ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แผ่นซีดี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
JBot (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขที่อาจเป็นการทดลอง หรือก่อกวนด้วยบอต ไม่ควรย้อน? แจ้งที่นี่
บรรทัด 1:
{{ต้องการอ้างอิง}}
KUY
[[ไฟล์:Interference-colors.jpg|right|thumbnail|250px|แผ่นซีดี]]
 
'''แผ่นซีดี''' ย่อมาจาก '''คอมแพ็กดิสก์''' ({{lang-en|compact disc}}) คือ[[แผ่นออฟติคอล]]เก็บข้อมูล[[ดิจิทัล]]ต่าง ๆ ซึ่งเดิมพัฒนาสำหรับเก็บ[[เสียงดิจิทัล]] ซีดีคือมาตราฐานรูปแบบการบันทึกเสียงทางการค้าในปัจจุบัน
 
== ประวัติ ==
ในช่วงทศวรรษปี [[ค.ศ. 1970]] (ตรงกับ พ.ศ. 2513 ถึง 2522) [[นักวิจัย]]ของบริษัท[[ฟิลิปส์]] ได้ใช้เทคโนโลยีของ[[แผ่นเลเซอร์ดิสค์]] มาทดลองสร้างแผ่นออฟติคอลสำหรับเก็บเสียงแต่เพียงอย่างเดียว โดยเริ่มแรกใช้วิธีการเข้ารหัสเสียงแบบ wideband [[FM]] และแบบ [[PCM]] ในระบบดิจิทัลในเวลาต่อมา ช่วงปลายทศวรรษ ฟิลิปส์ [[โซนี่]] และบริษัทอื่น ๆ แสดงต้นแบบของแผ่นดิสค์ระบบเสียงดิจิตอล
ในปี [[พ.ศ. 2522]] ฟิลิปส์ และ โซนี่ ตัดสินใจร่วมมือกัน จัดตั้งทีมวิศวกรร่วมซึ่งมีภารกิจออกแบบแผ่นดิสค์ระบบเสียงดิจิตอลแบบใหม่ สมาชิกที่สำคัญของทีมคือ [[Kees Schouhamer Immink|Kees Immink]] และ Toshitada Doi หลังจากทดลองและถกเถียงกันหนึ่งปี ทีมงานได้ออกมาตรฐานเรดบุ๊ค ซึ่งเป็นมาตรฐานของคอมแพ็กดิสก์ ฝ่ายฟิลิปส์สนับสนุนในเรื่องกระบวนการผลิต โดยอาศัยเทคโนโลยีการผลิตเลเซอร์ดิสค์ ฟิลิปส์ยังสนับสนุนวิธี[[การมอดูเลต]]แบบ [[EFM]] ซึ่งสามารถบันทึกเสียงได้มาก และทนต่อรอยขูดขีด หรือรอยนิ้วมือ ขณะที่โซนี่สนับสนุนวิธี[[รหัสแก้ข้อผิดพลาด]] (error correction) CIRC ในเอกสาร ''[http://www.exp-math.uni-essen.de/~immink/pdf/cdstory.pdf Compact Disc Story]'' ที่บอกเล่าโดยสมาชิกหนึ่งของทีม ให้ข้อมูลถึงที่มาของการตัดสินใจทางเทคนิคจำนวนมาก รวมถึงการเลือกของความถี่การสุ่ม ระยะเวลาในการเล่น และเส้นผ่าศูนย์กลางแผ่นดิสค์ ฟิลิปส์ได้บรรยายไว้ว่า คอมแพ็กดิสก์"ถูกประดิษฐ์ร่วมกันโดยกลุ่มคนมากมายทำงานร่วมกันเป็นทีม" ("invented collectively by a large group of people working as a team."[http://www.research.philips.com/newscenter/dossier/optrec/index.html])
 
คอมแพ็กดิสก์ออกวางตลาดในปลายปี [[พ.ศ. 2525]] ในเอเซีย และต้นปีถัดมาในที่อื่น ๆ เหตุการณ์นี้มักถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติเสียงดิจิตอล แผ่นดิสค์เสียงแบบใหม่นี้ได้รับการยอมรับและคำชื่นชมในคุณภาพเสียง จากเดิมที่ประดิษฐ์ขึ้นสำหรับบันทึกเสียง การใช้คอมแพ็กดิสก์ได้ขยายไปยังด้านอื่น ๆ สองปีต่อมา ใน [[พ.ศ. 2527]] มีการออก แผ่น[[ซีดีรอม]] (หน่วยความจำอ่านได้อย่างเดียว) ด้วยแผ่นแบบนี้เราสามารถเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์จำนวนมากได้ แผ่นซีดีที่ผู้ใช้สามารถเขียนเองได้ หรือ แผ่น[[ซีดีอาร์]] (CD-R) ก็ได้ปรากฏสู่สายตาต่อมาประมาณปี [[พ.ศ. 2533]] และกลายเป็นมาตรฐานในการแลกเปลี่ยน จัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์และเพลงในปัจจุบัน ซีดีแบบต่าง ๆ ประสบความสำเร็จมาก โดยภายในปี [[พ.ศ. 2547]] เพียงปีเดียวมีการจำหน่ายแผ่นซีดีเพลง ซีดีรอม ซีดีอาร์ ทั่วโลกกว่าสามหมื่นล้านแผ่น
 
== รายละเอียดทางกายภาพ ==
 
แผ่นซีดีจะทำจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนตที่มีความหนา 1.2 มิลลิเมตร (0.047 นิ้ว) และมีน้ำหนัก 15-20 กรัม
 
== มาตรฐานคอมแพ็กดิสก์ ==
ซีดีเสียง หรือ ซีดีเพลง หรือ ออดิโอซีดี (audio CD) เก็บ[[สัญญาณเสียง]]ในรูปแบบที่เป็นไปตามมาตรฐาน'''เรดบุ๊ค''' (red book) ซีดีเสียงประกอบด้วยแทร็ค[[สเตอริโอ]]หลายแทร็ค ที่เก็บโดยการเข้ารหัสแบบ [[PCM]] ขนาด 16 [[บิต]]ด้วยอัตรา[[การสุ่มตัวอย่าง]] 44.1 kHz
 
คอมแพ็กดิสก์มาตรฐานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 120 [[มิลลิเมตร]] แต่มีรุ่นขนาด 80 มิลลิเมตรอยู่ในรูปการ์ดขนาดเท่า[[นามบัตร]]หรือเป็นรูปวงกลม แผ่นดิสค์ขนาด 120 มิลลิเมตร สามารถบันทึกเสียงได้ 74 นาที แต่มีรุ่นที่สามารถบันทึก 80 หรือ 90 นาทีด้วย แผ่นดิสค์ขนาด 80 มิลลิเมตร ใช้เป็นแผ่นซีดี[[ซิงเกิล]] หรือใช้เป็นนามบัตรประชาสัมพันธ์ เก็บเสียงใช้เพียงแค่ 20 นาที
 
เทคโนโลยีคอมแพ็กดิสก์ ต่อมาปรับปรุงเป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่เราเรียกว่า[[แผ่นซีดีรอม]]
 
== การทำงานของ CD ==
ภายในซีดีรอมจะแบ่งเป็นแทร็กและเซ็กเตอร์เหมือนกับ[[แผ่นดิสก์]] แต่เซ็กเตอร์ในซีดีรอมจะมีขนาดเท่ากันทุกเซ็กเตอร์ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อไดรฟ์ซีดีรอมเริ่มทำงานมอเตอร์จะเริ่มหมุนด้วยความเร็ว หลายค่า ทั้งนี้เพื่อให้[[อัตราเร็ว]]ในการอ่านข้อมูลจากซีดีรอมคงที่สม่ำเสมอทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กเตอร์ ที่อยู่รอบนอกวงในก็ตาม จากนั้นแสงเลเซอร์จะฉายลงซีดีรอม โดยลำ[[แสง]]จะถูกโฟกัสด้วยเลนส์ที่เคลื่อนตำแหน่งได้ โดยการทำงานของขดลวด ลำแสงเลเซอร์จะทะลุผ่านไปที่ซีดีรอมแล้วถูกสะท้อนกลับ ที่[[ผิวหน้า]]ของ[[ซีดีรอม]]จะเป็น หลุมเป็นบ่อ ส่วนที่เป็นหลุมลงไปเรียก [[พิต]] สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเจาะลึกลงไปเรียก "แลนด์" ผิวสองรูปแบบนี้เราใช้แทนการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ 1 และ 0 แสงเมื่อถูกพิตจะกระจายไปไม่สะท้อนกลับ แต่เมื่อแสงถูกแลนด์จะสะท้อนกลับ ผ่านแท่งปริซึม จากนั้นหักเหผ่านแท่งปริซึมไปยังตัวตรวจจับแสงอีกที ทุกๆช่วงของลำแสงที่กระทบตัวตรวจจับแสงจะกำเนิดแรงดันไฟฟ้า หรือเกิด 1 และ 0 ที่ทำให้[[คอมพิวเตอร์]] สามารถเข้าใจได้ ส่วนการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมนั้นต้องใช้แสงเลเซอร์เช่นกัน โดยมีลำแสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่อง บันทึกข้อมูลส่องไปกระทบพื้นผิวหน้าของแผ่น ถ้าส่องไปกระทบบริเวณใดจะทำให้บริเวณนั้นเป็นหลุมขนาดเล็ก บริเวณทีไม่ถูกบันทึกจะมีลักษณะเป็นพื้นเรียบสลับกันไปเรื่อยๆตลอดทั้งแผ่น
 
แผ่นซีดีรอมเป็นสื่อในการเก็บข้อมูลแบบ'''ออฟติคอล''' (Optical Storage) ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูล [[แผ่นซีดีรอม]] ทำมาจากแผ่นพลาสติกเคลือบด้วย[[อะลูมิเนียม]] เพื่อสะท้อนแสงเลเซอร์ที่ยิงมา เมื่อแสงเลเซอร์ที่ยิงมาสะท้อนกลับไป ที่ตัวอ่านข้อมูลที่เรียกว่า Photo Detector ก็อ่านข้อมูลที่ได้รับกลับมาว่าเป็นอะไร และส่งค่า 0 และ 1 กลับไปให้ซีพียู เพื่อนำไปประมวลผลต่อไป
 
== เครื่องเล่นซีดี ==
ความเร็วของไดรฟ์ซีดีรอมมีหลายความเร็ว เช่น 2x 4x หรือ 16x เป็นต้น ซึ่งค่า 2x หมายถึงไดรฟ์ซีดีรอมมี ความเร็วในการหมุน 2 เท่า ไดรฟ์ตัวแรกที่เกิดขึ้นมามีความเร็ว 1x จะมีอัตราในการโอนถ่ายข้อมูล (Data Tranfer Rate) 150 KB ต่อวินาที ในปัจจุบันความเร็วในการอ่านซีดีรอมสูงสุดอยู่ที่ 52x
 
[[หมวดหมู่:อุปกรณ์บันทึกข้อมูล]]
[[หมวดหมู่:สิ่งประดิษฐ์ของญี่ปุ่น]]
{{โครงเทคโนโลยี}}