ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อัชเชอร์"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tanapot2001 (คุย | ส่วนร่วม) ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 28:
== ประวัติ ==
อัชเชอร์เกิดใน[[ดัลลัส]],[[เท็กซัส]] โตในเมือง[[แชตตานูกา]] [[รัฐเทนเนสซี]] ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่ออายุ 6 ปี อัชเชอร์เริ่มร้องเพลงในคณะนักร้องในโบสถ์ พออายุ 12 ปี เขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย กับครอบครัว
เมื่ออายุ 13 ปี อัชเชอร์ ได้แสดงโชว์ในรายการ "Star Search" ในเมืองแอตแลนต้าผู้บริหารของ “ ลา ฟาส เร็คคอร์ด” (La Face record) ที่ชื่อ "แอล. เอ. รีด" (L.A. Reid) ได้เห็นความสามารถของอัชเชอร์ในการแสดงครั้งนี้ และเสนอการเซ็นสัญญาทำอัลบั้มเพลงแก่เขา ใน พ.ศ. 2537 อัชเชอร์ ได้ออกอัลบั้มแรกในชื่อว่า ''Usher'' โดยมี "[[พัฟฟ์ แดดดี้|ฌอน พัฟฟี่ โคมป์ซ]]" เป็นโปรดิวเซอร์ผู้ร่วมบริหาร อัลบั้มชุดนี้ซึ่งรวมถึง
หลังจากที่เรียนจบโรงเรียนมัธยมตอนปลาย ใน พ .ศ. 2540 อัชเชอร์ ได้ออกอัลบั้มที่สองที่มีชื่อว่า ''My Way'' อัลบั้มชุดนี้ประกอบไปด้วยเพลงทั้งหมด 9 เพลง โดย อัชเชอร์ได้ร่วมเขียนเพลงด้วยถึง 6 เพลง อัลบั้มนี้ได้โปรดิวเซอร์อย่าง "แฌรแมน ดูปรี" (Jermaine Dupri) "[[เบบี้เฟส]]" และโคมป์ซมาร่วมงาน
ใน พ .ศ. 2541 อัชเชอร์ ได้มีผลงานการแสดงครั้งแรก ในภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ชื่อ ''The Faculty'' และนำแสดงในภาพยนตร์แนวชีวิตของนักเรียนมัธยมปลายในเมืองที่ชื่อ ''Light It Up'' และยังได้ร่วมแสดงในหนังเรื่อง ''She's All That'' ในขณะนั้นอัชเชอร์ได้ออกบันทึกคอนเสิร์ตที่ชื่อว่า "Simply Live"
ในปลายปี พ.ศ. 2542 เขาได้ออกอัลบั้มที่ชื่อว่า ''8701'' มี
สอง
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 อัชเชอร์ได้รับรางวัลแกรมมี่ ในสาขา 'Best Male R&B Vocal Performance' ในเพลง "U Remind Me" ปีถัดมาได้รับรางวัลเดียวกันจากเพลง "U Don't Have to Call" ต่อมาอัชเชอร์ได้ร่วมงานกับ P. Diddy ในเพลง "I Need a Girl, Part I"
ในช่วงต้นปี พ. ศ. 2547
ตามมาด้วยอัลบั้มล่าสุดของเขา ''Confessions'' ได้ออกมาในเดือนมีนาคม ปีเดียวกัน อัลบั้มชุดนี้ยังคงเป็นอัลบั้มที่มียอดขายดีที่สุดใน พ.ศ. 2547 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ขายได้ 1.1 ล้านแผ่นในสัปดาห์แรกที่วางขาย (ขายได้มากกว่า 20 ล้านแผ่นทั่วโลกสำหรับอัลบั้มนี้)
เดือนกันยายน พ.ศ. 2547 ออกวางขายเพลง "My Boo" (อยู่ในอัลบั้ม Confessions แบบ Special Edition) ร้องคู่กับ [[อลิเชีย คียส์]] ก็ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาทางฝั่ง
พ.ศ. 2548 อัชเชอร์ได้ร่วมร้องกับ Lil' John ในเพลง "Lovers and Friends" สามารถไต่ชาร์ทได้สูงสุดอันดับ 3
บรรทัด 48:
พ.ศ. 2549 อัชเชอร์ได้แสดงใน[[ละครบรอดเวย์]]เรื่อง ''Chicago'' ในบท Billy Flynn ได้รับเสียงวิจารณ์ในทางที่ดี และเขาได้กลับมาทำผลงานอัลบั้มใหม่ซึ่งคาดว่าจะออกกลางปี พ.ศ. 2550 โดยมีทีมอย่าง The Neptunes, Jermaine Dupri, Jimmy Jam & Terry Lewis, Rich Harrison, Dre & Vidal, Ryan Leslie, Dr. Dre และ Swizz Beatz
หลังจากห่างหายจากการออกอัลบั้มเพลงถึง 4 ปี อัชเชอร์กลับมาในปี พ.ศ. 2551 กับอัลบั้ม ''Here I Stand'' แต่โปรดิวเซอร์ของเขา Polow da Don แอบปล่อย
พ.ศ. 2553 อัชเชอร์ ทำอัลบั้มในระยะเวลาที่เร็วขึ้น เพียง 2 ปี เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 6 อัลบั้ม Raymond v. Raymond ได้ลำดับที่ 1 US ด้วยยอดขาย 329,000 ในสัปดาห์แรก และมียอดขาย 1.3 ล้านก๊อปปี้ในสหรัฐ (2 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก) ซึ่งมีเพลง Papers และ There Goes My Baby ที่ได้ลำดับที่ 1 US R&B/Hip-Hop Chart ตามด้วย Hey Daddy (Daddy's Home) และ Lil Freak ได้ Nicki Minaj มาแจมด้วย หลังจากนั้นมี
หลังจากนั้น อัชเชอร์ได้ปล่อย EP ที่ชื่อว่า Versus ตามติดกัน หรือ Raymond v. Raymond (Deluxe edition) มี
และต่อด้วย
พ.ศ. 2554 ในวันที่ 7 ตุลาคม 2554 RCA Music Group ประกาศยุบกิจการ Jive Records รวมไปถึง Arista Records และ J Records ทำให้ อัชเชอร์ รวมถึงศิลปินคนอื่นๆที่มีสัญญาใน 3 บริษัทนี้ ได้ถูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ RCA Records ในเครือข่าย โซนี่ มิวสิก
บรรทัด 59:
พ.ศ. 2555 อัชเชอร์ กับสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 7 ภายใต้การควบคุมของ RCA Records ในชื่อว่า Looking 4 Myself อัลบั้มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแนว Electronic เกือบทั้งอัลบั้ม และได้โปรดิวเซอร์มีโปรอย่าง Rico Love, Jim Jonsin, will.i.am, Salaam Remi, Pharrell, Danja, Empire of The Sun, Swedish House Mafia มาโปรดิวในอัลบั้มนี้ได้ลำดับที่ 1 US ด้วยยอดขาย 128,000 ในสัปดาห์แรก ซึ่งยอดขายหายไปครึ่งต่อครึ่ง อย่างน่าตกใจมาก เนื่องจาก อัลบั้ม 21 ของ อะเดล ขายที่สุดในและทำได้ 22 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก และ วงการเพลงที่ไม่มั่นคง เป็นสาเหตุที่ให้หลาย ๆ อัลบั้ม ยอดขายขาดไปเยอะมาก ทุกศิลปิน ตามติดกัน
พ.ศ. 2556 อัชเชอร์ ได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขาเพลงบันทึกเสียง R&B ดีที่สุดจากเพลง Climax, อัชเชอร์ ได้กลับมาร่วมงานกับ Jermaine Dupri ในรอบ 5 ปีและ Young Jeezy อีกครั้ง ในอัลบั้มชุดใหม่ ที่คาดว่าจะเสร็จในปี พ.ศ. 2557
พ.ศ. 2557 อัชเชอร์ ได้ปล่อย
อัชเชอร์ ได้ร่วมงานกับ [[นิกกี มินาจ]] อีกครั้ง หลังจากร่วมงานในซิงเกิ้ล "Lil Freak" ในอัลบั้ม Raymond v. Raymond มาครั้งนี้ได้ [[ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์]] มาโปรดิวให้ใน
อัชเชอร์ ได้ร่วมงานกับ ไม วิล เมค-อิด และทีมนักแต่งเพลงอย่าง ร๊อก ซิตี้ ใน
9 กันยายน 2557 อัชเชอร์ได้ร่วมงานกับ คิด อิง (Kid Ink) ใน
17 มีนาคม 2558 อัชเชอร์ได้ร่วมงานกับ มาร์ติน การ์ริซ (Martin Garrix) ดีเจหน้าใหม่ไฟแรงจากเพลง ใน
== ผลงานเพลง ==
|