ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ชาวมอญ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ลบบลความซ้ำซ้อน
บรรทัด 29:
นักภูมิศาสตร์อาหรับบางท่านเรียกมอญว่า รามัญประเทศ (Ramannadesa) ซึ่งหมายถึง "ประเทศมอญ" คำนี้เพี้ยนมาจากคำศัพท์โบราณของ มอญ คือ "รามัญ" (Rmen) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกตัวเองของมอญ แต่พม่าเรียกมอญว่า "ตะเลง" (Talaing) ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า [[Telangana]] อันเป็นแคว้นหนึ่งทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของ[[ประเทศอินเดีย]]
 
ส่วนนาม รามัญ พบเก่าสุดใน[[มหาวังสะ]]ของ[[สิงหล]] ในสมัย[[พระเจ้าจานสิตา]]แห่ง[[อาณาจักรพุกาม|พุกาม]] พบคำนี้ในศิลาจารึกมอญ เขียนออกเสียงว่า รมีง ซึ่งในจารึกนั้น ก็พบคำเรียกพม่าอ่านว่า มิรมา อีกด้วย ส่วนในสมัยหงสาวดี พบจารึกแผ่นทอง เขียนอ่านว่า รมัน คล้ายกับที่ไทยเรียก รามัญ ส่วนในเขตรามัญเทสะ จะเรียกว่า มัน หรือ มูน ซึ่งใกล้กับคำว่า มอญ ในภาษาไทย
 
== ประวัติ ==
{{บทความหลัก|อาณาจักรมอญ}}
มอญเป็นชนชาติเก่าแก่ มีอารยธรรมรุ่งเรืองมากชนชาติหนึ่ง จาก[[พงศาวดาร]][[พม่า]]กล่าวว่า "มอญเป็นชนชาติแรกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพม่า มาเป็นเวลาหลายศตวรรษก่อนคริสตกาล" คาดว่าน่าจะอพยพมาจากตอนกลางของ[[ทวีปเอเชีย]] เข้ามาตั้งอาณาจักรของตนทางตอนใต้ บริเวณลุ่ม[[แม่น้ำสาละวิน]] และ[[แม่น้ำสะโตง]] ซึ่งบริเวณนี้ในเอกสารของจีน และอินเดียเรียกว่า "[[ดินแดนสุวรรณภูมิ]]"
 
ในพุทธศตวรรษที่ 2 ศูนย์กลางของอาณาจักรมอญคือ[[อาณาจักรสุธรรมวดี]]หรือสะเทิม (Thaton) จากพงศาวดารมอญ กล่าวไว้ว่าอาณาจักรสะเทิมสร้างโดยพระราชโอรส 2 พระองค์ของ[[พระเจ้าติสสะ]] แห่งแคว้นหนึ่งของอินเดีย ก่อนปี พ.ศ. 241 พระองค์นำพลพรรคลงเรือสำเภามาจอดที่[[อ่าวเมาะตะมะ]] และตั้งรากฐานซึ่งต่อมาเป็นที่ตั้งของเมือง อาณาจักรสะเทิมรุ่งเรืองมาก มีการค้าขายติดต่ออย่างใกล้ชิดกับประเทศอินเดียและลังกา และได้รับเอาอารยธรรมของอินเดียมาใช้ ทั้งทางด้าน[[อักษรศาสตร์]] และ[[ศาสนา]] โดยเฉพาะรับเอา[[พุทธศาสนานิกายหินยาน]]มา มอญมีบทบาทในการถ่ายทอดอารยธรรมอินเดียไปยังชนชาติอื่นอย่าง ชาวพม่า ไทย และลาว เจริญสูง มีความรู้ดีทางด้านการเกษตร และมีความชำนาญในการชลประทาน โดยเป็นผู้ริเริ่มระบบ[[ชลประทาน]]ขึ้นในลุ่มน้ำอิรวดีทางตอนกลางของประเทศพม่า
 
พวกน่านเจ้าเข้ามาทางตอนเหนือของพม่า และทำสงครามกับพวก[[ปยู]] อาณาจักรมอญ ที่สะเทิมขยายอำนาจขึ้นไปทางภาคกลางของลุ่ม[[แม่น้ำอิรวดี]]ระยะหนึ่ง แต่เมื่อ ชนชาติพม่า มีอำนาจเหนืออาณาจักรปยู และได้ขยายอำนาจลงมาทางใต้ เข้ารุกรานมอญ มอญจึงถอยลงมาดังเดิม และได้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 1368 ที่ [[หงสาวดี]]
 
[[พระเจ้าอโนรธา]] กษัตริย์พม่าแห่งพุกาม ยกทัพมาตีอาณาจักรสุธรรมวดี และกวาดต้อนผู้คน ทรัพย์สมบัติ พระสงฆ์ พระไตรปิฎก กลับไปพุกามจำนวนมาก ต่อมาระหว่างปี 1600-1830 กรุงหงสาวดี ตกอยู่ใต้อำนาจพุกาม แต่กระนั้นพม่าก็รับวัฒนธรรมมอญมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น[[ภาษามอญ]]ได้แทนที่[[ภาษาบาลี]]และ[[สันสกฤต]]ในจารึกหลวง และ[[ศาสนาพุทธเถรวาท]] ได้เป็นศาสนาที่นับถือสูงสุดในพุกาม มอญยังมีความใกล้ชิดกับลังกา ซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท และนิกายเถรวาทก็แพร่กระจายไปทั่ว[[เอเชียอาคเนย์]]
 
พระเจ้ากยันสิทธะทรงดำเนินนโยบายผูกมิตรกับราชตระกูลของพระเจ้ามนูหะ กษัตริย์มอญแห่งสะเทิม โดยยกพระราชธิดาให้กับเจ้าชายมอญ พระนัดดาที่ประสูติจากทั้งสองพระองค์นี้ ก็ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ พระนามว่า [[พระเจ้าอลองสิธู|อลองคะสิทธู]] ในยุคที่พระองค์ปกครองอาณาจักรพุกามได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นที่สุด นอกจากนี้ในสมัยของ[[พระเจ้ากยันสิทธะ]] ในศิลาจารึกยกย่องไว้ว่า "วัฒนธรรมมอญ"เหนือกว่าวัฒนธรรมพม่าด้วย
 
ต่อมาในปี [[พ.ศ. 1830]] [[มองโกล]]ยกทัพมาตีพม่า ทำให้มอญได้รับเอกราชอีกครั้ง มะกะโท หรือ[[พระเจ้าฟ้ารั่ว]] หรือวาเรรุ ราชบุตรเขยของ[[พ่อขุนรามคำแหง]]ได้ทรงกอบกู้เอกราช [[มอญ]]จาก[[พม่า]] และสถาปนาราชวงค์ชาน-ตะเลง สถาปนา[[ราชอาณาจักรมอญอิสระหงสาวดี]] พระองค์มีมเหสีเป็นราชธิดาของ[[พ่อขุนรามคำแหง]] กษัตริย์ของไทย มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่[[เมาะตะมะ|เมืองเมาะตะมะ]] ซึ่งเป็นต่อมาในสมัยพญาอู ได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ เมืองพะโคหรือ[[หงสาวดี]] ราชบุตรของมอญจนถึงปีพระองค์คือพญาน้อย ซึ่งต่อมาก็คือ[[พระเจ้าราชาธิราช]] พ.ศ.ผู้ทำสงครามยาวนานกับกษัตริย์พม่าอังวะ 1912ในสมัย[[พระเจ้าซวาส่อแก]] จากนั้นย้ายกลับไปหงสาวดีตามเดิมกับสมัย[[พระเจ้ามีงคอง]](คนไทยเรียกว่า พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง และในรัชสมัยหนังสือเรื่อง [[ราชาธิราช]]) ขุนพลสำคัญของพระเจ้าราชาธิราช ก็คือ [[สมิงพระราม]] [[ละกูนเอง]] และ[[แอมูน-ทยา]] ในสมัยของพระเจ้าราชาธิราชนั้น [[หงสาวดีรุ่งเรืองจน]]กลายเป็น ศูนย์กลางทางการค้าอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่โต ทางแถบครอบคลุมตั้งแต่ชายฝั่งทะเล[[อ่าวเบงกอล]] จาก[[แม่น้ำอิรวดี]]ขยายลงไปทางตะวันออกถึง[[แม่น้ำสาละวิน]] และเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่ใหญ่โต มีเมืองท่าที่สำคัญหลายเมืองแห่งในละแวกใกล้หลายลุ่มน้ำ เช่น [[เมาะตะมะ]] [[สะโตง]] [[พะโค]] [[พะสิม]] และอาณาจักรมอญมารุ่งเรือง ยุคนี้เจริญสูงสุดในช่วงปี พ.ศ. 2015-2035 สมัย[[พระนางเชงสอบู]]และสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์]] ต่อมาหลังจากนั้นในสมัยพระเจ้าทาคายุพิน[[หงสาวดี]]ก็เสียแก่ [[พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ตะเบ็งชะเวตี้]] กษัตริย์พม่า ในปี พ.ศ. 2094 จนปี พ.ศ. 2283 [[สมิงทอพุทธิเกศ]] ก็กู้เอกราชคืน มาจากพม่าได้สำเร็จ และได้ยกทัพไปตี[[เมืองอังวะ]]อีกด้วย
 
พ.ศ. 2283 สมิงทอพุทธิเกศ กู้เอกราชคืนมาจาก[[พม่า]]ได้สำเร็จ และสถาปนา [[ราชอาณาจักรหงสาวดีใหม่]] ทั้งได้ยกทัพไปตี[[อังวะ|เมืองอังวะ]] ในปี พ.ศ. 2290 [[พระยาทะละ]] ได้ครองอำนาจแทนสมิงทอพุทธิเกศ ขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวาง ทำให้[[อาณาจักรตองอู]]ของพม่าสลายตัวลง จนในปี พ.ศ. 2300 [[พระเจ้าอลองพญา]] ก็กู้อิสรภาพของ[[พม่า]]กลับคืนมาได้ ทั้งยังได้โจมตีมอญ กษัตริย์องค์สุดท้ายของมอญตกอยู่ภายใต้อำนาจพม่าจนกระทั่งทุกวันนี้คือ พระเจ้าพญามองธิราช <ref>[http://www.monstudies.com/show_content.php?topic_id=135&main_menu_id=1 มอญ : ชนชาติบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ]</ref>
 
ในปัจจุบัน ชาวมอญรุ่นหลังหันมาใช้ภาษาพม่ากันมาก และมีจำนวนมากที่เลิกใช้[[ภาษามอญ]] จนคิดว่าตนเป็นพม่า อีกทั้งไม่ทราบว่าตนมีเชื้อสายมอญ จากการสำรวจประชากรมอญในปี ค.ศ. 1931 พบว่ามีจำนวนแค่ 3 แสน 5 หมื่นคน ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 ได้มีการก่อตั้งสมาคมชาวมอญ และมีการสำรวจประชากรมอญอีกครั้ง พบว่ามีราว 6 แสนกว่าคน พอต้นสมัยสังคมนิยมสำรวจได้ว่ามีชาวมอญราว 1 ล้านกว่าคน ชาวมอญที่ยังพูดภาษามอญในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ มีในหมู่บ้านในเมือง[[ไจก์ขมี]] และเมือง[[สะเทิมรัฐมอญ]] แต่ในเขตเมืองก็จะพบแต่ชาวมอญที่พูดภาษาพม่าเป็นส่วนมาก<ref name="วิรัช นิยมธรรม">วิรัช นิยมธรรม, [http://www.monstudies.com/show_content.php?topic_id=149&main_menu_id=1 มอญ : ต้นตออารยธรรมอุษาคเนย์] เรียบเรียงจากข้อเขียนของนายปันหละ พิมพ์ในสารานุกรมพม่า ฉบับที่ 10 </ref>
 
=== พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ===
ราชวงศ์ของอาณาจักรชนชาติมอญนั้น อาจแบ่งได้เป็น 3 ยุค
 
ยุคแรกคือยุคราชวงศ์[[สะเทิม]]-[[อาณาจักรสุธรรมวดี]] มีกษัตริย์ปกครอง 57 พระองค์ เริ่มจากสมัย[[พระเจ้าสีหราชา]] มาจนถึงสมัย[[พระเจ้ามนูหะ]] เชื่อว่ายุคนี้ครอบครองพื้นที่ได้ ทั้ง[[อาณาจักรทวารวดี]]และ[[อาณาจักรสะเทิม]] ยุคแรกสิ้นสุดลงเมื่อ[[พระเจ้าอโนรธา]]แห่ง[[พุกาม]] ยกทัพมาตี[[เมืองสะเทิม]]ในสมัยพระเจ้ามนูหา ซึ่งนัก[[ประวัติศาสตร์ไทย]]บางท่านเชื่อว่า[[พระเจ้าอโนรธา]]น่าจะยกมาตีถึง[[นครปฐม]]
 
ยุคที่สองคือยุคราชวงศ์เมาะตะมะ-พะโค (Hanthawaddy Kingdom) เริ่มจากสมัยที่พม่าซึ่งอ่อนแอจากการรุกรานของ[[มองโกล]] [[พระเจ้าวะเรรุ]]หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว (มะกะโท) ได้ทรงกอบกู้เอกราช[[มอญ]]จาก[[พม่า]]และสถาปนา "อาณาจักรมอญอิสระ" พระองค์มีมเหสีเป็นราชธิดาของ[[พ่อขุนรามคำแหง]] กษัตริย์ของไทย มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่[[เมืองเมาะตะมะ]] ต่อมาในสมัย[[พญาอู่]] ได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ เมืองพะโคหรือ[[หงสาวดี]] ราชบุตรของพระองค์คือพญาน้อย ซึ่งต่อมาก็คือ[[พระเจ้าราชาธิราช]] ผู้ทำสงครามยาวนานกับกษัตริย์พม่าในสมัย[[พระเจ้าสวาสอแก]] กับสมัย[[พระเจ้าเมงคอง]] (คนไทยเรียกว่า พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ในหนังสือเรื่อง [[ราชาธิราช]]) ขุนพลสำคัญของพระเจ้าราชาธิราช ก็คือ [[สมิงพระราม]] [[สมิงนครอินทร์|ละกูนเอง (สมิงนครอินทร์)]] และ[[สมิงอายมนทะยา|แอมูน-ทยา (สมิงอายมนทะยา)]] ในสมัยของพระเจ้าราชาธิราชนั้น[[หงสาวดี]]กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่ใหญ่โต ทางแถบ[[อ่าวเบงกอล]] มีเมืองท่าที่สำคัญหลายแห่ง อาณาจักรมอญยุคนี้เจริญสูงสุดในสมัย[[พระนางเชงสอบู]]และสมัย[[พระเจ้าธรรมเจดีย์]] หลังจากนั้นในสมัยพระเจ้าทาคายุพิน[[หงสาวดี]]ก็เสียแก่[[พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้]]
 
ยุคที่สามยุคฟื้นฟู (Restored Hanthawaddy Kingdom) พ.ศ. 2283 [[สมิงทอพุทธิเกศ]]กู้เอกราชคืนมาจาก[[พม่า]]ได้สำเร็จ และได้ยกทัพไปตี[[เมืองอังวะ]]อีกด้วย ในปี พ.ศ. 2290 พระยาทะละ ได้ครองอำนาจแทนสมิงทอพุทธิเกศ ขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวาง ทำให้[[อาณาจักรพม่าสลาย]]ตัวลง จนในปี พ.ศ. 2300 [[พระเจ้าอลองพญา]] ก็กู้อิสรภาพของ[[พม่า]]กลับคืนมาได้ ทั้งยังได้โจมตีมอญ กษัตริย์องค์สุดท้ายของมอญคือ พระเจ้าพญามองธิราช มอญตกอยู่ภายใต้อำนาจพม่า จนกระทั่งทุกวันนี้
 
== วัฒนธรรม ==
=== ภาษาและอักษรมอญ ===
{{บทความหลัก|อักษรมอญ|ภาษามอญ}}
 
[[ภาษามอญ]]มีการใช้มานานประมาณ 3,000-4,000 ปี เป็นภาษาในสาขามอญ (Monic) มีผู้ใช้ภาษานี้อยู่ประมาณ 5,000,000 คน ส่วนอักษรมอญ มีความเก่าแก่ พบหลักฐานในประเทศไทยที่ จารึก[[วัดโพธิ์ร้าง]] [[พ.ศ. 1143]] เป็นอักษรมอญโบราณที่เก่าแก่ที่สุด ในบรรดาจารึกภาษามอญที่ได้ค้นพบ ในแถบเอเซียอาคเนย์ เป็นจารึกที่เขียนด้วยตัว[[อักษรปัลลวะ]] ที่ยังไม่ได้ดัดแปลงให้เป็น [[อักษรมอญ]] พบว่ามีการประดิษฐ์อักษรมอญขึ้น เพื่อให้พอกับเสียงในภาษามอญ<ref>http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=271</ref> ในจารึกเสาแปดเหลี่ยมที่ศาลสูง เมือง[[ลพบุรี]] และยังพบจารึก จารึกในพุทธศตวรรษที่ 14 ราว [[พ.ศ. 1314]] เป็น ตัวอักษรหลังปัลลวะ มีเนื้อหาเกี่ยวกับ[[พระพุทธศาสนา]]<ref>http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=921</ref>
 
หลักฐานจารึกในสมัยกลางประมาณ [[พ.ศ. 1600]] เป็นต้นมา บันทึกทั้งภาษามอญและอักษรมอญ ซึ่งพม่าก็รับอักษรมอญมาใช้เขียน[[ภาษาพม่า]]เป็นครั้งแรก ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 ตัวอักษรได้คลี่คลายจากตัวอักษรปัลลวะ มาเป็นตัวอักษรสีเหลี่ยม ก็คืออักษรมอญโบราณ และเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กลงในระยะต่อมา จนในพุทธศตวรรษที่ 21 ก็ได้กลายเป็นอักษรมอญปัจจุบัน ที่มีลักษณะกลม สันนิษฐานว่าเกิดจากการจารหนังสือโดยใช้เหล็กจารลงบน[[ใบลาน]] มอญปัจจุบันมีอายุ ประมาณ 400 ปีเศษ <ref>[http://www.monstudies.com/show_content.php?topic_id=68&main_menu_id=3 อักษรมอญ]</ref>
เส้น 75 ⟶ 67:
 
=== ศิลปะ ===
ศิลปวัฒนธรรมมอญนั้น กลายเป็นศิลปวัฒนธรรมของพม่าไปหมดเพราะ ศิลปวัฒนธรรมส่วนใหญ่นั้น พม่าได้รับไปจากมอญ ศิลป[[สถาปัตยกรรม]]ประเภทเรือนยอด ([[กุฏาคาร]]) หรือหลังคาที่มียอดแหลมต่อขึ้นไป โดยเฉพาะเรือนยอดทรงมณฑปนี้ เป็นสถาปัตยกรรมมอญ ที่ไทยและพม่านำมาดัดแปลงใช้ต่อ
 
ศิลปดนตรี นั้น ไทยได้รับอิทธิพลจากมอญมามาก เช่น ไทยเรารับ[[ปี่พาทย์มอญ]] และรับได้ดีทั้งรักษาไว้จนปัจจุบัน และให้เกียรติเรียกว่า [[ปี่พาทย์มอญ]] นิยมบรรเลงใน[[งานศพ]] [[ดนตรีไทย]]ที่มีชื่อเพลงว่า มอญ นั้น นับได้ 17 เพลง เช่น มอญดูดาว มอญชมจันทร์ มอญรำดาบ มอญอ้อยอิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมี [[มอญร้องไห้]] มอญนกขมิ้น ฯลฯ และยังมีแขกมอญ คือ ทำนองทั้งแขกทั้งมอญ เช่น แขกมอญบางขุนพรหม แขกมอญบางช้าง เป็นต้น เพลงทำนองของมอญ มีความสง่าภาคภูมิ เป็นผู้ดีมีวัฒนธรรม และค่อนข้างจะเย็นเศร้า ซึ่งเป็นลักษณะของผู้มีวัฒนธรรมสูง ย่อมสงวนทีท่าบ้างเป็นธรรมดา แต่ที่สนุกสนานก็มีบ้าง เช่น กราวรำมอญ มอญแปลง ฯ ส่วนเครื่องดนตรีประเภทให้จังหวะ คือ [[กลอง]] ที่เรียกว่า[[เปิงมาง]] นั้น คาดว่าเป็นของมอญ ซึ่งไทยเรานำมาผสมวง ทำคอกล้อม เป็นวงกลมหลายวง เรียกว่า [[เปิงมางคอก]] ตีแล้วฟังสนุกสนาน
 
=== ประเพณีและศาสนา ===
ขนบธรรมเนียม ประเพณีของชาวมอญนั้น มีวัฒนธรรมเป็นแบบฉบับมายาวนาน บางอย่างมีอิทธิพลให้กับชนชาติใกล้เคียง เช่น [[ประเพณีสงกรานต์]] ปล่อยนกปล่อยปลา [[ข้าวแช่]] ฯลฯ บางอย่างก็ถือปฏิบัติกันแต่เฉพาะในหมู่ชนมอญเท่านั้น ชาวมอญเลื่อมใสใน[[พระพุทธศาสนา]]อย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็นับถือผีบรรพบุรุษกับผีอื่น ๆ ที่มีอิทธิฤทธิ์ รวมทั้ง[[เทวดา]]องครักษ์<ref>http://www.thaiws.com/pmch/monstudies.htm</ref>
 
ประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ ของภาคกลาง ที่เรียกว่า ประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ กำเนิดขึ้นใน [[จ.สมุทรปราการ]] ชาวพระประแดง (มอญปาก-ลัด) ปกติมักจัดขึ้นในช่วงเวลา วันที่ 13 เมษายนของทุกปี หรือตรงกับวันสงกรานต์นั่นเอง ความเป็นมาหรือสาระสำคัญของประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ ก็เพื่อเป็นการระลึกถึง และเป็นการบูชา รวมไปถึงการเฉลิมฉลองให้กับครั้งที่ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จกลับลงจากจากชั้นภพ [[ดาวดึงส์]] นั่นเอง เป็นการถือปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ผู้คนต่างๆมักจะนำเสาหงส์ และ ธงตะขาบ มาใช้คู่กัน
 
== มอญในประเทศไทย ==
=== หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ===
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในสมัยพุทธศตวรรษที่ 11–13 คือเหรียญเงินเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 ม.ม. พบที่[[นครปฐม]] และ[[อู่ทอง]]นั้น พบว่ามีอักษรจารึกไว้ว่า “ศรีทวารวดีศวร”และ และ มีรูปหม้อน้ำกลศอยู่อีกด้านหนึ่ง ทำให้เชื่อได้ว่า ชนชาติมอญโบราณ ได้ตั้ง[[อาณาจักรทวารวดี]] (บางแห่งเรียกทวาราวดี) ขึ้นในภาคกลางของ[[ดินแดนสุวรรณภูมิ]]
 
มีศูนย์กลางที่เมืองนครปฐมโบราณ (ลุ่ม[[แม่น้ำท่าจีน]]หรือ[[นครชัยศรี]]) กับเมืองอู่ทองและเมืองละโว้ (ลพบุรี) ต่อมาได้ขยายอำนาจขึ้นไป ถึงเมืองหริภุญชัยหรือ[[ลำพูน]] มีหลักฐานเล่าไว้ว่า ราว พ.ศ. 1100 [[พระนางจามเทวี]] ราชธิดาของเจ้าเมืองลวปุระหรือละโว้ลพบุรี ได้อพยพผู้คนขึ้นไปตั้งเมืองหริภุญชัยที่ลำพูน ส่วนที่เมืองนครปฐมนั้นมีการพบ [[พระปฐมเจดีย์]] และมีการพบจารึก[[อักษรปัลลวะ]] [[บาลี]] [[สันสกฤต]] และ [[ภาษามอญ]] ที่บริเวณ[[พระปฐมเจดีย์]] และบริเวณใกล้เคียง พบจารึก [[ภาษามอญ]] [[อักษรปัลลวะ]] บันทึกเรื่องการสร้างพระพุทธรูป เสาหงส์ วิหาร และแนวต้นมะพร้าวเป็นอาณาเขตพระอารามที่วัดโพธิ์ร้าง [[จังหวัดนครปฐม]] อายุราว พ.ศ. 1200 (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระปฐมเจดีย์) และพบ จารึกมอญ ที่ลำพูนอายุราว พ.ศ. 1628 (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน)
 
ต่อมา[[อาณาจักรขอม]]หลังจาก[[พระเจ้าชัยวรมันที่ 7]] สวรรคตใน พ.ศ. 1732 อำนาจขอมก็เริ่มเสื่อมลง รวมถึงให้[[พ่อขุนบางกลางหาว]] ที่สถาปนาเป็น [[พ่อขุนศรีอินทราทิตย์]] และประกาศตั้ง[[อาณาจักรสุโขทัย]] เป็นอิสระจากการปกครองของ[[ขอม]] [[พ่อขุนรามคำแหง]] พระราชโอรสของขุนศรีอินทราทิตย์ ได้ครองราชย์และทรงดัดแปลง[[อักษรขอม]]และ [[อักษรมอญ]] มาประดิษฐ์เป็นลายสือไทย
 
ด้านจารึก[[ภาษามอญ]]บนใบลานนั้น พบมากมายตามหมู่บ้านมอญใน[[ประเทศไทย]] ส่วนที่[[ประเทศพม่า]]พบมากตามหมู่บ้านมอญในเมืองสะเทิมและเมืองไจก์ขมี ซึ่งมีการคัดลอกและรวบรวมนำมาเก็บไว้ ที่หอสมุดแห่งชาติเมือง[[ย่างกุ้ง]] และที่ห้องสมุดมอญเมือง[[เมาะลำเลิง]] นอกจากนี้กองโบราณคดีและกองวัฒนธรรม ยังได้จัดพิมพ์วรรณกรรม ชาดก ตำรามอญ และเคยมีการริเริ่มจัดพิมพ์พจนานุกรมมอญ-พม่าอีกด้วย
 
=== มอญอพยพ ===
ทุกวันนี้ ชนชาติมอญ ไม่มีอาณาเขตประเทศปกครองตนเอง เนื่องจากตกอยู่ในภาวะสงคราม และการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง และการรุกรานของจากพม่า ชาวมอญอยู่อย่างแสนสาหัส ถูกกดขี่รีดไถ มีการเกณฑ์แรงงานก่อสร้าง ทำไร่นาหาเสบียงเพื่อการสงคราม และเกณฑ์เข้ากองทัพ โดยเฉพาะสงครามในปี [[พ.ศ. 2300]] สมัย[[พระเจ้าอลองพญา]]เป็นสงครามครั้งสุดท้าย ที่ชาวมอญพ่ายแพ้แก่พม่าอย่างราบคาบ ชาวมอญส่วนหนึ่งจึงอพยพโยกย้ายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในเมืองไทยหลายต่อหลายครั้ง เท่าที่มีการจดบันทึกเอาไว้รวมทั้งสิ้น 9 ครั้ง
ชาวมอญอยู่อย่างแสนสาหัส ถูกกดขี่รีดไถ การเกณฑ์แรงงานก่อสร้าง ทำไร่นาหาเสบียงเพื่อการสงคราม และเกณฑ์เข้ากองทัพ โดยเฉพาะสงครามในปี [[พ.ศ. 2300]] เป็นสงครามครั้งสุดท้าย ที่คนมอญพ่ายแพ้แก่พม่าอย่างราบคาบ ชาวมอญส่วนหนึ่งจึงอพยพโยกย้ายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในเมืองไทยหลายต่อหลายครั้ง เท่าที่มีการจดบันทึกเอาไว้รวมทั้งสิ้น 9 ครั้ง
 
'''ครั้งที่ 1''' เมื่อ [[พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้]]ตี[[หงสาวดี]]แตกใน พ.ศ. 2082 ชาวมอญจำนวนมากหนีเข้ามา[[กรุงศรีอยุธยา]] พระเจ้าแผ่นดินโปรดฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมือง[[กรุงศรีอยุธยา]]ชั้นนอก พระยาเกียรติ พระยารามและครัวเรือน ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมืองชั้นใน ใกล้พระอาราม[[วัดขุนแสน]] และเมื่อถึง [[พ.ศ. 2084]] [[ราชวงศ์ตองอู]]ตีเมือง[[เมาะตะมะ]]แตก มีการฆ่าฟันชาวมอญลงขนาดใหญ่ ก็เข้าใจว่ามีชาวมอญหนีเข้ามาสู่[[กรุงศรีอยุธยา]]อีก ถือเป็นระลอกแรกของมอญอพยพ
 
'''ครั้งที่ 2''' เมื่อ[[พระนเรศวร]]เสด็จไปพม่าเมื่อคราว[[พระเจ้าบุเรงนอง]]สิ้นพระชนม์ แล้วประกาศเอกราช ทรงชักชวนชาวมอญที่เข้าสวามิภักดิ์ ให้อพยพเข้ามาพร้อมกัน ราว พ.ศ. 2127 ในการอพยพครั้งนี้ไม่ปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินโปรดฯ ให้ตั้งบ้านเรือนที่ใด แต่คาดว่าคงเป็นย่านเดียวกับการอพยพคราวแรก
 
'''ครั้งที่ 3''' เกิดขึ้นเมื่อหงสาวดีถูก[[ยะไข่]]ทำลายใน พ.ศ. 2138 ครั้งนี้ก็มีการอพยพใหญ่ของชาวมอญมาทางตะวันออกเข้าสู่ดินแดนของกรุงศรีอยุธยา
 
'''ครั้งที่ 4''' หลังจากที่[[ราชวงศ์ตองอู]]ย้ายราชธานีไปอยู่ที่[[อังวะ]] หลังจาก[[หงสาวดี]]ถูกทำลายแล้ว พวกชาวมอญก็ตั้งอำนาจขึ้นใหม่ในดินแดนของตน ต่อมา ถึงรัชกาลพระเจ้านอกเปกหลุน พม่าจึงยกทัพมาปราบพวกชาวมอญอีกใน [[พ.ศ. 2156]] ทำให้เกิดการอพยพของชาวมอญเข้าสู่[[กรุงศรีอยุธยา]] หลักฐานบางแห่งกล่าวว่า ชาวมอญกลุ่มนี้ได้รับอนุญาตให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามแนวชายแดนไทย
 
'''ครั้งที่ 5''' ใน [[พ.ศ. 2204]] หรือ 2205 พวกชาวมอญในเมือง[[เมาะตะมะ]]ก่อการกบฏขึ้นอีก แต่ถูกพม่าปราบลงได้ จึงต้องอพยพหนีเข้ากรุงศรีอยุธยาอีกระลอกหนึ่ง ผ่านทาง[[ด่านเจดีย์สามองค์]] เข้าใจว่ากลุ่มนี้สัมพันธ์กับกลุ่มชาวมอญที่ตั้งอยู่ชายแดน
 
'''ครั้งที่ 6''' หลังจากที่ชาวมอญสามารถตั้งอาณาจักรของตนขึ้นได้ใหม่ในปลายราชวงศ์ตองอู แล้วยกกำลังไปตีกรุงอังวะแตก [[พระเจ้าอลองพญา|อลองพญา]]รวบรวมกำลังพม่าแล้วลุกขึ้นต่อสู้จนในที่สุดก็ตั้ง[[ราชวงศ์อลองพญาคองบอง]]ได้ และใน [[พ.ศ. 2300]] ก็สามารถตี[[หงสาวดี]]ได้อีก นโยบายของราชวงศ์นี้คือ กลืนมอญให้เป็นพม่าโดยวิธีรุนแรง จึงมีชาวมอญอพยพหนีมาสู่เมืองไทยอีกหลายระลอก รวมทั้งกลุ่มที่หนีขึ้นเหนือไปสู่ล้านนา และเรียกกันว่าพวกเม็งในปัจจุบันนี้
 
'''ครั้งที่ 7''' ใน [[พ.ศ. 2316]] ตรงกับแผ่นดินสมัยกรุงธนบุรี ชาวมอญก่อกบฏใน[[ย่างกุ้ง]] พม่าปราบปรามอย่างทารุณแล้วเผาย่างกุ้งจนราบเรียบ ทำให้มอญอพยพเข้าไทยอีก [[พระเจ้าตากสิน]]โปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่[[ปากเกร็ด]] ซึ่งทำให้เกิดกลุ่มมอญเก่า (พระยารามัญวงศ์) และมอญใหม่ (พระยาเจ่ง) คนที่นับตัวเองเป็นชาวมอญในปัจจุบันล้วนอพยพเข้ามาจากระลอกนี้หรือหลังจากนี้ ส่วนชาวมอญที่อพยพก่อนหน้านี้กลืนหายเป็นไทยไปหมด แม้แต่กลุ่มที่อยู่ตามชายแดนแถบเมือง[[กาญจนบุรี]]
คนที่นับตัวเองเป็น มอญ ในปัจจุบันล้วนอพยพเข้ามาจากระลอกนี้ หรือหลังจากนี้ทั้งนั้น ส่วน มอญ ที่อพยพก่อนหน้านี้กลืนหายเป็นไทยไปหมด แม้แต่กลุ่มที่อยู่ตามชายแดนแถบเมือง[[กาญจนบุรี]]
 
'''ครั้งที่ 8''' [[พ.ศ. 2336]] เมื่อ[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] ยึดเมือง[[ทวาย]]ได้ แต่รักษาไว้ไม่ได้ ต้องถอยกลับเข้าไทย ก็นำเอาพวกชาวมอญโดยเฉพาะที่เป็นพวกหัวหน้าเข้ามา
 
'''ครั้งที่ 9''' [[พ.ศ. 2357]] ในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]] เมื่อชาวมอญไม่พอใจที่ถูกพม่าเกณฑ์แรงงานก่อสร้างพระ[[เจดีย์]] ได้ก่อกบฏที่เมือง[[เมาะตะมะ]] ถูกพม่าปราบ ต้องหนีเข้าไทยเป็นระลอกใหญ่มาก ราว 40,000 คนเศษ เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือ[[รัชกาลที่ 4]]) เสด็จเป็นแม่กองพร้อมด้วยกรมหลวงพิทักษ์มนตรี ออกไปรับถึงชายแดน พวกนี้มาตั้งรกรากที่สามโคก ([[ปทุมธานี]]) [[ปากเกร็ด]] และ[[พระประแดง]] มอญที่อพยพเข้ามาครั้งนี้เรียกกันว่ามอญใหม่<ref>จุลลดา ภักดีภูมินทร์, [http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetail.asp?stcolumnid=1460&stissueid=2486&stcolcatid=2&stauthorid=13 เล่าเรื่องมอญ] บทความ-สารคดี ฉบับที่ 2486 ปีที่ 48 ประจำวันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2545</ref>
 
=== ชุมชนมอญ ===
ชาวมอญได้อพยพมาพำนักอยู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัย[[กรุงศรีอยุธยา]] ในสมัย[[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]] พระยาเกียรติและพระยารามขุนนางมอญที่มีความดีความชอบในราชการและกลุ่มญาติพี่น้องได้รับพระราชทานที่ดินตั้งบ้านเรือน ณ บ้านขมิ้น ซึ่งได้แก่บริเวณ[[วัดขุนแสน]]ในปัจจุบัน มอญในรัชสมัย[[สมเด็จพระนารายณ์]] ทั้งกลุ่มชาวมอญเก่าที่อยู่มาแต่เดิมและกลุ่มชาวมอญใหม่ได้รับพระราชทานที่ดินให้ตั้งชุมชนอยู่ชานกรุงศรีอยุธยาบริเวณ[[วัดตองปุ]]และ[[คลองคูจาม]]
 
ในปัจจุบันแม้จะไม่มีชุมชนของผู้สืบเชื้อสายมอญภายในกรุงศรีอยุธยาอยู่ในบริเวณที่กล่าวถึงในประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังมีชุมชนมอญและกลุ่มวัฒนธรรมมอญกระจายอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจากพระนครศรีอยุธยาลงมาจนถึงกรุงเทพฯหลายชุมชน ชาวมอญได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไปตามที่ราบลุ่มริมน้ำภาคกลาง ได้แก่ [[ลพบุรี]] [[สระบุรี]] [[อยุธยา]] [[นครปฐม]] [[กาญจนบุรี]] [[ราชบุรี]] [[สุพรรณบุรี]] [[อ่างทอง]] [[นครนายก]] [[ปทุมธานี]] [[นนทบุรี]] [[สมุทรสงคราม]] [[สมุทรปราการ]] [[สมุทรสาคร]] [[กรุงเทพฯ]] [[ฉะเชิงเทรา]] [[เพชรบุรี]] [[ประจวบคีรีขันธ์]] และบางส่วนตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบภาคเหนือ ได้แก่ [[เชียงใหม่]] [[ลำพูน]] [[ลำปาง]] [[ตาก]] [[กำแพงเพชร]] [[นครสวรรค์]] [[อุทัยธานี]] ทาง[[ภาคอีสาน]] ได้แก่ [[นครราชสีมา]] มีบ้างเล็กน้อยที่อพยพลงใต้ อย่าง [[ชุมพร]] [[สุราษฎร์ธานี]] โดยมากเป็นแหล่งที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินทำกินให้แต่แรกอพยพเข้ามา
 
'''ชุมชนมอญในประเทศไทย'''<ref>[http://www.monstudies.com/show_all_topics.php?page=1&main_menu_id=2&sub_menu_id=24 ชุมชนมอญ] monstudies.com</ref>
เส้น 154 ⟶ 144:
 
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
 
* http://www.monstudies.org
* http://www.kaowao.org {{en icon}}
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/ชาวมอญ"