ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แปซิฟิกใต้ในอาณัติ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 67:
การพัฒนาทางด้านเกษตรกรรมของดินแดนแห่งนี้ เริ่มขึ้นเมื่อญี่ปุ่นได้รับสิทธิ์ในการปกครองแปซิฟิกใต้ในอาณัติ เทะสุกะ โทชิโระ (Tezuka Toshiro) ข้าหลวงใหญ่ประจำแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้ปรึกษากับมัตสุเอะ ฮารุจิ (Matsue Haruji) ถึงความเป็นไปได้ในการเพาะปลูกอ้อย ซึ่งเป็นพืชเกษตรกรรมที่มีความเป็นไปได้และเหมาะสมต่อสภาพภูมิอากาศของพื้นที่แปซิฟิกใต้ในอาณัติมากที่สุด <ref name="Peattie"/> การเจรจาพูดคุยกันของรัฐบาลแปซิฟิกใต้ในอาณัติและมัตสุเอะ ฮารุจิ นำไปสู่การจัดตั้งบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development Company หรือ Nanyo Kohatsu Kabushiki Kaisha) แม้ว่าในอดีตนักธุรกิจและภาคเอกชนของญี่ปุ่นมักประสบความล้มเหลวในการเพาะปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล แต่การที่รัฐบาลแปซิฟิกใต้ในอาณัติและภาคเอกชนร่วมมือกัน เป็นเพราะการสำรวจและจัดทำแผนที่ของกองทัพเรือญี่ปุ่นในบริเวณแปซิฟิกใต้ในอาณัติ พร้อมทั้งระบุสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประชากรและวัฒนธรรม เป็นผลทำให้การตัดสินใจเป็นไปได้โดยง่ายขึ้น <ref name="Ngo"/>
 
การเพาะปลูกอ้อยของญี่ปุ่นในแปซิฟิกใต้ในอาณัติมีการใช้พื้นที่มากถึง 28,373 เอเคอร์ ซึ่งเป็นรองเพียงแค่มะพร้าว และพืชท้องถิ่นของแปซิฟิกใต้ในอาณัติเท่านั้น <ref name="Weitzell"/> สามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลอาณานิคมกว่า 20 ล้านเยน ซึ่งรายได้เกือบทั้งหมดมาจากการเพาะปลูกอ้อยและอุตสาหกรรมน้ำตาล และปริมาณน้ำตาลในตลาดญี่ปุ่นมีถึงร้อยละ 5 ที่มาจากแปซิฟิกใต้ในอาณัติ <ref name="Purcell"/> ความสำเร็จในการเพาะปลูกอ้อย รวมไปถึงแรงจูงใจที่ดีพอ ส่งผลให้ประชากรชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวโอกินาวานิยมเข้ามาแสวงหาโอกาสในการรับจ้างปลูกอ้อยหรือเป็นลูกจ้างของบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development) ประชากรชาวญี่ปุ่นจึงเพิ่มขึ้นจากเดิมในปี ค.ศ. 1920 มีประชากร 3,671 คน เพิ่มขึ้นเป็น 90,072 คน ในปี ค.ศ. 1941  ในขณะที่ชาวพื้นเมืองมีประชากรรวมกันเพียงแค่ 51,089 คนเท่านั้น<ref name="Ngo"/> ซึ่งประเด็นนี้ส่งผลให้ประชากรชาวพื้นเมืองมีอัตราส่วนประชากรชาวพื้นเมืองต่อประชากรชาวญี่ปุ่นเป็น 1 : 2 แรงจูงใจสำคัญที่ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นอพยพเข้ามา คือ ความสำเร็จจากการเพาะปลูกน้ำตาล การการันตีการได้รับที่ดินบางส่วนเพาะปลูก รวมไปถึงการไม่คู่แข่งเมื่อเทียบกับอาณานิคมอื่น กล่าวคือ ในบันทึกของรัฐบาลญี่ปุ่นมักกล่าวถึงประชากรชาวไมโครนีเซียที่อาศัยอยู่ในเซาธ์แปซิฟิกแมนเดตใต้ในอาณัติว่าเป็นผู้ที่ “ขี้เกียจ ไม่มีอารยธรรม ป่าเถื่อน ใช่ชีวิตประจำวันไปวันๆ และอยู่ในวิถีดั้งเดิม” <ref name="Peattie"/> ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรชาวจีนในไต้หวันและชาวญี่ปุ่นในเกาหลีแล้ว ชาวไมโครนีเซียเป็นผู้ที่มีลักษณะด้อยวัฒนธรรมและความรู้มากที่สุด และรัฐอาณานิคมเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบทบาทของชาวไมโครนีเซียในเศรษฐกิจมากเท่าใดนัก
 
ในการเกษตรกรรมด้านอื่นๆ พบว่าแปซิฟิกใต้ในอาณัติได้ให้ความสำคัญรองลงมาคือการเพาะปลูกมะพร้าวและสาเก ซึ่งสาเกกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของบริษัทพัฒนาทะเลใต้ (South Seas Development) โดยทำการผลิตในเกาะไซปันและทีเนียน ส่วนมะพร้าวมักแปรรูปเป็นมะพร้าวตากแห้งเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ยังพบการริเริ่มทดลองปลูกข้าว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกอ้อย รวมไปถึงได้ตั้งสถานีเกษตรกรรมเพื่อทดลองปลูกพืชชนิดต่างๆ ในแปซิฟิกใต้ในอาณัติ<ref>Diane Ragone, David Lorence and Timothy Flynn. 2001. History of Plant Introduction in Pohnpei and the Role of Ponhpei Agricultural Station. Economic Botany 55(2): 290 – 324.</ref>