ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เจ้าแม่วัดดุสิต"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ย้อนการแก้ไขที่ 7083732 สร้างโดย 1.47.0.65 (พูดคุย)
บรรทัด 1:
{{โปร}}
'''เจ้าแม่วัดดุสิต''' เป็นพระบรมอรรคราชบรรพบุรุษของพระมหากษัตริย์[[ราชวงศ์จักรี]] พระองค์เป็นพระนมชั้นเอกใน[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] ซึ่งได้รับพระราชทานตำหนักริม[[วัดดุสิดาราม]]เป็นที่อาศัย จึงเป็นที่มาของคำว่าเจ้าแม่ดุสิต มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับชาติกำเนิดของเจ้าแม่วัดดุสิตมีมากมาย เนื่องจากแต่ไม่ปรากฏหลักฐานอย่างแน่ชัดว่าเจ้าแม่วัดดุสิตสืบเชื้อสายมาจากผู้ใด [[หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช]] ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ''โครงกระดูกในตู้'' โดยอ้างจากหนังสือราชินิกุลบางช้างไว้ว่า "เจ้าแม่วัดดุสิตมีศักดิ์เป็น[[หม่อมเจ้า]]ใน[[ราชวงศ์สุโขทัย|ราชวงศ์พระมหาธรรมราชา]] ซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่[[ราชวงศ์พระร่วง]][[กรุงสุโขทัย]]"<ref>{{อ้างหนังสือ|ผู้แต่ง=[[ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช]]|ชื่อหนังสือ=โครงกระดูกในตู้|จังหวัด=กรุงเทพฯ|พิมพ์ที่= บริษัท โอ เอ็น จี การพิมพ์ จำกัด|ปี= พ.ศ. 2548|ISBN= 974-690-131-1|จำนวนหน้า=109|หน้า= 21}}</ref> นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงพระนามบรรพบุรุษของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้ว่า [[สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส]] ทรงได้ฟังคำบอกเล่าจาก[[พระวันรัตน์ (ฉิม)]] ว่าเจ้าฟ้าหญิงรัศมีและเจ้าฟ้าจีกเคยตรัสเล่าว่า [[สมเด็จพระเอกาทศรถ]]ได้อภิเษกสมรสกับธิดาของ[[พระยาเกียรติ์]] (ขุนนางชาวมอญที่ติดตาม[[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]])<ref>{{อ้างหนังสือ|ผู้แต่ง=เซอร์จอห์น เบาว์ริง|ชื่อหนังสือ=ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์|จังหวัด=กรุงเทพฯ|ปี= พ.ศ. 2547|จำนวนหน้า= |หน้า=87}}</ref> มีธิดาคือเจ้าครอกบัว (หม่อมเจ้าบัว) และเจ้าครอกอำภัย (หม่อมเจ้าอำไพ) แต่ในหนังสือนี้ยังมีข้อความที่คลุมเครือระหว่างเจ้าครอกบัวและเจ้าครอกอำไพอยู่มาก ซึ่งทำให้สับสนว่า เจ้าแม่วัดดุสิตมีชื่อเดิมว่าอย่างไรกันแน่? บางแห่งกล่าวว่าชื่อ "หม่อมเจ้าหญิงบัว" มีเชื้อสายพระร่วงสุโขทัย บางแห่งก็กล่าวว่าชื่อ "หม่อมเจ้าหญิงอำไพ" เป็นพระราชธิดาใน[[สมเด็จพระเอกาทศรถ]] อย่างไรก็ตาม หลักฐานหลายแห่งก็ไม่ได้บ่งบอกว่าสายตระกูลของเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นสืบเชื้อสายมาจากเชื้อพระวงศ์สายไหนเช่นกัน<ref name="ปรามินทร์">{{อ้างหนังสือ|ผู้แต่ง=ปรามินทร์ เครือทอง|ชื่อหนังสือ=ศิลปวัฒนธรรม : ตามหา "เจ้าแม่วัดดุสิต" ปริศนาต้นพระราชวงศ์จักรี เจ้านายหรือสามัญชน ฉบับที่ 6 ปีที่ 26 |จังหวัด=กรุงเทพฯ|ปี= พ.ศ. 2548|จำนวนหน้า= |หน้า=76-86}}</ref> แต่จากเอกสารพงศาวดารไทยหลายฉบับและของต่างประเทศเป็นที่ยืนยันว่าเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นมีตัวตนอย่างแน่นอน
 
"ในตอนนี้คนในตระกูลที่รับราชการเป็นทหารของพระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ติดตามมากับสมเด็จพระนเรศรด้วย แล้วตั้งหลักแหล่งอยู่ในอยุธยา"<ref>{{อ้างหนังสือ|ผู้แต่ง=เซอร์จอห์น เบาว์ริง|ชื่อหนังสือ=ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์|จังหวัด=กรุงเทพฯ|ปี= พ.ศ. 2547|จำนวนหน้า= |หน้า=87}}</ref>
 
เจ้าแม่วัดดุสิตสมรสกับขุนนางเชื้อสายมอญมีบุตรธิดา 3 คน คือ
# [[เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)]] แม่ทัพคราคราวไปตี[[นครเชียงใหม่]]ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
# [[เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)]] ราชทูตเอก
# แช่ม หรือ ฉ่ำ ธิดา
 
แม้สมเด็จพระนารายณ์ทรงใช้คำตรัสเรียกว่า "เจ้าแม่วัดดุสิต" คือเป็นนามโดยตำแหน่ง ตามธรรมเนียมนิยมแต่ก่อนจะไม่นิยมเรียกพระนามผู้เป็นเจ้ากันตรง ๆ อย่างไรก็ดี อาจเป็นไปได้แต่เพียงว่า สมเด็จพระนารายณ์ตรัสเรียกให้เกียรติเสมอด้วย "เจ้า" เนื่องจากหลักฐานตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ขึ้นไป คือ จดหมายเหตุชาวต่างประเทศ หรือพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับต่าง ๆ ไม่ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของเจ้าแม่วัดดุสิตรวมไปถึง "ความเป็นเจ้า" ของท่านแม้แต่น้อย
 
อาจเป็นไปได้แต่เพียงว่า สมเด็จพระนารายณ์ตรัสเรียกให้เกียรติเสมอด้วย "เจ้า" เนื่องจากหลักฐานตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ขึ้นไป คือ จดหมายเหตุชาวต่างประเทศ
 
หรือพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับต่าง ๆ ไม่ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของเจ้าแม่วัดดุสิตรวมไปถึง "ความเป็นเจ้า" ของท่านแม้แต่น้อย
 
พระราชวงศ์จักรีเป็นพระราชวงศ์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติ ทั้งพระราชพงศาวดารและตำราประวัติศาสตร์ มีให้ศึกษาประวัติโดยละเอียดจำนวนมาก
 
โดยเฉพาะพระบรมเดชานุภาพ พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์
 
แต่หากสังเกตอย่างดีก็จะพบว่าในบรรดาประวัติพระราชวงศ์หรือพระราชประวัติพระมหากษัตริย์ เรายังขาดแคลนข้อมูลที่กล่าวถึงบางช่วงบางตอน
 
เช่นในภาคปฐมวัยแห่งพระมหากษัตริย์บางพระองค์ เท่ากับว่าเรายังขาดความรู้เรื่อง “วัยเด็ก” ของพระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะพระองค์ก่อนรัชกาลที่ ๕ ขึ้นไป
 
ทั้งนี้เป็นเพราะการจดพงศาวดารในยุคก่อนได้เว้นที่จะกล่าวถึงพระราชประวัติก่อนเสวยราชย์ จะด้วยธรรมเนียมหรือด้วยเหตุไม่บังควรอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม
 
ทำให้ประวัติศาสตร์ในช่วงดังกล่าวเป็นแต่เพียงภาพรางๆ ไม่แจ่มชัดเท่าที่ควร
 
พระราชพงศาวดารจึงเป็นแต่เพียงเนื้อเรื่องที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ “เปิดเผย” ได้ แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านั้นจำเป็นต้องคัดกรองเพื่อการเปิดเผยจริงๆ
 
เหตุเพราะว่าการจดพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเกิดขึ้นร่วมสมัยกับการเกิด “การพิมพ์” ขึ้นในประเทศประการหนึ่ง
 
อีกประการหนึ่งคือแต่ละบุคคลแต่ละสกุลย่อมมีเรื่องราวอันควร “ปิดบัง” ไว้ทั้งสิ้น
 
หากย้อนกลับไปถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ยังมีเรื่องราวที่ควรปกปิดมากกว่าในสมัยรัตนโกสินทร์ ไม่เว้นแม้แต่พระนามของพระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นเรื่องปกปิดเช่นกัน 
 
'''นิโกลาส์ แชรแวส''' กล่าวไว้ว่าการปกปิดพระนามของพระมหากษัตริย์ถือเป็นนโยบายทางการเมืองของราชอาณาจักรสยาม
 
ที่จะออกพระนามพระเจ้าแผ่นดินให้เป็นที่รู้แก่ประชาชนพลเมืองได้ ก็ต่อเมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว
 
ดังนั้นนิโกลาส์ แชรแวส ผู้เขียนหนังสือ''ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม'' ตีพิมพ์ที่กรุงปารีสในปีพุทธศักราช ๒๒๓๑
 
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ต้องใช้ “เทคนิค” พอสมควรกว่าจะได้พระนามที่แท้จริงของสมเด็จพระนารายณ์มาได้ แชรแวสใช้เทคนิคดังนี้
 
''“มีอยู่สองคนที่ข้าพเจ้ารู้จักดี และได้รับความไว้วางใจ เพราะข้าพเจ้าได้เคยช่วยเหลือเขามาหลายครั้งหลายหน''
 
''ได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบเป็นความลับว่า พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบัน ทรงพระนามว่าเจ้านารายณ์”'' 
 
(นิโกลาส์ แชรแวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม. ก้าวหน้า, ๒๕๐๖, น. ๒๒๓.)
 
การเปิดเผยพระนาม รวมไปถึงอธิบายความหมายของพระนามพระมหากษัตริย์ เกิดขึ้นจริงๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๔
 
ไม่เพียงแต่ทรงเปิดเผยพระนามเท่านั้น ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เปิดเผยประวัติความเป็นมาของราชตระกูลอีกด้วย
 
โดยมีพระราชหัตถเลขาถึง'''เซอร์จอห์น เบาว์ริง''' ไว้อย่างค่อนข้างชัดเจนตรงไปตรงมา ทรงยอมรับที่จะไม่ใช่ “ไทยแท้” หากแต่เป็น “มอญ” ผสม “จีน” ในชั้นบรรพบุรุษต้นตระกูล
 
ความในพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ ทรงอ้างถึงต้นตระกูลชาวมอญหงสาวดี ได้ติดตามสมเด็จพระนเรศวรหรือที่ทรงเรียกว่า'''พระนเรศร''' (King Phra Naresr) มายังกรุงศรีอยุธยา
 
''“ในตอนนี้คนในตระกูลที่รับราชการเป็นทหารของพระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ติดตามมากับสมเด็จพระนเรศรด้วย แล้วตั้งหลักแหล่งอยู่ในอยุธยา”'' 
 
(เซอร์จอห์น เบาว์ริง. ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๔๗, น. ๘๗.)
 
ทรงบรรยายต่อว่า หลังจากนั้นเรื่องราวของตระกูลก็ขาดหายไปราวครึ่งศตวรรษหรือประมาณ ๘ รัชกาล
 
จนกระทั่งมาปรากฏขึ้นอีกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งทรงเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Narayu
 
''“หลังจากรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศร…เรื่องราวของตระกูลนี้ได้ขาดหายไปจากการรับรู้ของพวกเราจนกระทั่งถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายู”'' (เบาว์ริง, น. ๘๗)
 
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์นี่เองที่ “ต้นตระกูล” ได้รับโอกาสรับราชการสำคัญของแผ่นดินคือ เจ้าพระยาโกษาเหล็ก
 
และเจ้าพระยาโกษาปาน [ในพระราชหัตถเลขาใช้ปาล (Pal) แต่ในพระราชพงศาวดารใช้ปาน]
 
''“กล่าวกันว่าบุพการีของพวกเราสืบสายเลือดต่อลงมาจากท่านผู้เป็นอภิชาตบุตรนี้เอง”'' (เบาว์ริง, น. ๘๘)
 
จากนั้นก็ทรงเล่าสืบสายตระกูลลงมาจนถึงสมเด็จพระบรมมหาชนก (คือพระราชบิดารัชกาลที่ ๑)
 
''“ต้นตระกูลผู้เป็นบิดาของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรก และเป็นปู่ของพระราชบิดาในพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน (ตัวข้าพเจ้า)''
 
''กับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน (พระเชษฐาผู้ทรงล่วงไปแล้วของข้าพเจ้า) แห่งสยาม เป็นอภิชาตบุตรของตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากเสนาบดีต่างประเทศที่ได้กล่าวมาแล้ว''
 
''ท่านได้ย้ายหลักแหล่งจากอยุธยามาเพื่อความสุขของชีวิต และตั้งบ้านเรือนที่ “สะกุตรัง” เป็นท่าเรือบนลำน้ำสายเล็ก อันเป็นสาขาของแม่น้ำใหญ่''
 
''ตรงรอยต่อของราชอาณาจักรสยามตอนเหนือกับตอนใต้”'' (เบาว์ริง, น. ๘๘)
 
สิ่งที่น่าสังเกตตรงนี้ก็คือ ทรงอ้างอิงต้นตระกูลที่เป็นแต่เพียง “เสนาบดีต่างประเทศ” ไม่ได้ทรงอ้างถึงบรรพบุรุษที่เป็นเชื้อพระวงศ์หรืออดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยามประเทศ
 
นอกจากนี้ก็ไม่ได้ทรงเอ่ยถึงโกษาปาน ในฐานะ “เชื้อเจ้า” ไว้ในที่ใดเลย
 
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงเรื่องราวของตระกูลที่ขาดหายไปราวสองสามชั่วอายุคน จนกระทั่งมาถึงเรื่องของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี)
 
แต่ในเอกสารอื่นได้เชื่อมรอยต่อตระกูล “ทอง” ตรงนี้ไว้บ้างแล้ว คือบุตรคนใหญ่ของโกษาปานชื่อนายขุนทองหรือนายทอง
 
ได้เป็นเจ้าพระยาวรวงศาธิราช บุตรนายทองคนใหญ่คือนายทองคำ รับราชการเป็นพระยาราชนกูล บุตรคนใหญ่ของนายทองคำคือนายทองดี
 
คือสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกนาถ เป็นที่หลวงพินิจอักษรหรือพระอักษรสุนทรศาสตร์ บิดานายทองด้วง คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
 
ในพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ไม่ได้กล่าวเน้นถึงเรื่องการเป็น “เจ้า” ของพระราชวงศ์ แต่ทรงเน้นย้ำถึงการเป็นตระกูลเสนาบดีและคหบดีที่เป็นชาวจีน
 
โดยทรงกล่าวถึง “นายทองดี” ต้นราชสกุลที่ได้ลูกเศรษฐีจีนเป็นภรรยา
 
''“ท่านได้ออกจาก “สะเกตรัง” ไปยังอยุธยา ที่ซึ่งได้รับคำแนะนำให้เข้ารับราชการและได้สมรสกับธิดารูปงามของครอบครัวคหบดีจีนที่ร่ำรวยที่สุดในย่านที่อยู่อาศัยของชาวจีน''
 
''ภายในกำแพงเมืองตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของอยุธยา”'' (เบาว์ริง, น. ๘๘)
 
แม้แต่ในพระราชนิพนธ์ประถมวงศ์ ก็มิได้กล่าวยอกย้อนขึ้นไปถึงบรรพบุรุษรุ่นโกษาปาน ไม่ว่าเรื่องใดๆ รวมถึงเรื่องความเป็นเจ้า
 
แต่ทรงกล่าวย้อนเพียงพระปฐมบรมมหาชนกเท่านั้นว่าเป็น “ตระกูลใหญ่” คือเป็นการอธิบายถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ว่าได้ประสูติในชาติตระกูลที่ยิ่งใหญ่และร่ำรวย
 
''“ได้เสดจมายังมนุษยโลกย์นี้ อุบัติมีขึ้นในมหามาตย์คฤหบดีสกูลอันมั่งคั่งพร้อมมูลด้วยไอยสูริยสมบัติ''
 
''ถ้าเปนมัทธยมประเทศก็ควรจะเปนสกูลมหาสาลได้ เพราะเปนสกูลใหญ่ที่มีนิเวศนสฐานตั้งอยู่นานในภายในกำแพงพระมหานครกรุงเทพทวารวดีศรีอยุทธยา”'' 
 
(วชิรญาณ เล่ม ๒ ฉบับ ๑๑ ปี ๑๒๕๗, น. ๔๗๑-๕๐๑ และเล่ม ๒ ฉบับ ๑๓ น. ๖๒๕-๖๓๕.)
 
ทั้งในพระราชหัตถเลขาที่มีไปถึงเซอร์จอห์น เบาว์ริง ซึ่งเป็นลักษณะเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก และพระราชนิพนธ์ประถมวงศ์
 
ที่มีวัตถุประสงค์จะเล่าถึงสาแหรกตระกูลสำหรับลูกหลานอ่านกันเป็นการภายใน ก็ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไม่มีพระราชประสงค์จะอ้างถึง “เชื้อเจ้า”
 
ของบรรพบุรุษในที่ใดเลย แต่กลับเน้นย้ำถึงการเป็นตระกูลเสนาบดีที่มั่งคั่งร่ำรวย
 
แต่เอกสารชั้นหลังพบได้หลายต่อหลายชิ้น ที่พยายามสืบเสาะค้นหาและ “ผูก” พระราชวงศ์จักรีเข้ากับพระราชวงศ์สุโขทัยในสมัยอยุธยาหรือวงศ์พระมหาธรรมราชา
 
โดยเฉพาะที่สมเด็จพระนเรศวร
 
''บุคคลที่เป็นสายโซ่สำคัญเชื่อมต่อสองสาแหรกนี้เข้าด้วยกันคือ '''“เจ้าแม่วัดดุสิต”'''''
 
'''ปัญหาสำคัญก็คือ “เจ้าแม่วัดดุสิต” ท่านนี้เป็นเชื้อพระวงศ์หรือไม่? และเหตุใดพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว'''
 
'''พระราชพงศาวดารไทย และเอกสารต่างประเทศ จึงไม่มีฉบับใดอ้างถึงความเป็น “เจ้า” ของท่านผู้นี้'''
 
ด้วยเหตุที่เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นสายสกุลที่สืบได้สูงสุดของพระราชวงศ์จักรี สามารถอ้างอิงได้และเชื่อได้ว่ามีตัวตนจริง
 
โดยมีหลักฐานสำคัญที่แน่ชัดว่าท่านผู้นี้เป็นมารดาของโกษาปาน มีปรากฏอยู่ในเอกสารต่างประเทศและพระราชพงศาวดารไทยหลายฉบับ
 
'''ลาลูแบร์'''ได้พูดถึงเจ้าแม่วัดดุสิตว่าเป็นมารดาของราชทูตโกษาปานไว้ดังนี้
 
''“มารดาของท่านเอกอัครราชทูต ที่เราได้เห็นตัวกันที่นี้ (ในประเทศฝรั่งเศส) เป็นพระนมเหมือนกัน”''(จดหมายเหตุลาลูแบร์ ฉบับสมบูรณ์ เล่ม ๑. ก้าวหน้า, ๒๕๑๐, น. ๓๙๘.)
 
เหตุที่ลาลูแบร์เรียกเจ้าแม่วัดดุสิตมารดาของโกษาปานว่าเป็น “พระนม” ก็เพราะท่านผู้นี้ได้เป็นพระนมสมเด็จพระนารายณ์
 
ส่วนที่ว่า ''“เป็นพระนมเหมือนกัน”'' ก็คือ สมเด็จพระนารายณ์นั้นทรงมีพระนมตามที่มีชื่อในพงศาวดารอยู่ ๒ ท่าน คือเจ้าแม่วัดดุสิตท่านหนึ่ง
 
และมารดาของพระเพทราชาอีกท่านหนึ่ง ทั้งนี้ตามกฎมนเทียรบาลได้กำหนดตำแหน่ง “พระนม” ไว้ ๓ ตำแหน่ง คือ แม่นมเอก แม่นมโท แม่นมตรี
 
กล่าวกันว่าเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นได้เป็นพระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์
 
ส่วน''พระราชพงศาวดารกรุงเก่า''ได้กล่าวถึงความสนิทสนมกันระหว่างสมเด็จพระนารายณ์กับสองพี่น้องโกษาเหล็กและโกษาปาน
 
ลูกเจ้าแม่วัดดุสิตในฐานะที่ได้ดื่มน้ำนมร่วมกัน ในคราวที่โกษาเหล็กต้องล้มป่วยถึงแก่ชีวิตดังนี้
 
''“ลุศักราช ๑๐๒๓ ปีฉลูตรีศก ขณะนั้นเจ้าพระยาโกษาธิบดีป่วยลง ทรงพระกรุณาให้พระ หลวง ขุน หมื่น แพทย์ทั้งหลายไปพยาบาล''
 
''และโรคนั้นเป็นสมัยกาลแห่งชีวิตขัยก็ถึงแก่อนิจกรรม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิอาจกลั้นน้ำพระเนตรไว้ได้ ทรงพระอาลัยในเจ้าพระยาโกษาเป็นอันมาก''
 
''และเจ้าพระยาโกษาขุนเหล็กคนนี้ เป็นลูกพระนมและได้รับพระราชทานนมร่วมเสวยมาแต่ยังทรงพระเยาว์”'' 
 
(พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับความสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เล่ม ๒. คุรุสภา, ๒๕๐๕, น. ๗๕.)
 
''พระราชพงศาวดารกรุงเก่า''ยังได้กล่าวถึงนาม “เจ้าแม่วัดดุสิต” ไว้เมื่อคราวหลวงสรศักดิ์ (ต่อมาคือพระเจ้าเสือ)
 
เกิดเรื่องวิวาทกับเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ จนต้องไปขอให้มารดาโกษาเหล็กช่วยเกลี้ยกล่อมสมเด็จพระนารายณ์ให้ทรงเว้นพระราชอาญา
 
''“ฝ่ายหลวงสรศักดิ์ก็ไปเฝ้า'''เจ้าแม่วัดดุสิต''' ซึ่งเป็น'''มารดา'''เจ้าพระยาโกษาเหล็ก เจ้าพระยาโกษาปาน และเป็นพระนมผู้ใหญ่ของสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว”'' (กรมพระปรมานุชิต, น. ๙๙)
 
ต่อมาภายหลังแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ พระราชพงศาวดารกรุงเก่าได้เอ่ยถึงเจ้าแม่วัดดุสิตในนาม “เจ้าแม่ผู้เฒ่า”
 
กล่าวโดยรวมก็คือ ทั้งพระราชนิพนธ์''ประถมวงศ์ จดหมายเหตุลาลูแบร์'' และ''พระราชพงศาวดารกรุงเก่า''ไม่ได้กล่าวถึงสายตระกูลของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้ว่า
 
จะเป็นเชื้อพระวงศ์สายไหน นอกจากนี้ยังไม่ได้ยกย่องบุตรของท่านทั้งสองว่ามีเชื้อสายเจ้าแต่ประการใด
 
เช่นเมื่อคราวที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงเฟ้นหาราชทูตไปกรุงฝรั่งเศสอยู่นั้น โกษาเหล็กก็แนะนำน้องชายถวาย ก็ตรัสเรียกเสมอด้วยไพร่ทั่วไป ไม่ได้ “ไว้เชื้อ” แม้แต่น้อย
 
''“จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งให้หานายปานเข้ามาเฝ้า แล้วตรัสว่า อ้ายปาน มึงมีสติปัญญาอยู่ กูจะใช้ให้เป็นนายกำปั่นไป ณ เมืองฝรั่งเศสสืบดูสมบัติพระเจ้าฝรั่งเศส”'' (กรมพระปรมานุชิต, น. ๔๓)
 
จะเห็นได้ว่าเอกสารทั้งหลายที่ยกมานี้ยังไม่พบเบาะแสใดที่พอจะอนุมานได้ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตหรือเจ้าแม่ผู้เฒ่า เป็นเชื้อพระวงศ์หรือไม่
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความเป็นเจ้า” ตามความหมายของธรรมเนียมราชตระกูลนั้นนับเอาเฉพาะลูกเธอหรือหลานเธอ นั่นคือไม่ต่ำกว่าพระเจ้าหลานเธอและหม่อมเจ้า
 
จึงยังไม่มีหลักฐานใดพอจะยืนยันได้ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตเป็นลูกเธอหรือหลานเธอพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใด
 
'''เหลือเพียงเบาะแสเดียวซ่อนอยู่ ที่อาจจะชี้ได้ว่าท่านผู้นี้เป็นเจ้านาย และเป็นเบาะแสเดียวเท่านั้นที่ยึดเป็นหลักฐานได้ คือที่มาของชื่อ “วัดดุสิต” ในชื่อเจ้าแม่วัดดุสิตนั่นเอง'''
 
เบาะแสนี้อยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า เมื่อคราวที่พระราชมารดาเลี้ยงของสมเด็จพระเจ้าเสือขอย้ายออกจากวังหลังจากที่สมเด็จพระเพทราชาสวรรคต
 
ทรงขอย้ายไปประทับที่ที่เคยเป็นที่อยู่ของเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งไม่ใช่บ้านธรรมดา แต่เป็นที่ประทับเสมอด้วยวังเจ้า
 
''“ในขณะนั้น สมเด็จพระอรรคมเหสีเดิมแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ ซึ่งเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน''
 
''ได้อภิบาลบำรุงรักษาพระองค์มาแต่ยังทรงพระเยาว์นั้น''
 
''ครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว จึงทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน เสด็จออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดดุสิต ''
 
'''''และที่พระตำหนักวัดดุสิตนี้เป็นที่พระตำหนักมาแต่ก่อน''' ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า และเจ้าแม่ผู้เฒ่าซึ่งเป็นพระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า''
 
''และเป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก โกษาปาน ซึ่งได้ขึ้นไปช่วยกราบทูลขอพระราชทานโทษสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน''
 
''ขณะเป็นที่หลวงสรศักดิ์และชกเอาปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ครั้งนั้น และ'''เจ้าแม่ผู้เฒ่านั้นก็ได้ตั้งพระตำหนักอยู่ในที่นั้น'''''
 
''ครั้นแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้และสมเด็จพระราชมารดาเลี้ยงก็เสด็จไปตั้งพระตำหนักอยู่ในนั้นสืบต่อกันไป”'' (กรมพระปรมานุชิต, น. ๑๘๕)
 
หลักฐานชิ้นนี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าเจ้าแม่วัดดุสิตต้องเป็น''' “เจ้า”''' ค่อนข้างแน่ แต่อย่างไรก็ดียังมีปริศนาอีกชิ้นหนึ่งที่ไม่สามารถจะหาคำตอบได้คือ สามีของเจ้าแม่วัดดุสิต
 
หรือพ่อของโกษาปานเป็นใคร หากท่านผู้นี้เป็น “เจ้า” ด้วย ก็สมควรที่จะเรียกที่อยู่ว่าตำหนักเช่นกัน น่าเสียดายว่าท่านผู้นี้ไม่ปรากฏหลักฐานที่เชื่อถือได้พอให้ระบุว่าท่านเป็นใคร
 
ในทำนองกลับกันนั่นอาจแสดงว่าท่านไม่ได้มี “เชื้อ” พอที่จะให้อ้างอิงก็เป็นได้ เพราะการอ้างอิงการสืบเชื้อสาย “เจ้า” ทางสายบิดาย่อมหนักแน่นกว่าทางสายมารดา
 
แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าต้นสายของเจ้าแม่วัดดุสิตเป็นใคร และไม่มีหลักฐานว่าท่านมีสกุลยศอย่างใด แต่เอกสารในชั้นหลังคือหลังรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา
 
กลับมีการกล่าวอ้างถึงสกุลยศว่าท่านเป็น '''“หม่อมเจ้า”''' ในราชวงศ์สุโขทัยพระมหาธรรมราชา เช่นในหนังสือ''โครงกระดูกในตู้''ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
 
ได้อ้างถึงหนังสือ''ราชินิกุลบางช้าง'' พิมพ์แจกในงานฉลองพระราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี รัชกาลที่ ๒ ดังนี้
 
''“แรกเริ่มเดิมที ท่าน (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) เกิดมาในตระกูลขุนนางในกรุงศรีอยุธยา ตระกูลของท่านเป็นตระกูลขุนนางสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน''
 
''นับแต่เจ้าพระยาโกศาปาน นักรบและนักการทูต ผู้มีชื่อเสียงในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาโกศาปานเป็นบุตรเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์''
 
''เจ้าแม่วัดดุสิตมีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าในราชวงศ์พระมหาธรรมราชา ซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์พระร่วงสุโขทัย”'' (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช. โครงกระดูกในตู้. ๒๕๑๔, น. ๑๘.)
 
ในเรื่องนี้ท่านยกเจ้าแม่วัดดุสิตให้เป็น “หม่อมเจ้า” ในราชวงศ์พระมหาธรรมราชา แต่ไม่ปรากฏพระนามพระองค์เองและพระสวามี
 
ที่สำคัญคืออ้างถึงการเป็นราชวงศ์ที่สืบเนื่องมาจากราชวงศ์พระร่วง
 
''เอกสารชั้นหลังเหล่านี้ล้วนเป็นลักษณะคำบอกเล่าโดยพิสดาร โอกาสที่จะถูกต้องและผิดพลาดมีได้เท่าๆ กัน''
 
เรื่องเจ้าแม่วัดดุสิต ยังไปปรากฏในประวัติตระกูล “อิศรางกูร” ที่น่าสนใจก็คือเอกสารชิ้นนี้ระบุชื่อของเจ้าแม่ผู้เฒ่าไว้และยังระบุนามพระราชบิดาไว้อีกด้วย
 
''“เจ้าแม่วัดดุสิตจะมีนามว่ากระไรแน่นั้น หลักฐานกล่าวไว้ไม่ตรงกัน บางแห่งกล่าวว่าชื่อหม่อมเจ้าหญิงบัว มีเชื้อสายพระร่วงสุโขทัย''
 
''บางหลักฐานก็กล่าวว่าชื่อหม่อมเจ้าหญิงอำไพ ราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ”'' (อิศรางกูร. พิมพ์ในงานฌาปนกิจ ม.ล.ปุย อิศรางกูร, ๒๕๑๗.)
 
เรื่องชื่อเจ้าแม่วัดดุสิตนี้บังเอิญตรงกับพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ในหนังสือ ราชินิกูล รัชกาลที่ ๕ ดังนี้
 
''“พระบุรพชนทางพระชนก พระบุรพชนเป็นพระบรมราชวงศ์จักรี มาแต่หม่อมเจ้าบัว คือที่สมญาว่า “เจ้าแม่วัดดุสิต” เป็นราชตระกูลครั้งกรุงทวารวดี”''
 
นอกจากนี้ยังมีเอกสารของ ม.ล.มานิจ ชุมสาย ที่กล่าวว่าเป็น “บันทึกของบรรพบุรุษ” ตกทอดมายังท่าน
 
มีเรื่องราวของเจ้าแม่วัดดุสิตดังโดยพิสดารอีกสายหนึ่งคือ แม้จะไม่ทราบชื่อท่าน แต่ก็ทราบนามของชาวมอญต้นสกุลจักรีที่ตามสมเด็จพระนเรศวรมายังกรุงศรีอยุธยา
 
''“แม่ทัพมอญคนหนึ่งมีนามว่า พระยาเกียรติ ได้ติดตามสมเด็จพระนเรศวรเข้ามารับราชการกับไทย ลูกหลานคนหนึ่งของพระยาเกียรติ (ไม่ได้บอกว่ามีชื่อว่าอะไร)''
 
''ได้แต่งงานกับเจ้าแม่วัดดุสิต (ไม่ได้บอกชื่อเดิมอีกเหมือนกัน) ซึ่งเป็นพระนาง มีตำแหน่งสูงในพระราชวัง”'' (ประวัติโกษาปานและบันทึกการเดินทางไปฝรั่งเศส.
 
คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์, ๒๕๓๐, น. ๑๓.)
 
ตามหลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นหมดโอกาสที่จะเป็นพระเจ้าลูกเธอของพระเจ้าแผ่นดินแน่
 
เนื่องจากสกุลยศต่ำสุดของพระเจ้าลูกเธออันเกิดแต่นางสนมนั้นก็เป็นถึงพระเยาวราช ตำแหน่งนามไม่ใช่น้อยเช่นนี้
 
ไม่สมควรที่ผู้จดพระราชพงศาวดารจะละเลยกล่าวถึงสกุลยศของพระองค์ หรือไม่ควรละเว้นการกล่าวย้อนไปถึงพระราชบิดาของพระองค์
 
อีกกรณีหนึ่งคือทรงเป็น'''หม่อมเจ้า''' คือเป็นหลานเธอของพระเจ้าแผ่นดิน หากเป็นในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชา
 
เจ้าแม่วัดดุสิตก็มีโอกาสเป็นพระธิดาของพระนเรศวร หรือพระเอกาทศรถ ก่อนที่ทั้งสองพระองค์นี้จะทรงครองราชย์
 
หากเป็นในแผ่นดินรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ก็ไม่น่าจะเข้าข่ายที่จะเป็นหม่อมเจ้าได้ ด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเป็นวังหน้าอยู่ในขณะนั้น
 
พระธิดาสมควรที่จะได้เป็นพระองค์เจ้า หากเป็นในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ ก็มีโอกาสที่พระธิดาของเจ้าฟ้าสุทัศน์หรือพระศรีเสาวภาคย์ได้
 
เพียงแต่พระราชพงศาวดารจดเรื่องของสองพระองค์นี้ไว้น้อยนัก ยากจะสันนิษฐานประการใดได้
 
แต่ยังมีปัญหาตามมาอีกคือ หากทรงมีพระชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดเอกสารชั้นกรุงศรีอยุธยาหรือเอกสารตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ขึ้นไป
 
จึงไม่พยายามเอ่ยถึงที่มาที่ไปของพระองค์ พระนามจริง แม้แต่พระนามของพระสวามี และหากทรงมีพระชาติกำเนิดสูงถึงระดับลูกหลวง หลานหลวง
 
จะเป็นไปได้หรือที่พระสวามีจะเป็นเพียงขุนนางมอญที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ โอกาสเช่นนี้แทบจะไม่เกิดขึ้นในธรรมเนียมราชตระกูลในสยามประเทศ
 
ในทำนองเดียวกันหากพระสวามีเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็จำเป็นจะต้องมีศักดิ์เสมอด้วยพระองค์จึงจะมีพระราชานุญาตให้อภิเษกสมรสได้ ซึ่งถ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
 
เหตุใดพระราชพงศาวดารจึงเว้นที่จะกล่าวถึง “ฝ่ายชาย” อย่างน่าสงสัย เพราะโอกาสที่ “ผู้หญิง” จะปรากฏในพระราชพงศาวดารไทยนั้นมีน้อยยิ่งนัก
 
''หลักฐานเรื่องเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่าพระองค์เป็นใครกันแน่''
 
แต่มีข้อน่าสังเกตถึงเรื่องราวของเจ้าแม่วัดดุสิตที่ก่อให้เกิดความแตกต่างเป็น ๒ ส่วนอย่างชัดเจน ส่วนแรกคือหลักฐานตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ขึ้นไป
 
คือประเภทจดหมายเหตุชาวต่างประเทศ หรือพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับต่างๆ ไม่ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้แม้แต่น้อย
 
รวมไปถึง '''“ความเป็นเจ้า”''' ของพระองค์ด้วย รวมไปถึงพระราชนิพนธ์ พระราชหัตถเลขารัชกาลที่ ๔ ที่ไม่มีการกล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิตเลย
 
อีกส่วนหนึ่งคือเอกสารหลังรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา กลับกล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิต ทั้งพระนาม เชื้อสาย และความเป็นวงศ์พระร่วงของพระองค์
 
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้หลักฐานหลังรัชกาลที่ ๔ มีการกล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิตอย่างละเอียดลออมากขึ้น และอาจเป็นต้นเหตุของเรื่อง “เชื้อเจ้า” ทั้งปวงนี้
 
ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ในพระราชวงศ์พระองค์ใด แต่กลับเป็นบุคคลที่นักประวัติศาสตร์ในพระราชวงศ์ไม่เคยยอมรับและประณามว่าเป็นจอมโกหก
 
'''บุคคลที่ว่านี้คือ ก.ศ.ร.กุหลาบ!'''
 
หนังสือ''ปฐมวงศ์'' ฉบับของ ก.ศ.ร.กุหลาบ และหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ ซึ่งเชื่อว่า ก.ศ.ร.กุหลาบเป็นผู้แต่งนั้น กล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิตไว้เป็นสำนวนเดียวกัน
 
โดยอ้างที่มาของเรื่องทั้งหมดไว้ในบานแผนกหนังสือ''ปฐมวงศ์ว่''า
 
''“หนังสือปฐมวงศ์พระเจ้าแผ่นดินกรุงเทพ เป็นเรื่องราวกล่าวด้วยมูลเหตุอภินิหารท่านผู้เป็นบรรพบุรุษ ต้นฉบับนั้นได้คัดแต่หนังสือหอหลวง''
 
''นายกุหลาบทูลเกล้าฯ ถวาย นายกุหลาบว่าคัดแต่ฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพน”'' (“อภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์,” ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ. ๒๕๔๕, น. ๖๗.)
 
หนังสือ''ปฐมวงศ์'' ฉบับ ก.ศ.ร.กุหลาบ กล่าวถึงต้นสายราชวงศ์จักรีไว้คล้ายกับหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ โดยกล่าวถึงความเป็นมาของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้
 
เหมือนกับเอกสารชั้นหลังที่คงจะอาศัยหนังสือ ๒ เล่มนี้เป็นต้นแบบอ้างอิง เรื่องเจ้าแม่วัดดุสิตในหนังสือ''ปฐมวงศ์'' มีดังนี้
 
''“เริ่มความในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระศรีสรรเพชญ บรมราชาธิราชปราสาททอง ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒๕ พระองค์''
 
''ในกรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุทธยา ปรากฏเป็นข้อต้น''
 
''พระเจ้าปราสาททองมีพระราชโอรสกับพระราชเทพีพระองค์หนึ่ง เป็นพระราชกุมารทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมาร''
 
''ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นพระราชบิดา จึ่งพระราชทานพระนมนางองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นหม่อมเจ้าหญิงในราชนิกูลพระเจ้าแผ่นดิน''
 
''พระราชทานให้เป็นพระนมของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมาร เป็นพระนมเอกนั้น ไว้ทรงอภิบาลทะนุบำรุงเจ้าฟ้านารายณ์มาแต่ทรงพระเยาว์จนทรงพระเจริญ''
 
''เป็นทั้งพระพี่เลี้ยงแลพระนม ด้วยพระราชชนนีของพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมารนั้น ทิวงคตแต่เมื่อประสูติได้เก้าวัน''
 
''เพราะเหตุนั้นสมเด็จพระนารายณ์จึ่งได้ทรงรักใคร่นับถือเหมือนพระราชมารดา''
 
''ครั้นเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้านารายณ์ได้เสด็จขึ้นเถลิงสิริราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินในที่ ๒๘ พระองค์ ในกรุงศรีอยุทธยา''
 
''ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระบรมราชา รามาธิบดีศรีสรรเพชญ พระนารายณ์เป็นเจ้าๆ จึ่งทรงตั้งหม่อมเจ้าพระนมนางขึ้นเป็นพระองค์เจ้า''
 
''แล้วทรงสร้างวังมีตำหนักตึก ที่ริมวัดดุสิดาราม นอกกำแพงพระนคร ถวายพระองค์เจ้าพระนมนางให้เสด็จประทับเป็นที่สำราญพระทัย''
 
''ครั้งนั้นคนเรียกว่าเจ้าแม่วัดดุสิต ตามที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงเรียกว่าเจ้าแม่วัดดุสิตๆ มีบุตรมาแต่เดิมนั้น ๒ คนเป็นชาย คนใหญ่ชื่อคุณเหล็ก คนที่ ๒ ชื่อคุณปาล”'' 
 
(อภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์, น. ๖๗-๖๘)
 
หนังสือ''ปฐมวงศ์''กับหนังสือ''อภินิหารบรรพบุรุษ'' ของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้ให้คำตอบเรื่องความเป็น “เจ้า” ของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้
 
คือนอกจากจะบอกให้รู้ว่าทรงเป็นหม่อมเจ้าอยู่แต่เดิมและได้ยกเป็นพระองค์เจ้าภายหลัง และเรื่องนี้น่าจะเป็น “ต้นทาง”
 
ให้เอกสารรุ่นหลังใช้เป็นแนวทางในการเดินตาม คือต่อเติมลากสายสัมพันธ์กับพระราชวงศ์ต่างๆ จนสับสนไปหมด
 
''สำหรับพระนามแท้จริงของเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นถึงบัดนี้ยังคงต้องถือว่าเป็นปริศนาชิ้นโตของประวัติราชวงศ์จักรีที่ยังคลี่คลายไม่ได้''
 
''จะอาศัยอ้างอิงพระนามจากเอกสารรุ่นหลังก็เลื่อนลอยเต็มที''
 
ส่วนคำตรัสเรียกว่า “เจ้าแม่วัดดุสิต” ของสมเด็จพระนารายณ์ ก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดอีกชั้นหนึ่ง คือเป็นพระนามโดยตำแหน่ง
 
ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมนิยมที่คนรุ่นก่อนจะไม่เรียกชื่อกันตรงๆ เช่น สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ เป็นต้น และคำตรัสเรียก “เจ้าแม่วัดดุสิต”
 
ก็ถือเป็นการยืนยันจากสมเด็จพระนารายณ์เป็นอย่างดีว่าท่านผู้นี้เป็น “เจ้า” จริงๆ
 
คือ คำเรียก “เจ้าแม่” นั้นไม่ได้หมายความอย่างเดียวกับ “เจ้าพ่อ” นักเลงโต แต่ย่อมหมายถึง'''เจ้า'''ที่เป็น'''แม่'''นั่นเอง
 
หากนำไปรวมกับเรื่องการเรียกที่อยู่ว่า'''พระตำหนัก''' ตามหลักฐานใน''พระราชพงศาวดารกรุงเก่า'' ก็ย่อมแสดงถึงที่ประทับของเจ้านาย ทำให้เรื่องนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น
 
== อ้างอิง ==