าลำดับขั้นสอง (rank-two) สมมาตร แต่เทนเซอร์ค่าลำดับขั้นสองสมมาตรลดเหลือศักยะความโน้มถ่วงสเกลาร์ในบางกรณี สำหรับสนามความโน้มถ่วงอ่อนและความเร็วต่ำสัมพัทธ์กับความเร็วแสง การทำนายของทฤษฎีนี้บรรจบกับการทำนายของกฎความโน้มถ่วงสากลของนิวตัน<ref>{{Harvnb|Wald|1984|loc=sec. 4.4}}</ref>
 
eywe
 
t
 
we
 
gwesg
 
s
 
gs
 
eg
 
se
 
gwe
 
yh
 
er
 
urt
 
uj
 
tyk
 
ty
 
k
 
tyu
 
e
 
yhw
 
g
 
wf
 
qwf
 
we
 
3tywe
 
4ru
 
te
 
ue5
 
tu
 
tr
 
jrt
 
j
 
rt
 
jrt
 
j
 
rt
 
j
 
r
 
jrt
 
jาสตร์แบบฉบับด้วยเทนเซอร์ค่าลำดับขั้นสอง (rank-two) สมมาตร แต่เทนเซอร์ค่าลำดับขั้นสองสมมาตรลดเหลือศักยะความโน้มถ่วงสเกลาร์ในบางกรณี สำหรับสนามความโน้มถ่วงอ่อนและความเร็วต่ำสัมพัทธ์กับความเร็วแสง การทำนายของทฤษฎีนี้บรรจบกับการทำนายของกฎความโน้มถ่วงสากลของนิวตัน<ref>{{Harvnb|Wald|1984|loc=sec. 4.4}}</ref>
 
เพราะสัมพัทธภาพทั่วไปสร้างโดยใช้เทนเซอร์ จึงแสดงความแปรปรวนร่วมเกี่ยวทั่วไป โดยกฎของมัน และกฎอื่นที่คิดภายในกรอบสัมพัทธนิยมทั่วไป ยึดรูปแบบเดียวกันในทุกระบบพิกัด<ref>{{Harvnb|Wald|1984|loc=sec. 4.1}}</ref> ยิ่งไปกว่านั้น ทฤษฎีนี้ไม่มีโครงสร้างพื้นหลังเรขาคณิตไม่แปรเปลี่ยนใด ๆ คือ ไม่ขึ้นกับพื้นหลัง ฉะนั้นมันสอดคล้องกับหลักการทั่วไปสัมพัทธนิยมที่เข้มงวดกว่า กล่าวคือ [[กฎฟิสิกส์]]เป็นเหมือนกับสำหรับผู้สังเกตทุกคน<ref>For the (conceptual and historical) difficulties in defining a general principle of relativity and separating it from the notion of general covariance, see {{Harvnb|Giulini|2006b}}</ref> เฉพาะที่ดังแสดงในหลักการสมมูล ปริภูมิ-เวลาเป็นแบบมินคอฟสกี และกฎฟิสิกส์แสดงความยืนยงลอเรนตซ์เฉพาะที่ (local Lorentz invariance)<ref>section 5 in ch. 12 of {{Harvnb|Weinberg|1972}}</ref>