ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ชาวมอญ"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ลบบลความซ้ำซ้อน |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 35:
มอญเป็นชนชาติเก่าแก่ มีอารยธรรมรุ่งเรืองมากชนชาติหนึ่ง จาก[[พงศาวดาร]][[พม่า]]กล่าวว่า "มอญเป็นชนชาติแรกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพม่า มาเป็นเวลาหลายศตวรรษก่อนคริสตกาล" คาดว่าน่าจะอพยพมาจากตอนกลางของ[[ทวีปเอเชีย]] เข้ามาตั้งอาณาจักรของตนทางตอนใต้ บริเวณลุ่ม[[แม่น้ำสาละวิน]] และ[[แม่น้ำสะโตง]] ซึ่งบริเวณนี้ในเอกสารของจีนและอินเดียเรียกว่า "[[ดินแดนสุวรรณภูมิ]]"
ในพุทธศตวรรษที่ 2 ศูนย์กลางของอาณาจักรมอญคือ[[อาณาจักรสุธรรมวดี]]หรือสะเทิม (Thaton) จากพงศาวดารมอญ
พวกน่านเจ้าเข้ามาทางตอนเหนือของพม่าและทำสงครามกับพวก[[ปยู]] อาณาจักรมอญที่สะเทิมขยายอำนาจขึ้นไปทางภาคกลางของลุ่ม[[แม่น้ำอิรวดี]]ระยะหนึ่ง แต่เมื่อชนชาติพม่ามีอำนาจเหนืออาณาจักรปยู และได้ขยายอำนาจลงมาทางใต้เข้ารุกรานมอญ มอญจึงถอยลงมาดังเดิมและได้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 1368 ที่ [[หงสาวดี]]
[[พระเจ้าอโนรธา]] กษัตริย์พม่าแห่งพุกาม ยกทัพมาตีอาณาจักรสุธรรมวดีและกวาดต้อนผู้คน ทรัพย์สมบัติ พระสงฆ์ พระไตรปิฎก กลับไปพุกามจำนวนมาก ต่อมาระหว่างปี 1600-1830 กรุงหงสาวดี ตกอยู่ใต้อำนาจพุกาม แต่กระนั้นพม่าก็รับวัฒนธรรมมอญมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น[[ภาษามอญ]]ได้แทนที่[[ภาษาบาลี]]และ[[สันสกฤต]]ในจารึกหลวง และ
พระเจ้ากยันสิทธะทรงดำเนินนโยบายผูกมิตรกับราชตระกูลของพระเจ้ามนูหะ กษัตริย์มอญแห่งสะเทิม โดยยกพระราชธิดาให้กับเจ้าชายมอญ พระนัดดาที่ประสูติจากทั้งสองพระองค์นี้ ก็ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ พระนามว่า [[พระเจ้าอลองสิธู|อลองคะสิทธู]] ในยุคที่พระองค์ปกครองอาณาจักรพุกามได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นที่สุด นอกจากนี้ในสมัยของ[[พระเจ้ากยันสิทธะ]] ในศิลาจารึกยกย่องไว้ว่า "วัฒนธรรมมอญ"เหนือกว่าวัฒนธรรมพม่าด้วย
ต่อมาในปี [[พ.ศ. 1830]] [[มองโกล]]ยกทัพมาตีพม่า ทำให้มอญได้รับเอกราชอีกครั้ง มะกะโท หรือ[[พระเจ้าฟ้ารั่ว]] หรือวาเรรุ ราชบุตรเขยของ[[พ่อขุนรามคำแหง]]ได้ทรงกอบกู้เอกราช[[มอญ]]จาก[[พม่า]] และสถาปนา [[ราชอาณาจักรหงสาวดี]] พระองค์มีมเหสีเป็นราชธิดาของ[[พ่อขุนรามคำแหง]] กษัตริย์ของไทย มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่[[เมืองเมาะตะมะ]] ต่อมาในสมัยพญาอู ได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ เมืองพะโคหรือ[[หงสาวดี]] ราชบุตรของพระองค์คือพญาน้อย ซึ่งต่อมาก็คือ[[พระเจ้าราชาธิราช]] ผู้ทำสงครามยาวนานกับกษัตริย์พม่าอังวะ ในสมัย[[พระเจ้าซวาส่อแก]] กับสมัย[[พระเจ้ามีงคอง]] (คนไทยเรียกว่า พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ในหนังสือเรื่อง [[ราชาธิราช]]) ขุนพลสำคัญของพระเจ้าราชาธิราช ก็คือ [[สมิงพระราม]] [[ละกูนเอง]] และ[[แอมูน-ทยา]] ในสมัยของพระเจ้าราชาธิราชนั้น [[หงสาวดี]]กลายเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่ชายฝั่งทะเล[[อ่าวเบงกอล]] จาก[[แม่น้ำอิรวดี]]ขยายลงไปทางตะวันออกถึง[[แม่น้ำสาละวิน]] และเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่ใหญ่โต
พ.ศ. 2283 สมิงทอพุทธิเกศ กู้เอกราชคืนมาจาก[[พม่า]]ได้สำเร็จ และสถาปนา [[ราชอาณาจักรหงสาวดีใหม่]] ทั้งได้ยกทัพไปตี[[อังวะ|เมืองอังวะ]] ในปี พ.ศ. 2290 พระยาทะละ ได้ครองอำนาจแทนสมิงทอพุทธิเกศ ขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวาง
ในปัจจุบัน ชาวมอญรุ่นหลังหันมาใช้ภาษาพม่ากันมาก และมีจำนวนมากที่เลิกใช้[[ภาษามอญ]] จนคิดว่าตนเป็นพม่า อีกทั้งไม่ทราบว่าตนมีเชื้อสายมอญ จากการสำรวจประชากรมอญในปี ค.ศ. 1931 พบว่ามีจำนวนแค่ 3 แสน 5 หมื่นคน ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 ได้มีการก่อตั้งสมาคมชาวมอญ และมีการสำรวจประชากรมอญอีกครั้ง พบว่ามีราว 6 แสนกว่าคน พอต้นสมัยสังคมนิยมสำรวจได้ว่ามีชาวมอญราว 1 ล้านกว่าคน ชาวมอญที่ยังพูดภาษามอญในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใน [[รัฐมอญ]] แต่ในเขตเมืองก็จะพบแต่ชาวมอญที่พูดภาษาพม่าเป็นส่วนมาก<ref name="วิรัช นิยมธรรม">วิรัช นิยมธรรม, [http://www.monstudies.com/show_content.php?topic_id=149&main_menu_id=1 มอญ : ต้นตออารยธรรมอุษาคเนย์] เรียบเรียงจากข้อเขียนของนายปันหละ พิมพ์ในสารานุกรมพม่า ฉบับที่ 10 </ref>▼
== วัฒนธรรม ==
=== ภาษาและอักษรมอญ ===
{{บทความหลัก|อักษรมอญ|ภาษามอญ}}
[[ภาษามอญ]]มีการใช้มานานประมาณ 3,000-4,000 ปี เป็นภาษาในสาขามอญ (Monic) มีผู้ใช้ภาษานี้อยู่ประมาณ 5,000,000 คน ส่วนอักษรมอญ
หลักฐานจารึกในสมัยกลางประมาณ [[พ.ศ. 1600]] เป็นต้นมา บันทึกทั้งภาษามอญและอักษรมอญ ซึ่งพม่าก็รับอักษรมอญมาใช้เขียน[[ภาษาพม่า]]เป็นครั้งแรก ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 ตัวอักษรได้คลี่คลายจากตัวอักษรปัลลวะ
ภาษามอญจัดอยู่ใน[[ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก]] (Austroasiatic Languages) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในแถบ[[อินโดจีน]]และทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และเมื่อพิจารณาลักษณะทาง[[ไวยากรณ์]] ภาษามอญจัดอยู่ในประเภท[[ภาษาคำติดต่อ]] (Agglutinative) อยู่ในกลุ่มภาษาตะวันออกเฉียงใต้ (South Eastern Flank Group) นักภาษาศาสตร์ที่ชื่อ [[วิลเฮม สชมิต]] (Willhelm Schmidt) ได้จัดให้อยู่ในตระกูลภาษาสายใต้ (Austric Southern family)
เส้น 60 ⟶ 58:
[[พระยาอนุมานราชธน]]ได้กล่าวถึงภาษามอญไว้ว่า "ภาษามอญ นั้นมีลักษณะเป็นภาษาคำโดด ซึ่งมีรูปภาษาคำติดต่อปน ลักษณะคำมอญ จะมีลักษณะเป็นคำพยางค์เดียว หรือสองพยางค์ ส่วนคำหลายพยางค์ เป็นคำที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ เช่น [[ภาษาบาลี]]และ[[สันสกฤต]] และคำที่เกิดจากการเติมหน่วยคำผสาน กล่าวคือ การออกเสียงของคำซึ่งไม่เน้นการออกเสียงใน[[พยางค์]]แรก จะสร้างคำโดยการใช้การผสานคำ (affixation) กับคำพยางค์แรก เพื่อให้มีหน้าที่ทางไวยากรณ์ อีกทั้งการใช้หน่วยผสานกลางศัพท์ และการใช้สระต่าง ๆ กับพยางค์แรก ในคำสองพยางค์ ก็จะเป็นการช่วยเน้นให้พยางค์แรกเด่นชัดขึ้นด้วย แต่พยางค์หลังเป็นส่วนที่มีความหมายเดิม"
สรุปคือ ภาษามอญเป็นภาษาที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ไม่มีการผัน[[คำนาม]] [[คำกริยา]] ตามกฎบังคับทางไวยากรณ์ ประโยคประกอบด้วย
▲ในปัจจุบัน
ใน[[ประเทศไทย]]เอง ก็มีการใช้[[ภาษามอญ]]ในการสื่อสารในชุมชนมอญแต่ละชุมชนในจังหวัดต่าง ๆ และในแต่ละชุมชนนั้นเองก็มีสำเนียงเฉพาะที่แตกต่างไปในชุมชนที่อาศัยซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากชุมชนอื่นที่ไม่ใช่ชาวมอญซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน โดยในบางชุมชนยังคงมีการสอนลูกหลานให้พูดภาษามอญกัน แต่บางชุมชนภาษามอญก็มีการใช้สื่อสารน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามใน[[จังหวัดสมุทรสาคร]]ก็มีชาวมอญจาก[[ประเทศพม่า]]ที่อพยพเข้ามาเป็นแรงงานต่างด้าวในจังหวัด ซึ่งได้นำภาษาพูดและภาษาเขียนกลับเข้ามาในชุมชนมอญแถบมหาชัยอีกครั้งหนึ่ง ทำให้มีการใช้ภาษามอญ รวมไปถึงป้ายข้อความภาษามอญให้พบเห็นโดยทั่วไป<ref>สุกัญญา เบาเนิด [http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=printpage&artid=173 ว่าด้วยตัวตนคนมอญย้ายถิ่นในมหาชัย]. วารสารเมืองโบราณ</ref>▼
▲ใน[[ประเทศไทย]]เอง ก็มีการใช้[[ภาษามอญ]]ในการสื่อสารในชุมชนมอญแต่ละชุมชนในจังหวัดต่าง ๆ และในแต่ละชุมชนนั้นเองก็มีสำเนียงเฉพาะที่แตกต่างไปในชุมชนที่อาศัย ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากชุมชนอื่นที่ไม่ใช่ชาวมอญซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน โดยในบางชุมชนยังคงมีการสอนลูกหลานให้พูดภาษามอญกัน แต่บางชุมชนภาษามอญก็มีการใช้สื่อสารน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามใน[[จังหวัดสมุทรสาคร]] ก็มีชาวมอญจาก[[ประเทศพม่า]] ที่อพยพเข้ามาเป็นแรงงานต่างด้าวในจังหวัด ซึ่งได้นำภาษาพูดและภาษาเขียนกลับเข้ามาในชุมชนมอญแถบมหาชัยอีกครั้งหนึ่ง ทำให้มีการใช้ภาษามอญ
[[ไฟล์:MonVirgins.jpg|thumbnail|เด็กในชุดดั้งเดิมของชาวมอญ]]▼
=== ศิลปะ ===
▲[[ไฟล์:MonVirgins.jpg|thumbnail|เด็กในชุดดั้งเดิมของชาวมอญ]]
ศิลปวัฒนธรรมมอญนั้น กลายเป็นศิลปวัฒนธรรมของพม่าไปหมด
ศิลปดนตรี
=== ประเพณีและศาสนา ===
ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวมอญนั้น มีวัฒนธรรมเป็นแบบฉบับมายาวนาน บางอย่างมีอิทธิพลให้กับชนชาติใกล้เคียง เช่น [[ประเพณีสงกรานต์]] [[ข้าวแช่]] ฯลฯ บางอย่างก็ถือปฏิบัติกันแต่เฉพาะในหมู่ชนมอญเท่านั้น ชาวมอญมีเลื่อมใสใน[[พระพุทธศาสนา]]อย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็นับถือผีบรรพบุรุษกับผีอื่น ๆ ที่มีอิทธิฤทธิ์ รวมทั้ง[[เทวดา]]องครักษ์<ref>http://www.thaiws.com/pmch/monstudies.htm</ref>
ประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ ของภาคกลาง
== มอญในประเทศไทย ==
=== หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ===
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในสมัยพุทธศตวรรษที่ 11–13 คือเหรียญเงินเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 ม.ม. พบที่[[นครปฐม]]และ[[อู่ทอง]]นั้น พบว่ามีอักษรจารึกไว้ว่า “ศรีทวารวดีศวร” และ มีรูปหม้อน้ำกลศอยู่อีกด้านหนึ่ง ทำให้เชื่อได้ว่า ชนชาติมอญโบราณ ได้ตั้ง[[อาณาจักรทวารวดี]] (บางแห่งเรียกทวาราวดี) ขึ้นในภาคกลางของ[[ดินแดนสุวรรณภูมิ]] มีศูนย์กลางที่เมืองนครปฐมโบราณ (ลุ่ม[[แม่น้ำท่าจีน]] หรือ [[นครชัยศรี]]) กับเมืองอู่ทองและเมืองละโว้ (ลพบุรี) ต่อมาได้ขยายอำนาจขึ้นไป ถึงเมืองหริภุญชัยหรือ[[ลำพูน]] มีหลักฐานเล่าไว้ว่า ราว พ.ศ. 1100 [[พระนางจามเทวี]] ราชธิดาของเจ้าเมืองลวปุระหรือละโว้ลพบุรี ได้อพยพผู้คนขึ้นไปตั้งเมืองหริภุญชัยที่ลำพูน
ต่อมา[[อาณาจักรขอม]]หลังจาก[[พระเจ้าชัยวรมันที่ 7]] สวรรคตใน พ.ศ. 1732 อำนาจขอมก็เริ่มเสื่อมลง [[พ่อขุนบางกลางหาว]] ที่สถาปนาเป็น [[พ่อขุนศรีอินทราทิตย์]] ประกาศตั้ง[[อาณาจักรสุโขทัย]] เป็นอิสระจากการปกครองของ[[ขอม]] [[พ่อขุนรามคำแหง]] พระราชโอรสของขุนศรีอินทราทิตย์ ได้ครองราชย์และทรงดัดแปลง[[อักษรขอม]] และ [[อักษรมอญ]] มาประดิษฐ์เป็นลายสือไทย
ด้านจารึก[[ภาษามอญ]]บนใบลานนั้น พบมากมายตามหมู่บ้านมอญใน[[ประเทศไทย]] ส่วนที่[[ประเทศพม่า]]พบมากตามหมู่บ้านมอญในเมืองสะเทิมและเมืองไจก์ขมี ซึ่งมีการคัดลอกและรวบรวมนำมาเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติเมือง[[ย่างกุ้ง]] และที่ห้องสมุดมอญเมือง[[เมาะลำเลิง]] นอกจากนี้กองโบราณคดีและกองวัฒนธรรม ยังได้จัดพิมพ์วรรณกรรม ชาดก ตำรามอญ และเคยมีการริเริ่มจัดพิมพ์พจนานุกรมมอญ-พม่าอีกด้วย
=== มอญอพยพ ===
ทุกวันนี้
'''ครั้งที่ 1''' เมื่อ [[พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้]]ตี[[หงสาวดี]]แตกใน พ.ศ. 2082 ชาวมอญจำนวนมากหนีเข้ามา[[กรุงศรีอยุธยา]] พระเจ้าแผ่นดินโปรดฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมือง[[กรุงศรีอยุธยา]]ชั้นนอก พระยาเกียรติ พระยารามและครัวเรือนให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมืองชั้นใน ใกล้พระอาราม[[วัดขุนแสน]] และเมื่อถึง [[พ.ศ. 2084]] [[ราชวงศ์ตองอู]]ตีเมือง[[เมาะตะมะ]]แตก มีการฆ่าฟันชาวมอญลงขนาดใหญ่ ก็เข้าใจว่ามีชาวมอญหนีเข้ามาสู่[[กรุงศรีอยุธยา]]อีก ถือเป็นระลอกแรกของมอญอพยพ
เส้น 99 ⟶ 98:
'''ครั้งที่ 5''' ใน [[พ.ศ. 2204]] หรือ 2205 ชาวมอญในเมือง[[เมาะตะมะ]]ก่อการกบฏขึ้นอีก แต่ถูกพม่าปราบลงได้ จึงต้องอพยพหนีเข้ากรุงศรีอยุธยาอีกระลอกหนึ่ง ผ่านทาง[[ด่านเจดีย์สามองค์]] เข้าใจว่ากลุ่มนี้สัมพันธ์กับกลุ่มชาวมอญที่ตั้งอยู่ชายแดน
'''ครั้งที่ 6''' หลังจากที่ชาวมอญสามารถตั้งอาณาจักรของตนขึ้นได้ใหม่ในปลายราชวงศ์ตองอู แล้วยกกำลังไปตีกรุงอังวะแตก ต่อมาสมัย[[พระเจ้าอลองพญา]]รวบรวมกำลังพม่าแล้วลุกขึ้นต่อสู้จนในที่สุดก็ตั้ง[[ราชวงศ์คองบอง]]ได้ และใน
'''ครั้งที่ 7''' ใน [[พ.ศ. 2316]] ตรงกับสมัยกรุงธนบุรี ชาวมอญก่อกบฏใน[[ย่างกุ้ง]] พม่าปราบปรามอย่างทารุณแล้วเผาย่างกุ้งจนราบเรียบ ทำให้มอญอพยพเข้าไทยอีก [[พระเจ้าตากสิน]]โปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่[[ปากเกร็ด]] ซึ่งทำให้เกิดกลุ่มมอญเก่า (พระยารามัญวงศ์) และมอญใหม่ ([[พระยาเจ่ง]]) คนที่นับตัวเองเป็นชาวมอญในปัจจุบันล้วนอพยพเข้ามาจากระลอกนี้หรือหลังจากนี้ ส่วนชาวมอญที่อพยพก่อนหน้านี้กลืนหายเป็นไทยไปหมด แม้แต่กลุ่มที่อยู่ตามชายแดนแถบเมือง[[กาญจนบุรี]]
'''ครั้งที่ 8''' [[พ.ศ. 2336]] เมื่อ[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] ยึดเมือง[[ทวาย]]ได้ แต่รักษาไว้ไม่ได้ ต้องถอยกลับเข้าไทย ก็นำเอาชาวมอญโดยเฉพาะที่เป็นพวกหัวหน้าเข้ามา
เส้น 141 ⟶ 140:
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง|2}}
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
|